วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2557

ปรัชญาชีวิตจริงจากความผิดพลาดของประสบการณ์ชีวิตในอดีต ตอนที่ 2

         ปรัชญาชีวิตจริงจากความผิดพลาดของประสบการณ์ชีวิตในอดีต ตอนที่ 1 ที่จบไปแล้วนั้น ได้พูดถึงประวัติส่วนตัวของผมกับครอบครัวว่าเกิดที่ไหน เมื่อไหร่ มีชีวิตความเป็นอยู่ดีหรือไม่ดียังไง

              ผมซึ่งมีลักษณะเป็นเด็กตัวอ้วนขาว ท่าทางไม่น่าที่จะเป็นคนที่จะไปทำผิดอะไรมากมาย ครอบครัวก็อบอุ่นดีมีกันครบทั้งพ่อและแม่ ครูบาอาจารย์ก็คอยอบรมสั่งสอนใกล้ชิด แล้วแถมยังมีศาสนาจารย์ซึ่งเป็นคนสอนศาสนาคริสต์ที่ผมนับถือ ช่วยกวดขันกันอีกทางหนึ่ง ผมก็ยังไม่วายที่จะออกอิทธิฤทธิ์ตามเพื่อนไป

ขโมยตังค์บ้านคนอื่นเค้าเข้าให้จนได้ ซึ่งนั่นก็คือ ปฐมบทของความผิดพลาดในอดีตที่นำมาเล่าสู่กันฟัง ขอท่านได้โปรดติดตามเรื่องราวความผิดพลาดในอดีตของผมในตอนที่ 2 ได้ ณ บัดนาว


          เรื่องการทำผิดของผมไม่ใช่มีแค่ครั้งเดียว ครั้งที่ 2 นี้ ผมจำไม่ได้แน่ชัดว่า ผมทำไปก่อนครั้งแรก หรือหลัง เอาเป็นว่า ช่วงเวลาใกล้เคียงกันก็แล้วกัน เพียงแต่ว่าถ้าผมทำผิดแล้วถูกจับได้ (ไม่ใช่จับตัวไปดำเนินคดี เพียงแค่ผมรู้ว่ามีคนรู้ว่าผมทำผิด ผมก็จะเลิกทำ แล้วคอยหลบไม่กล้าสู้หน้าเจ้าของทรัพย์ด้วยความละอายแล้ว) ผมจะเลิกทำทันที แต่พอเวลาห่างลืม ๆ เข้าหน่อย เอาอีกแล้วทำไมผมมันลืมง่ายลืมดายอย่างนี้ ครั้งที่ 2 นี่ก็เหมือนกัน พอครั้งแรกถูกจับได้ เวลาผ่านไปพอลืม ๆ ผมก็เริ่มพฤติกรรมเลวร้ายอีกแล้ว ซอยบ้านผมมีร้านค้าอยู่หน้าปากซอยร้านนึง ตอนร้านนี้เปิดใหม่ ๆ คนในซอยผมเรียกร้านนี้ว่า "ร้านเปิดใหม่" เจ้าของร้านเป็นผู้ชายเชื้อสายจีนผมเรียกแกว่า "เฮียเอี้ยง" ส่วนภรรยาตามประสาคนจีนเค้าจะเรียกให้เกียรติกันว่า "อาซ้อ" โดยอัตโนมัติ (ส่วนใหญ่จะไม่รู้จักชื่อ เราให้เกียรติเรียกสามีเค้าว่า เฮียแปลว่าพี่ชาย การเรียก อาซ้อถือเป็นการเรียกที่ให้เกียรติกันมีความหมายว่า "พี่สะใภ้" เรื่องเฮียเอี้ยงนี่ไม่ได้พูดถึงแกในแง่ลบ จริง ๆ แล้วต้องถือว่า แกมีบุญคุณกับผมอย่างใหญ่หลวงก็ว่าได้ แล้วจะเล่าให้ฟังทีหลัง บทความตอนนี้เลยเขียนลงด้วยชื่อจริงของแก) ร้านเปิดใหม่นี่เป็นร้านขายของชำที่มีของขายมาก ตั้งแต่ของที่นำไปทำประกอบเป็นอาหาร พวกแป้ง น้ำตาล กะปิ น้ำปลา พวกของเล่น ขนมหลากชนิด น้ำหวาน น้ำอัดลม ผมชอบซื้อน้ำเก๊กฮวยของเฮียเอี้ยงมาก เฮียเค้าต้มดอกเก๊กฮวยแท้ ๆ แล้วแช่อยู่ในตู้เย็นจนเกิดความแข็งเป็นวุ้น เวลาแกตักใส่ถุงน้ำเก๊กฮวยของแกจะมีบางส่วนแข็งตัวเป็นเกล็ดน้ำแข็ง ลองจินตนาการดูดิ เวลาน้ำเก๊กฮวยเย็นเจี๊ยบเป็นเกล็ดน้ำแข็งไหลลงคอเวลาดื่ม จะหอมเย็นชื่นใจขนาดไหน ตั้งแต่ร้านเปิดใหม่มาเปิดที่ปากซอย บ้านผมทั้งบ้านเป็นลูกค้าไปซื้อของเค้าอยู่เรื่อย ผมไปซื้อบ่อยถึงบ่อยมาก ถ้าผมอยู่บ้านไม่ได้ไปโรงเรียน หรือไปโบสถ์ ขอตังค์ได้เป็นต้องวิ่งไปซื้อของร้านเปิดใหม่ทุกทีไป
          อย่างที่บอก ผมไปซื้อของเป็นประจำตามประสาเด็ก พออยากกินขนม ไอติม ดื่มน้ำหวาน น้ำอัดลม ก็จะขอตังค์ป่าป๊ารีบวิ่งตื๋อออกไปซื้อ ซื้อเสร็จก็เดินกินมาเรื่อย ๆ ค่อย ๆ ละเลียดกินกลัวหมดเร็ว (ผมเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กจนป่านนี้ยังติดนิสัยอยู่เลย) การที่ผมไปซื้อของร้านเปิดใหม่เรื่อย ๆ เป็นประจำ ทำให้บางวันได้เห็นที่ร้านไม่มีคนอยู่เฝ้าหน้าร้าน ผมเรียกจะซื้อของก็ไม่มีคนตอบ หรือ ออกมาดู (เค้าขายของกันทั้งวันคงเข้าไปทำธุระ หรือเข้าห้องน้ำที่อยู่ข้างในบ้าน) เอาละซิเรื่องมันเริ่มยุ่งตรงที่ไม่มีคนอยู่เฝ้าของนี่แหละ วายร้ายตัวเล็กอย่างผมมีหรือจะไปทนไหว พอเห็นว่าไม่มีคนสบโอกาสเท่านั้นแหละ (ฤกษ์ดาวโจรขึ้นกะทันหันกลางวันแสก ๆ เลยทีเดียว) สายตาสอดส่ายหาไปตามชั้นวางขนมกับของเล่น ความคิดแล่นปร๊าดอย่างเร็ว คิดว่าอยากจะเอาอะไรกลับบ้านโดยไม่ต้องเสียตังค์ซื้อดี ตังค์ที่เตรียมมาจะได้เก็บเอาไว้ซื้อของอย่างอื่น ทันทีนั้น ผมมองไปเห็นผลไม้ของเล่น (น่าจะทำจากปูนปลาสเตอร์ หรือวัสดุคล้ายกัน) ทาสีสดใสเหมือนผลไม้จริง ๆ แต่มีขนาดเล็ก ชิ้นหนึ่งยาวประมาณ 2 นิ้ว กว้างก็ตามแต่สัดส่วนที่เหมาะว่าผลไม้นั้นเป็นผลไม้อะไร เช่น เป็นมังคุด ทุเรียน ชมพู่ ฯลฯ ผลไม้ของเล่นนั้นบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกใสขนาดเล็ก เย็บแม็กติดกับแผงกระดาษเอาไว้ ใครอยากซื้อก็ดึงเอาไป ตอนนั้นรู้สึกว่าผลไม้ของเล่นเหล่านั้นราคาถุงละ 5 บาท ผมเข้าไปเลือกดูว่าอยากจะเอาอะไรกลับบ้านเป็นอันดับแรก ผมจำไม่ได้ว่าตอนนั้นผมเอาอะไรกลับไปเป็นอันดับแรก มันก็เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งแหละที่ผมเอากลับไป ขณะที่ผมกำลังเลือกดูของอยู่ ผมก็หันมองล็อกแล็กดูให้แน่ชัดอีกทีว่า ไม่มีใครคอยมองผมอยู่ พอเห็นว่าไม่มีใครคอยมอง หรืออยู่ตรงบริเวณนั้น ผมดึงผลไม้ 1 ถุง ออกจากแผง แล้วรีบเดินกลับบ้านโดยเร็ว พอไปถึงบ้านแกะถุงพลาสติกออกมา ดูลูบ ๆ คลำ ๆ เล่นด้วยความสนใจ รู้สึกว่าผลไม้ของเล่นดังกล่าวทำสวยดี รู้สึกว่าวันแรกที่ขโมยของร้านเปิดใหม่ ผมจะกลับไปอีกครั้ง หรือ 2 ครั้ง หลังจากขโมยถุงแรกมาแล้ว ไอ้ครั้ง หรือ 2 ครั้งหลัง ผมก็ทำวิธีเดิม เลือกดูของ ดึงออกมาจากแผง แล้วก็เดินกลับบ้าน หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ผมขโมยผลไม้ของเล่นอยู่เรื่อย แต่ผมจะขโมยแค่ทีละชิ้น ถ้าเอาหมดกลัวเฮียเค้าจะรู้ ผมมาย้อนคิดถึงตอนนั้น มันก็แปลกจริง ๆ ของร้านเปิดใหม่มีเยอะแยะ ทำไมผมถึงชอบไอ้ผลไม้ของเล่นอยู่อย่างเดียว ผมแทบไม่มองอย่างอื่นเลย ผมขโมยแต่ผลไม้ของเล่นมาเก็บไว้ที่บ้าน บ้านผมมีพานเสตนเลสขนาดเท่าขันตักน้ำธรรมดาผมก็จะเก็บไว้ในนั้น เท่าที่จำได้ผมน่าจะไปทยอยเอาผลไม้ของเล่นมาทีละถุง 2 ถุง เอามาเกิน 5 ถุง แต่ไม่น่าจะถึง 10 ถุง ผลไม้ของเล่นนั้น ผมจะดู หรือเอามาเล่นแค่ครั้งที่เอามันมา พอเอามันไปเก็บใส่ในพานแล้วก็แล้วกัน แทบไม่เอามาดูอีกเลย
          ตั้งแต่เริ่มขโมยของร้านเปิดใหม่ครั้งแรก รู้สึกติดใจที่ได้ของมาโดยไม่ต้องเสียตังค์ซื้อ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เมื่อมีครั้งแรก ย่อมต้องมีครั้งที่ 2 และครั้งต่อ ๆ ไปติดตามมาเรื่อย ๆ แล้วมันก็แปลก ที่ผมไม่ขโมยของอย่างอื่น ขโมยแต่ไอ้ผลไม้ของเล่นนั่นจนเต็มพาน ขโมยไปได้เล่นครั้ง 2 ครั้งก็เบื่อ เก็บใส่พานแล้วก็แล้วกัน แทบไม่เคยหยิบออกมาเล่นอีกเลย การขโมยขอของงผมไม่ได้ขโมยทุกครั้งที่สบโอกาส ผมยังคงซื้อของที่ร้านเค้าอยู่ แต่จะขโมยเมื่อคิดอยากเท่านั้น และแล้ววันเกิดเหตุที่เฮียเอี้ยงจับผิดผมได้ก็เกิดขึ้น วันนั้นเวลาประมาณบ่าย 2 บ่าย 3 ผมไม่ได้ไปไหน รู้สึกว่า ไม่ได้ขอตังค์ป่าป๊ามาซื้อขนมซะด้วย ว่าง ๆ ไม่ได้ทำอะไรเลยออกมาเดินเกร่ ๆ อยู่แถวหน้าร้านเปิดใหม่ คิดอยู่ว่าเดี๋ยวมีจังหวะจะขโมยของร้านเฮียเอี้ยงกลับบ้านอีก วันนั้น เฮียเอี้ยงแกก็เฝ้าขายของหน้าร้านตลอด มีลูกค้ามาซื้อของเป็นระยะ ๆ ไม่ขาดสาย แกไม่ยอมเดินไปเข้าห้องน้ำในบ้านซักที ผมก็รออยู่ว่าเมื่อไหร่เค้าจะไปเข้าห้องน้ำ หรือเข้าไปในบ้านผมจะได้หยิบของกลับบ้านซะที รอนานแล้วชักรำคาญ บังเอิญตอนนั้นมีลูกค้ามาซื้อของพอดี เฮียเอี้ยงคอยดูแลทอนตังค์ลูกค้าอยู่ ผมที่รำคาญเต็มทน คอยมาตั้งนานแล้ว เห็นเป็นโอกาสเหมาะ คิดว่าเฮียเอี้ยงคงไม่ได้สังเกตว่าผมมาทำอะไรที่ร้านแกหรอก (คิดแบบเด็กแท้ ๆ จริง ๆ แล้วเฮียเอี้ยงผิดสังเกตผมตั้งแต่แรกแล้ว ซื้อของก็ไม่ซื้อ ทำอะไรก็ไม่ทำ ดันมายืนเกร่แถวหน้าร้านแกตั้งนาน) ขณะนั้นผมจ้องขนมเปี๊ยะลูกเล็ก ๆ ที่บรรจุถุงประมาณซัก 1 ฝ่ามือ ราคาขายก็ประมาณ 5 บาท พอเฮียเอี้ยงหันหลังไปดูแลลูกค้าผมหยิบขนมเปี๊ยะที่จ้องมาซักพักวิ่งตื๋อออก จากร้านเฮียเอี้ยงทันที ปรากฏว่าคราวนี้เฮียเอี้ยงตะโกนเรียกผมโหวกเหวกว่าเฮ้ยไอ้ต๊ะมึงเอาอะไรไปวะ?” นั่นเป็นคำเรียกของเฮียเอี้ยงที่ผมได้ยินเป็นครั้งสุดท้ายในวันนั้น พอรู้ว่าเฮียเอี้ยงรู้ว่าผมขโมยของ ผมรีบวิ่งหนีไปทางท้ายซอยหลบไปหาที่เดินเตร่ฆ่าเวลาไม่กล้ากลับบ้าน คิดว่า เฮียเอี้ยงคงไปฟ้องป่าป๊าผมแน่ ถ้าผมกลับบ้าน ผมจะต้องถูกลงโทษ ไม่โดนด่า ก็อาจจะถูกตี คิดกลัวไปสารพัดอย่าง ผมเดินเตร่ไปได้พักเดียวก็เป็นเวลาเย็น ผมคงเดินเตร่ต่อไปไม่ได้แล้ว ยังไงเสียคงต้องกลับบ้านไปก่อน กลัวป่าป๊าจะเป็นห่วง คิดว่า เป็นไงเป็นกันละวะ พอกลับเข้าบ้าน รีบหลบไปอยู่คนเดียวเงียบ ๆ กลัวป่าป๊าจะเห็นแล้วเรียกไปด่า แต่ก็เปล่าไม่มีอะไรในกอไผ่ หลังจากวันนั้น ก็ไม่เห็นมีใครพูดกับผมเรื่องผมไปขโมยของร้านเปิดใหม่มา ผมก็คิดเอาว่า "เออดี ป่าป๊าคงไม่รู้เรื่องมั้ง" ช่วงนั้นผมทำตัวเจี๋ยมเจี้ยมสงบเสงี่ยมทีเดียว ไม่กล้าทำตัวทะลึ่งตึงตัง เพราะมีความรู้สึกผิดติดตัว ยังไม่กล้าไปซื้อของร้านเฮียเอี้ยงเพราะมีความผิดเป็นชนักปักหลังไว้ ความผิดครั้งที่ 2 นี้ ก็จบลงตั้งแต่ถูกเฮียเอี้ยงจับได้ว่าขโมยของวันนั้น หลังจากนั้น ผมไม่ได้ขโมยของแบบนั้นอีกเลย
          สำหรับความผิดอีกครั้งหนึ่งสำหรับการขโมย ผมจำไม่ได้ละเอียดว่า ผมทำไปตอนไหน ผมคิดว่าน่าจะคร่อม ๆ ใกล้เคียงกันระหว่างครั้งที่ 1 กับครั้งที่ 2 นี่แหละ เพราะดูจากของที่ผมขโมยมาแล้ว น่าจะช่วงเวลาเดียวกัน หรือใกล้กัน ของนั้นคืออะไรเหรอครับ ก็ปลากัดไงแถวบ้านผมมีเด็กผู้ชายเยอะพอสมควร พ่อแม่แต่ละบ้านก็ปล่อยลูกออกมาเที่ยวเล่นอิสระ ไม่ค่อยได้ดูแลใกล้ชิดซักเท่าไหร่ สมัยนั้น อันตรายต่าง ๆ มีน้อย แก๊งค์ลักเด็ก ทำร้ายเด็ก คนเสพยาบ้ายาเสพติดคุ้มคลั่งก็ไม่ค่อยมี หรือมีก็ไม่ได้กรายใกล้เข้ามาหาพวกผมที่ยังเป็นเด็กอยู่ พ่อแม่สมัยนั้นถึงไม่ค่อยต้องระวังกันมาก ผมจำรายละเอียดตอนนั้นไม่ได้ชัดนักว่า กลุ่มเด็กที่ผมไปด้วยเป็นใครมั่ง แต่ก็เป็นเด็กแถวบ้านที่รุ่นราวคราวเดียวกันนั่นแหละ ชอบเดินจับกลุ่มกันไปเที่ยวเล่นยิงนกตกปลา ปรากฏว่า วันหนึ่ง ขณะที่พวกผมเดินเล่นไปไกลจากบ้านพอสมควร พอเดินผ่านบ้านลุงคนหนึ่ง เค้าเลี้ยงปลากัดขาย พวกผมเป็นลูกค้าขาประจำลุงเค้าเองแหละ เคยมาซื้อปลากัดแกอยู่บ่อย ๆ ปรากฏว่า วันที่พวกผมเดินผ่านไป แล้วแวะเข้าไปดูอยากจะดูเล่นเท่านั้นแหละ ตอนนั้นไม่มีตังค์จะซื้อ เด็ก ๆ อย่างพวกผมบางจังหวะก็ไม่ได้พกตังค์ติดตัวกันเลย เวลาจะใช้ตังค์ค่อยไปขอพ่อแม่กันที เวลาพวกผมเข้าไปดูปลากัด เอาอีกแล้วลุงแกดันหายไปไหนไม่รู้ พวกผมเรียกหาก็ไม่มีใครอยู่ เอาละซิพอเห็นไม่มีใครอยู่ วายร้ายตัวเล็กอย่างพวกผมหรือจะไปทนไหว ฤกษ์ดาวโจรขึ้นกะทันหันอีกแล้ว แต่ละคนกระซิบกระซาบกันว่า ลุงเจ้าของบ้านไม่อยู่จะเอายังไงดี แต่ละคนเสนอว่า ตักปลาใส่ถุงกลับบ้านคนละถุงสองถุงแล้วกัน นั่นแหละ พวกผมรีบพากันหาถุงพลาสติกจากบริเวณบ้านของลุงนั่นแหละ ผมหาได้ถุงนึงขนาดใหญ่พอสมควร จากนั้นก็หาที่ช้อนปลาเอามาช้อนปลากัดที่เลี้ยงอยู่ในลอง (คอนกรีตหล่อทรงกระบอก มีแต่พื้นไม่มีฝา คนนิยมเอาไปทำบ่อเกรอะของส้วม กับเอามาเลี้ยงปลากัด) ใส่ถุงพลาสติกได้พอสมควร พอทุกคนช้อนปลากัดได้คนละถุง รีบวิ่งออกจากบ้านลุงทันที แล้วรีบวิ่งมั่งเดินมั่งกลับบ้านใครบ้านมัน ความผิดครั้งที่ขโมยปลากัดที่บ้านลุงนี่ ผมโชคดีไม่ถูกจับได้เหมือนทุกครั้ง แต่ผมไม่กล้าไปขโมยอีก สงสัยเป็นเพราะผมโดนเขาจับได้ว่า ขโมยของในครั้งที่ 1 หรือครั้งที่ 2 นั่นเอง ทำให้ผมไม่ได้ขโมยของอีกนับแต่นั้นมา

ปลากัดหม้อยอดนักสู้
ปลากัดหม้อยอดนักสู้










ดูรายละเอียดเกี่ยวกับรูปภาพได้ที่ http://www.musicvideos.com/watch/-k8eocFxnD0.html

          การที่ผมเลือกอาชีพเสริมเป็นขโมย นอกเหนือจากการเรียน ผมทำเฉพาะตอนเป็นเด็กอายุยังไม่ถึง 10 ขวบ ต้องบอกว่าเป็นเรื่องของการรู้เท่าไม่ถึงการณ์จริง ๆ ผมไม่ได้เป็นอาชญากรโดยกำเนิด หรือโรคจิตชอบขโมยของ การกระทำของผมกับบรรดาเพื่อน ๆ ที่ทำด้วยกันทั้งหมด เป็นการกระทำของเด็ก หรือเยาวชนทั้งสิ้น ไม่ต้องไปต่อว่าว่าพ่อแม่ผู้ปกครองครูบาอาจารย์ไม่สั่งสอน” (ทุกท่านสั่งสอนผมหมดแล้ว แต่ผมไม่จำ จำไม่ได้ หรืออะไรอีกรู้มั้ยครับ ที่ทำให้คนคิดทำผิด กล้าทำผิด ก็เวลาทำผิดมีเราคนเดียว หรืออาจมีเพื่อนด้วยก็ได้ ทำผิดกันเพียงลำพัง มองดูแล้วไม่มีใครเห็น ไม่มีใครรู้ แล้วเราก็คิด หรือเข้าใจเอาเอง (พวกคิดทำผิด มักมองโลกในแง่บวก คิดเสมอว่า ทำผิดไปแล้วไม่มีใครจับได้ไล่ทันแหง) ว่าการกระทำของตน คงไม่มีใครเห็น หรือรู้แน่ แล้วเป็นไงครับ ความลับไม่เคยมีในโลก ผมกับไอ้กล้วยก็คิดอย่างเดียวกันนั่นแหละว่า เวลาเข้าไปขโมยของบ้านท้ายซอย คงไม่มีใครรู้ใครเห็น แต่เอาเข้าจริงก็อย่างที่เล่าให้ฟังนั่นแหละถูกเขาจับได้คาหนังคาเขา ว่ากำลังขึ้นบ้านเตรียมขโมยของของเขา รีบหนีกันแทบไม่ทัน ถ้าคนคิดทำผิด รู้ทั้งรู้ว่าทำผิดไปแล้วคนอื่นรู้แน่ หรือถูกจับแน่ คงเลิกคิดแผนการจะทำผิดกันไปมากเชียวแหละ) หรือสภาพแวดล้อมของบ้านพักอาศัยไม่ดี สภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยของผมดี ไม่ได้เป็นแหล่งเสื่อมโทรม ไม่เป็นที่มั่วสุมของอาชญากรที่จะบ่มเพาะให้พวกผมเติบโตเป็นวายร้ายตัวเอ้แต่อย่างใด เมื่อสังคมส่วนรวมมองเห็นความจริงเกี่ยวกับเด็กหรือเยาวชนเช่นนี้  รู้ว่าเด็กหรือเยาวชนเป็นผู้มีสติปัญญาน้อยอ่อนด้อยประสบการณ์ ไม่รู้สิ่งใดผิด สิ่งใดถูก สิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ มีโอกาสทำผิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้มาก หากเด็กกระทำผิด แล้วพิจารณาตัดสินโดยใช้เกณฑ์เดียวกันกับผู้ใหญ่ น่าจะเกิดความไม่เป็นธรรม แล้วอีกอย่างคือเด็กเป็นไม้อ่อน ยังมีโอกาสดัดให้เป็นไปในทางที่สังคมต้องการได้อีกมาก สังคมถึงต้องกำหนดวิธีการต่าง ๆ ที่จะดำเนินการกับเด็ก หรือเยาวชนเมื่อเด็ก หรือเยาวชนกระทำผิด แยกต่างหากจากวิธีการดำเนินการกับผู้ใหญ่ มุ่งเน้นให้เด็กสามารถกลับเข้าสู่สังคมได้อย่างไม่เกิดปัญหา
          คนเป็นมนุษย์ปุถุชน ย่อมทำบางสิ่งบางอย่างผิดพลาดมากบ้างน้อยบ้างเป็นธรรมดา มีใครคนไหนกล้าพูดว่าตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยทำผิด (คุณอาจกล้าพูดแต่ผมไม่กล้าเชื่อ) แทบทุกคนเคยทำผิด (ที่เว้นไว้ไม่ระบุทุกคน ก็เพราะศาสดาของศาสนาต่าง ๆ ทุกคนเกิดมาอย่างบริสุทธิ์ และไม่เคยทำอะไรผิดจริง ๆ) ไม่ว่าความผิดจะเล็ก หรือใหญ่ แต่ที่คนทั่วไปไม่รู้ อาจเป็นเพราะเจ้าตัวคนทำปกปิดเรื่องไว้เก่ง จนคนอื่นไม่รู้ มีความอายแต่ไม่กล้าที่จะเปิดเผยให้คนอื่นรู้ ยิ่งสำหรับเด็กผู้ชายจอมทะโมนทั้งหลาย กว่าจะโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ได้ ต้องสัมผัสเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ในสังคม เรื่องมากมายถั่งโถมเข้ามาสู่โลกทรรศน์แคบ ๆ ที่ไม่เคยเรียนรู้อะไรมาก่อน การลองผิดลองถูกเป็นวิธีการที่เด็กต้องใช้เป็นอย่างแรก เพราะไม่รู้จะไปปรึกษาใคร ปรึกษาผู้ใหญ่ก็ไม่กล้า ปรึกษาเพื่อนฝูงยังพอทำเนา แล้วเป็นยังไง เด็กมีสติปัญญาน้อยอ่อนด้อยประสบการณ์ ไม่รู้สิ่งใดถูก สิ่งใดผิด สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร พอลองทำตามที่ตัวเองคิด หรือเพื่อนแนะนำส่วนใหญ่ไม่รอดจากการทำผิดกันทั้งนั้น เรื่องของบางคนหากให้เล่าความจริงให้ฟังเราอาจตกใจ เพราะมันอาจรุนแรงกว่าเรื่องของผมไปอีกหลายเท่า แล้วการทำผิดของแต่ละคน ไม่ใช่จะโชคดี ผู้เสียหาย หรือฝ่ายบ้านเมืองให้อภัยเสมอ บางคนคราวซวยมาเยือน ทำผิดแล้วคนไม่อภัยให้ หรือทำผิดอย่างที่ไม่สามารถจะแก้ไขอะไรได้ ต้องถูกดำเนินคดีติดคุกติดตาราง หรือต้องเข้ารับการอบรมในบ้านเมตตา กรุณา ฯลฯ เสียประวัติไปแต่ตอนเป็นเด็ก หรือเยาวชน ช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าใจจริง ๆ
          การลักขโมยของอย่างผม เขาเรียกพวกลักเล็กขโมยน้อย คนส่วนใหญ่แม้กระทั่งผมเองในปัจจุบันยังเห็นเป็นเรื่องไม่ดี น่ารังเกียจ น้อยคนนักที่จะกล้าเล่าเรื่องเหล่านี้สู่กันฟัง ผมเอาเรื่องอย่างนี้มาเล่าให้ฟัง แล้วไม่อาย หรือไม่กลัวว่าคนเขาจะรังเกียจเอาหรือ? ผมขอบอกเลยว่า ผมเอาเรื่องเหล่านี้มาเล่าอย่างไม่อาย ไม่กลัวถูกรังเกียจว่าเป็นพวกขี้ลักขี้ขโมย เพราะผมเห็นประโยชน์น่าจะเกิดขึ้นมากกว่าการที่ผมจะอายเก็บเรื่องนี้นิ่งไว้ กับตัวคนเดียว คุณได้ฟังแล้วจะได้เอาข้อเท็จจริง เหตุผล ข้อเสนอแนะของผมไปปรับใช้กับชีวิตของคุณกับลูกหลาน ดูแลไม่ให้เค้าทำผิดก่อความเดือดร้อนกับคนอื่น เกิดประโยชน์กับสังคมส่วนรวมแม้เพียงน้อยนิด ผมก็ดีใจแล้ว อีกอย่างที่ผมสามารถเล่าอย่างไม่อาย และไม่กลัวใครจะรังเกียจ ก็ด้วยตอนที่ผมทำผิดผมเป็นเด็กจริง ๆ เด็กอย่างผมไม่เคยรู้หรอกว่า การลักขโมยของ การซื้อปืนมาเก็บไว้ (ผมกำลังจะเล่าให้ฟังต่อไป) เป็นความผิดที่มีโทษทางอาญา หากถูกจับกุมดำเนินคดีอาจถึงขั้นติดคุก ทำให้ตนเอง และครอบครัวเดือดร้อน เท่าที่รู้ตัวตอนนั้นผมรู้เพียงการลักของ การเล่นปืน ไม่น่าจะเป็นเรื่องดี ต้องแอบ ๆ ทำ แต่ก็ไม่รู้แน่ชัดหรอกว่า ทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วมันไม่ดียังไง นั่นแหละสิ่งที่เรารู้จักเรียกกันว่า ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เป็นมูลเหตุใหญ่ทำให้ผมหลงผิดทำไป ไม่อาจย้อนเวลากลับไปแก้ไขไม่ให้เกิดเหตุร้าย ๆ อย่างนั้นได้ (นี่เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่หนังการ์ตูนนะนาย) ถ้าท่านสังเกตสิ่งที่ผมเล่ามา ผมรู้สึกสำนึกผิดทุกครั้งที่ทำผิดแล้วมีคนรู้ ยังไม่ต้องมีการลงโทษผมก็กลัว และไม่กล้าสู้หน้ากับใครแล้ว จะไม่หวนกลับไปทำสิ่งที่เคยทำผิดอีก เด็กผู้ชายส่วนใหญ่ไม่ว่าจะอยู่ในยุคก่อนผม ยุคผม หรือยุคปัจจุบัน มีโอกาสสูงที่จะทำเรื่องผิด ๆ เรื่องโลดโผนโจนทะยาน ไม่เฉพาะแต่เรื่องลักขโมยของ หรือเรื่องอาวุธปืนอย่างของผมเท่านั้น สังคมส่วนรวมเปิดกว้างบรรจุกิจกรรมนอกหลักสูตรให้เด็ก ๆ มีโอกาสเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยเยอะแยะมากมาย แล้วแต่ว่าแวดวงสังคมที่เด็กอาศัยอยู่ จะมีกิจกรรมน่าสนใจอะไรบ้าง บางแห่งมีเรื่องยาเสพติด บางแห่งแข่งรถบนถนนหลวง หรือบางแห่งชอบการเป็นนักเลงโต ฯลฯ แล้วเด็กส่วนมากเห็นเพื่อนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ทำอะไรก็ได้ เพื่อนไม่เคยผิด ดังนั้นเด็ก หรือเยาวชนมีแนวโน้มทำผิดเพราะเพื่อน (เหมือนของผมตอนไอ้กล้วยชวนไปลักตังค์บ้านท้ายซอยไง) ไม่ว่าเพื่อนจะเป็นคนชวนให้ทำผิด หรือเพราะเรามีเพื่อนทำให้ใจกล้าที่จะทำผิด ถ้าเพื่อนชวนเพื่อนเรียกแล้วไม่ทำ ไม่ร่วมกิจกรรม เพื่อนจะหาว่าเราขี้กลัว ขี้ขลาด ไม่กล้า ทำให้เข้ากับเพื่อนไม่ได้ เพื่อนไม่ยอมรับ แล้วไอ้การที่เพื่อนไม่ยอมรับ เป็นเรื่องที่เด็กหรือเยาวชนรับไม่ได้ซะด้วยสิ สำหรับผมเป็นอีกแบบนึง แต่ก็ได้ผลลัพธ์เป็นอย่างเดียวกัน ทำผิดเหมือนกัน คือ ผมเป็นคนขี้เกรงใจเพื่อน ใครชวนทำอะไรเอาด้วยหมด ไม่ค่อยขัดใจใคร บางครั้งก็พอรู้ว่า สิ่งที่จะทำมันไม่น่าจะดี แต่เมื่อเพื่อนชวนทั้งทีก็ต้องฉลองศรัทธา ไปเป็นเพื่อนมันหน่อย เดี๋ยวหาว่าไม่รักกันจริง จะเห็นได้ว่า มูลเหตุใหญ่ในการทำผิดของผม คือ การรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่รู้ว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก ทำไปแล้วจะมีคนอื่นได้รับความเดือดร้อนหรือไม่ ถ้าถูกจับกุมดำเนินคดีต้องติดคุก ตัวเอง และครอบครัวเดือดร้อนแน่ ตอนเด็ก ๆ ผมบอกได้เลยว่า ผมไม่รู้สิ่งเหล่านี้แม้แต่น้อยจริง ๆ แต่ผมไม่ขอยกเหตุผลเหล่านั้นมาเป็นข้อแก้ตัวว่าผมไม่ผิด (ไม่อยากเป็นคนจัญไร) ขอยืดอกยอมรับผิดอย่างเต็มประตู ไม่โทษความไม่รู้ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เป็นจำเลยฝ่ายเดียว เราต้องยอมรับว่า มีเด็กหรือเยาวชนอีกมากที่ไม่ทำผิดแบบผม ทั้งที่เค้าก็เป็นเด็กหรือเยาวชน มีความไม่รู้ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เหมือนกันกับตัวผมนี่แหละ ส่วนสำคัญที่มีผลต่อการทำผิดของผมตอนนั้น เพราะเห็นเป็นเรื่องสนุกตื่นเต้น ท้าทาย ตอนผมลักของ ผมไม่ได้ต้องการของเท่าไหร่นัก ผมลักเพียงเพราะอยากจะลัก ของที่ได้มาก็ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ไม่ได้ใส่ใจอะไรอีก เป็นวิสัยธรรมดาของเด็กแท้ ๆ ที่เวลาอยากได้ อาจถึงขั้นชักดิ้นชักงอร้องไห้ พอได้ของที่ต้องการมาแล้วเล่น 2 ครั้งก็เบื่อทิ้งแล้ว ที่ผมบอกว่าผมกล้าเล่าเรื่องความผิดของผมได้อย่างไม่อาย และไม่กลัวใครรังเกียจก็เพราะอย่างที่บอกไปแล้ว ไม่แปลกหรอกที่เด็กจะทำผิด ไม่ว่าเด็กจะถูกเลี้ยงมาดีแค่ไหน ความเป็นเด็กนี่แหละทำให้คิดตัดสินใจทำสิ่งไม่ถูกไม่ควร เมื่อทำผิดจนเค้าจับได้ หรือรู้เรื่องก็สำนึกเสียใจพักนึง พอเวลาผ่านไปซักพักก็ลืม กล้าที่จะทำผิดครั้งใหม่ขึ้นอย่างที่เห็น และอีกอย่างหนึ่ง การทำผิดอย่างผมผมทำขณะที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำขณะเป็นเด็กสติปัญญาน้อยด้อยประสบการณ์ ไม่รู้การกระทำของตัวก่อความเดือดร้อนกับคนอื่น พอผมโตพอจะรู้รายละเอียดเกี่ยวกับการทำผิด ผลกระทบที่คนอื่นเดือดร้อน ผมเลิกการกระทำผิดอย่างเด็ดขาด ไม่เคยหวนกลับมาทำมันอีกเลย ปัจจุบันเข้าไปในบ้านคนอื่นมีของเยอะแยะ เจ้าของบ้านไม่อยู่ ไม่เคยคิดอยากหยิบอะไรซักอย่าง คอยคิดอยู่ว่าของไม่ใช่ของเราไม่เห็นอยากได้ ให้ฟรียังไม่อยากเอาเลย การทำผิดต่าง ๆ ในสังคมที่เป็นปัญหากับเราจริง ๆ และแก้ไขยากมากคือ ผู้กระทำผิดทำผิดขณะเป็นผู้ใหญ่ รู้ผิดชอบชั่วดีทุกอย่าง ทำผิดไปด้วยความตั้งใจ พอถูกจับได้ แก้ตัว (คนจัญไรชอบ) เป็นพัลวันว่าไม่ได้ทำผิด ยกเหตุผลนานาประการ มาคัดง้างว่าตัวไม่ผิด ไม่เคยคิดแก้ไขปรับปรุงไม่ให้เกิดการทำผิดซ้ำอีก มีโอกาสเป็นต้องทำทุกครั้งไป จนกว่าจะย้ายสำมะโนครัวถาวรไปอยู่ในคุก หรือม่องเท่งนั่นแหละ สิ่งเหล่านี้เลวร้ายกว่ากรณีของผมมาก สังคมที่ระส่ำระสาย ก็ด้วยมีคนผิดไม่ยอมรับผิด ทำผิดแล้วไม่ยอมแก้ไขปรับปรุงการกระทำของตนไม่ให้ผิดพลาดขึ้นอีกนี่เอง
          ช่วงเวลาถัดมาผมโตขึ้นมาอีกหน่อย อายุประมาณ 13 – 14 ขวบ ตอนนั้นเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี 3 (ม.3) อยู่ที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศิลปากรนครปฐม เริ่มเล่นปืนกระบอกแรกเป็นปืนสั้นแบบลูกโม่ (ปืนสั้นที่ใช้กันอยู่มี 2 แบบ คือ แบบรีวอลเวอร์ หรือลูกโม่ กับแบบออโตเมติก หรืออัตโนมัติ)

ปืนออโตเมติก หรือ ปืนอัตโนมัติ

















ดูรายละเอียดเกี่ยวกับรูปภาพได้ที่ 
http://www.glock-club.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&p=22444

ปืนรีวอลเวอร์ หรือ ปืนลูกโม่











ดูรายละเอียดเกี่ยวกับรูปภาพได้ที่ 
http://www.xn--12cna5cs3df4ie7d3j.com/product/27/ปืนลูกโม่-357-4-นิ้ว 

          ยี่ห้อ ลามา เป็นปืนผลิตในประเทศเสปน แวดวงคนเล่นปืนบอกกันว่า ปืนเสปนคุณภาพไม่ค่อยดี ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่า ปืนอะไรดีไม่ดี เห็นเป็นปืนล่ะชอบหมด พอน้องชายคนรองมาบอกผมว่า คนรู้จักกันอยากขายปืน .38 กระบอกนึงราคา 3,500 บาท ผมจะเอามั้ย ถ้าเอา เค้าจะเอาปืนมาให้ดู ผมสนใจทันที คุณดูนะครับ ผมอายุเพียง 13 – 14 ขวบ ป่าป๊ากับแม่ให้ตังค์ไปโรงเรียนวันละไม่กี่บาท อย่างมากผมก็ไปส่งลูกชิ้นให้ลูกค้าแม่ที่กรุงเทพฯ ในวันหยุด ได้ตังค์นิดหน่อย แต่ที่ผมเคยบอกว่าผมเก็บตังค์เก่ง ผมไม่ค่อยใช้ตังค์ซี้ซั้ว อยากได้อะไรที่จำเป็นต้องใช้จริง ๆ ถึงซื้อ ผมเก็บตังค์ไว้พอซื้อปืนพอดี ผมเลยบอกน้องชายว่า อยากจะได้ปืนกระบอกนี้ ลองให้เขาเอามาให้ดู ถ้าชอบจะได้ซื้อเลย พอผมไปดูปืน คนเอาปืนมาให้เป็นรุ่นใหญ่กว่าผมหลายปี ไม่รู้จักกันมาก่อน เขาเอาปืนออกมาให้ดู ผมหยิบปืนขึ้นมา มันเป็นปืนลูกโม่แบบบรรจุ 5 นัด ขนาดไม่ใหญ่มาก เหมาะมือเหม็ง เห็นแวบแรกก็ชอบซะแล้วตามประสาคนชอบปืน ขอซื้อมาเป็นของตัวเองทันที ด้วยความอยากได้ไม่ได้ต่อราคาลงมาซักคำ ปืนกระบอกนี้ ตอนจับลูบ ๆ คลำ ๆ ไม่ทันเห็นสิ่งผิดปรกติหรอก พอได้มาเป็นของตัวเองได้ตรวจจับดูจริง ๆ จัง ๆ ทดลองสับไกดูถึงได้พบข้อบกพร่องของมันอย่างนึง คือ ปืนรีวอลเวอร์ หรือปืนลูกโม่ธรรมดานั้น เวลาเราสับไก ลูกโม่ของมัน จะหมุนเอารังเพลิงที่บรรจุลูกกระสุนเข้ามารับนกปืนที่จะสับเข้ามาที่จานท้ายลูกกระสุนพอดีเป๊ะ ปืนก็จะลั่นหัวลูกกระสุนออกไป แต่กระบอกของผมมันมีรังเพลิงช่องนึง เวลาสับไกลงมา รังเพลิงของมันจะหมุนเกินล็อก พอมันหมุนเกินล็อก เวลานกสับลงมามันก็จะสับไม่ถูกแก๊ปที่ตูดลูกกระสุน ปืนก็ไม่ลั่น แต่ตอนนั้นผมไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก เพราะไม่ค่อยได้ยิงจริงซักเท่าไหร่ แล้วก็ไม่รู้ว่า การที่ลูกโม่หมุนเกินล็อกจะทำให้ปืนไม่ลั่น ความชอบปืนของผมติดตัวมาตั้งแต่ผมยังตัวเล็กกระเปี๊ยกเดียว เวลาผ่านร้านปืนประเสริฐ หรือ ร้านปืนอะไรก็ตาม(นครปฐมีร้านปืน 2 ร้าน ร้านหนึ่ง คือ ร้านปืนประเสริฐ ตั้งอยู่ระหว่างซอย 1 กับซอย 2 ถนนเทศา อ.เมือง จ.นครปฐม อีกร้านชื่ออะไรไม่รู้อยู่ที่ตลาดบน) เป็นต้องไปยืนหน้าตู้กระจกดูปืนที่เขาโชว์ด้วยความกระสันอยากได้อย่างมาก ความอยากได้ปืนของผมมันมีที่มาจากการที่ว่า ก่อนหน้านี้ตอนที่ยังเด็กกว่านี้หน่อย ผมชอบยิงหนังสะติ๊กมาก ป่าป๊าซื้อรถจักรยานคันเตี้ย ๆ คันหนึ่งให้ผม จักรยานคันนี้แหละเป็นสุดยอดพาหนะพาผมเดินทางไปไหนมาไหนได้ดังใจ ที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือ มันเป็นพาหนะพาผมไปล่าสัตว์ได้ดีที่สุด ตัวผม หนังสะติ๊ก 1 อัน รถจักรยานคันเล็ก ๆ 1 คัน ก็พร้อมที่จะยิงลูกหินใส่หลังคาให้ชาวบ้านเดือดร้อนได้แล้ว (ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกว่า จะทำให้ใครเขาเดือดร้อน สนใจแต่เรื่องยิงนกท่าเดียว) ตอนนั้นผมใช้หนังสะติ๊กยิงแหลก ยิงสัตว์สารพัด ไม่สนใจว่า มันจะเป็นสัตว์อะไร นกเป็นเป้าหมายอันดับแรกที่อยากจะยิง ถ้าเห็นสัตว์อะไรเข้ามาขวางทางหนังสะติ๊กมรณะ พวกมันมีโอกาสมรณังได้ง่ายที่สุด เพราะผมจะยิงโดยไม่สนว่ามันเป็นตัวอะไร ผมถือว่ามันมีวาสนาต่อกันได้ผ่านเข้ามาเป็นเป้ากระสุนของผม ไม่ว่าจะเป็น กิ้งก่า, จิ้งเหลน, อึ่งอ่าง, คางคก, ค้างคาว ฯลฯ ตามแต่ตัวอะไรจะซวยให้ผมเห็นเป็นยิงดะ พวกสัตว์เหล่านี้ส่วนใหญ่เห็นตัวอยู่ใกล้ ๆ ยิงไปก็โดนทั้งชาติ ยิงแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรนะ ยิงให้มันตายเล่นอย่างงั้นแหละ (บัดซบจริง ๆ เลย) เป้าหมายที่เป็นที่ต้องการประลองความแม่นที่สุดของผมคือ นก ไม่ว่านกนั้นจะชื่ออะไร ลองมาเกาะให้ผมเห็นระยะหนังสะติ๊กยิงถึงเป็นได้เห็นดีกัน  ผมชอบยิงนกมาก ถ้ามันเกาะอยู่บนต้นไม้ ผมจะยิงจนกว่าจะโดน หรือไม่มันก็บินหนีไปเอง บ่ายแก่ ๆ วันหนึ่ง นกแซงแซวหางปลาชะตาถึงฆาต (นกสีดำทั้งตัว รูปร่างคล้ายนกกางเขน มีหางยาวปลายเป็น 2 แฉก คล้ายหางปลา สมัยนั้นเห็นอยู่บ่อย ๆ ระยะหลังมานี่ไม่ค่อยได้เห็นแล้ว)


นกแซงแซวหาปลา










ดูรายละเอียดรูปภาพได้ที่ https://bit.ly/2rq5Qij

ซวยอย่างมโหฬาร บินมาเกาะต้นมะพร้าวข้างทางที่ผมขี่รถจักรยานผ่านมาถึงพอดี ผมลงรถ หยิบก้อนหินที่เตรียมมาใส่หนังสะติ๊กเล็งไปที่นกตัวนั้น ยิงเพรี๊ยะเดียวร่วงผล็อยหล่นตุ้บลงมา ผมงงเลยคิดว่า อ้าวโดนด้วยเหรอวะ ปรกติยิงไปเถ๊อะไม่ค่อยจะโดนหรอก นกอยู่บนต้นมะพร้าวสูงขนาดนั้น คิดว่ายิงไปก็คงไม่โดนหรอก พอโดนเข้าถึงกับงงเลยไง พอหายงงเข้าไปดูที่ที่นกตัวนั้นตกลงมา เห็นเลือดออกจากปากม่องเท่งไปแล้ว คุณว่าตลกมั้ย ตอนยิงนะเล็งแล้วเล็งอีก เงื้อหนังสะติ๊กสุดกำลังหันหน้าหนังสะติ๊กให้ตรงที่สุด หวังยิงเพรี๊ยะเดียวร่วง พอยิงโดนมันร่วงจริง ๆ ขึ้นมา ดันเกิดสงสารมันขึ้นมาซะงั้น ก็แค่สงสารไมได้ถึงกับร้องไห้ให้มันหรอก (ร้องได้ไง ขืนร้องไห้ เสียชื่อนักฆ่าแห่งซอยไฟไหม้หมด) หยิบเอาตัวมันใส่ถุงกลับบ้านมาทำพีธีศพให้อย่างสมเกียรติ พิธีศพนี้มีผมคนเดียวจัดการงานทุกอย่าง ตั้งแต่คนสวดยันสัปเหร่อ คนนับถือศาสนาคริสต์ เวลาทำพิธีศพจะอธิษฐานให้กับผู้ตายแล้วก็เอาร่างฝังไว้ในหลุม ผมก็ทำตามนั้น อธิษฐาน แล้วก็เอาร่างของนกฝังลงหลุมเป็นอันเสร็จพิธี ถ้าเกิดผมยิงนกตายแล้วนำตัวมันมาทำพิธีได้ ผมจะหยุดยิงพวกมันไปอีกนานเลยทีเดียว อย่างที่บอกว่าผมสงสารมัน (แต่ผมนี่ก็แปลก รู้สึกสงสารเฉพาะนกอย่างเดียว ทีกิ้งก่า, อึ่งอ่าง, คางคก, หมา ฯลฯ ไม่ยักกะสงสาร) แต่สงสารยังไงก็ไม่รู้ สงสารไปด้วย อยากยิงให้หล่นไปด้วย บ้าดีเหมือนกัน ที่เล่ามายืดยาวก็เพื่อจะบอกว่า การชอบยิงสัตว์สารพัดนี่แหละ ทำให้ผมอยากได้ปืนมายิงพวกมันแทน คิดว่า ถ้าได้ปืนมาแทนหนังสะติ๊กคงจ๊าบไม่ใช่น้อย เวลาผ่านไปร้านปืนถึงไปมองดูอย่างอยากได้ล้นเหลือ ขนาดอายุยังไม่ถึง 20 (ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ซื้ออาวุธปืนไม่ได้) ยังเคยถามร้านปืนเลยว่า ปืนยาวลูกกรด .22 ซีแซด (ปืนยอดนิยม คนชอบปืนรู้จักแทบทุกคน คุณภาพดี ราคาไม่แพง) ราคากระบอกละเท่าไหร่ ตอนนั้นเมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา ร้านปืนบอกผมว่า ราคากระบอกละ 3,500 บาท ผมอยากได้มากเลย อยากจะเอามายิงนก ยิงหนู ยิงอะไรก็ได้ที่อยากจะยิงให้สนุกมือไปเลย คิดอยู่เสมอว่า ถ้ามีตังค์ต้องซื้อแน่ ๆ ปรากฏว่า ช่วงหลังต่อมา ผมเคยถามอีก 3 – 4 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกันหลายปี ถามครั้งนึงทางร้านบอก ราคา 7,000 บาท ผ่านไปอีกไม่กี่ปี ถามอีก บอกราคา 10,000 กว่าบาท มาปัจจุบันราคาน่าจะสูงขึ้นกว่าเดิมอีกเยอะ เพราะปืนมันเป็นของนำเข้าเวลาซื้อคิดเป็นดอลล่าร์ ตอนหลังเราลดค่าเงินจากดอลล่าร์ละ 20 บาท เปลี่ยนไปเป็น 40 บาท ราคาปืนเลยเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว แต่ผมไม่เคยไปถามอีกเลย เพราะความอยากได้ปืนลูกกรดมายิงนกมันหายไปจากหัวสมองผมนานแล้ว (ผมคิดว่า การที่ผมได้เป็นตำรวจ มีและใช้อาวุธปืนได้เอง เห็นมันทุกวันคงทำให้ชิน ต่างกับตอนเด็กๆ ที่เห็นปืนเป็นสิ่งแปลกใหม่ อยากได้อยากลอง แล้วอีกอย่าง ผู้ใหญ่ที่เขาเห็นเราไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จะคอยเตือนผมอยู่เสมอว่า อย่าไปยิงพวกมันเลย เป็นเวรเป็นกรรมกันเปล่า ๆ  แล้วยังได้ยินแม่เล่าให้ฟังอีกว่า เวลาน้องชายคนเล็กผมไปตกปลา แกคอยอธิษฐานไม่ให้น้องชายผมตกปลาได้ ไม่อยากให้เป็นเวรเป็นกรรมแก่กัน น้องชายผมก็ตกปลาไม่ได้จริง ๆ ไม่รู้เพราะคำอธิษฐานหรือตัวเองโชคไม่ดีไม่รุ พอผมค่อย ๆ ซึมซับรับกระแสสังคมที่กลัวว่า การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตจะก่อเวรกรรมให้กับผู้กระทำมากเข้า ผมเลยเลิกฆ่าสัตว์ เดี๋ยวนี้ สัตว์เล็กสัตว์น้อยที่อยู่ในบ้านผม ไม่จำเป็นจริง ๆ จะไม่ฆ่ามัน มีคนจะมาจับกิ้งก่าที่อยู่แถว ๆ ต้นไม้บริเวณบ้านผมไปกิน ถ้าผมอยู่บ้านผมจะไม่ให้ใครมาจับสัตว์ที่อยู่ในบริเวณบ้านผมไปเด็ดขาด
          พอผมได้ปืนกระบอกแรกมา คุณก็รู้อยู่แล้วว่า ไม่มีพ่อแม่ผู้ปกครองคนไหนอยากให้ลูกที่ยังเด็กมีปืนเถื่อนไว้ในครอบครองหรอก ดังนั้น ถ้าอยากให้มันอยู่กับเรานาน ๆ ก็ต้องเก็บปืนกระบอกนี้เป็นความลับสุดยอด แม้กระทั่งน้องชายคนรองที่แนะนำให้ผมไปซื้อ ผมยังไม่บอกให้รู้ที่ซ่อนของมันเลย ผมนอนที่ชั้น 3 ของบ้าน คนอื่นในบ้านจะนอนกันที่ชั้น 2 ที่นอนของผมเป็นเตียงไม้มีช่องเก็บของอยู่หัวเตียง นั่นแหละที่ซ่อนปืนชั้นดีของผม พอว่างเมื่อไหร่ เป็นต้องหยิบขึ้นมาดู มาจับ มาเล็ง อยากจะยิงเหลือเกิน แต่ก็ยิงไม่ได้ เพราะแถวบ้านผมเป็นตึกแถว ยิงไปเดี๋ยวคนเค้าจะแตกตื่น และแล้ววันนึงหลังจากได้ปืนมาไม่นาน ความอยากยิงปืนมันมากเกินห้ามใจ หยิบปืนเล็งออกไปทางหลังบ้านเล็งต้นมะพร้าวกดตูมเข้าให้ ได้เรื่องเลยทีนี้ พี่สาวผมวิ่งจู๊ดขึ้นมาดูแล้วลงไปบอกป่าป๊าว่าผมยิงปืน ป่าป๊าขึ้นมาที่ผมริบปืนไปทันที เป็นอันว่าจบกัน ไอ้ปืนเพื่อนยาก อยู่กันได้แป๊บเดียวก็ต้องจากกันแล้ว ผมมารู้ทีหลังว่า หลังจากป่าป๊ายึดปืนกระบอกแรกของผมไป แกเอาไปทิ้งที่บ่อน้ำท้ายซอยบ้านที่ผมอาศัยนั่นเอง"เฮ้อ ไม่น่าซ่าส์เลย เสียดายเป็นบ้า"
          ตอนที่ผมอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (ม.3) นี้ การเรียนของผมเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่เก่งแล้วก็ไม่ตก ผลการเรียนระดับปานกลาง เรียนได้เกรดเฉลี่ยประมาณ 2.5 จะขึ้นจะลงก็อีกนิดหน่อยตามแต่ความขยัน ที่ผมเรียนได้เกรดแค่นี้ทั้งที่น่าจะเรียนได้ดีกว่านี้ (ผู้ใหญ่มักพูดให้ผมได้ยินบ่อย ๆ ว่า จริง ๆ แล้วผมเรียนใช้ได้ แต่ติดเล่นมากไปหน่อย) ผมคิดว่าน่าจะจริงตามที่ผู้ใหญ่หลายท่านบอก เพราะวัน ๆ ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องเรียนเลย คิดแต่ว่าวันนี้จะไปเล่นไปทำอะไร ที่ไหน ไม่เคยมีเรื่องเรียนเข้ามาวนเวียนให้คิดในหัวสมองเลย วัน ๆ คอยคิดแต่จะทำกิจกรรมนอกหลักสูตรอย่างเดียว ช่วงนั้นป่าป๊าซื้อจักรยานเตี้ย ๆ ให้ผมคันนึง ทำให้ผมมีพาหนะแสนวิเศษไว้ใช้เดินทางไปที่ต่าง ๆ อย่างสบาย ผมเชื่อว่าที่ ๆ ผมไปที่นึงบรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองน้อยคนจะยอมรับ หรืออยากให้ลูกหลานเข้าไป สถานที่นั้นก็คือ โต๊ะสนุ๊กเกอร์หรือที่เรียกย่อ ๆ ว่า โต๊ะสนุ๊กไงครับ พ่อแม่ผู้ปกครองเห็นโต๊ะสนุ๊กเป็นสถานที่ ๆ เด็กหรือเยาวชนในปกครอง ไม่ควรย่างกรายเข้าไป สำหรับผม ป่าป๊าไม่เคยห้ามผมเข้าโต๊ะสนุ๊กเลย (หลักการของแกมีอยู่ว่า ให้ผมสัมผัสเรียนรู้ชีวิตด้วยตัวเอง เวลาผมเล่นพนันหมดตูด ผมก็ต้องเลิกเองแหละ)เวลาผมไปเล่นสนุ๊กผมก็จะบอกแกว่า ไปเล่นสนุ๊ก แกจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง (เล่นสนุ๊กใช้เวลาเยอะ ไม่บอกป่าป๊าว่าไปไหนเดี๋ยวแกไม่รู้แล้วจะเป็นห่วง) ผมเริ่มเข้าโต๊ะตอนอยู่ ม.3 นี่แหละ ผมเคยเห็นนักสนุ๊กระดับโลกโชว์ฟอร์มให้ดูทางโทรทัศน์แล้ว สนใจอยากเล่นเป็นอย่างมาก ไม่ไกลจากบ้านผมเท่าไหร่มีโต๊ะสนุ๊กอยู่โต๊ะนึง ชื่อ โต๊ะสนุ๊กตึกเยาวดี เป็นที่ ๆ ผมกะเหรี่ยมเข้าไปดูวันละหลายรอบหากมีเวลาว่าง สนใจอยากเล่นอย่างแรง อย่างที่บอกเวลาผมคลั่งไคล้อะไร ใครขวางก็เอาไม่อยู่ ตังค์เก็บได้เพียงวันละไม่กี่บาท คิดอยากจะไปสู้กับเค้าแล้ว แรก ๆ ที่เข้าไปในโต๊ะ ยังไม่รู้จักใคร เข้าไปนั่งดูเขาเล่นก่อน เห็นเขาเล่นกันทุกโต๊ะ ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกผู้ใหญ่เล่นกัน อายุน้อยลงมาหน่อยก็เป็นระดับวัยรุ่นโตกว่าผมทั้งนั้น มีผมนี่แหละเด็กกว่าเพื่อน แต่อยากรู้อยากเล่นจริง ๆ ตามกฎหมายเค้าห้ามไม่ให้เด็กอายุไม่ถึง 20 ขวบ เข้าไปเล่นสนุ๊ก ตอนผมเข้าไปดูก็ไม่เห็นมีใคร หรือตำรวจเข้ามาห้ามปรามอะไร ผมนั่งดูเค้าเล่นสนุ๊กกันอย่างสนุกสนาน ดูจนรู้ว่าการเล่นสนุ๊กมีกติกาการเล่นยังไง คนสนใจอยู่แล้ว ไม่ยากหรอกที่จะเรียนรู้ ดูเดี๋ยวเดียวผมก็รู้กติกาการเล่นหมด วิธีการเล่นไม่มีอะไรยาก จำนวนคนเล่นสนุ๊กสามารถเล่นได้ตั้งแต่ 2 – 4 คน เล่นเดี่ยวเล่นคู่ได้ทั้งนั้น ตอนเริ่มเล่น ผู้เล่นฝ่ายหนึ่งจะต้องแทงลูกสีแดงให้ลงก่อนเป็นอันดับแรก แล้วแทงลูกสีตาม (จะเป็นลูกสีอะไรก็ได้ เกมส์สนุ๊กมีลูกสี 6 ลูก คือ เหลือง เขียว ชอล์ค (สีน้ำตาลเข้ม) น้ำเงิน ชมพู ดำ) เมื่อแทงลูกสีลง ค่อยย้อนกลับมาแทงลูกแดงแล้วต่อด้วยลูกสีอีกตามลำดับ จนเมื่อแทงไม่ลงเค้าจะเรียกว่า หมดไม้ ต้องหยุดแทง ปล่อยให้ฝ่ายคู่ต่อสู้เข้ามาแทงต่อ สลับกันเล่นให้ครบคนไปเรื่อย ๆ พอแทงลูกแดงหมดแล้ว ก็ต้องแทงไล่ลูกสีให้หมด จากลูกเหลือง ไปเขียว ชอล์ค น้ำเงิน ชมพู สุดท้ายก็เป็นลูกดำ ผลการแพ้ชนะ ขึ้นอยู่กับว่าใครสามารถแทงสะสมคะแนนได้มากกว่ากันก็เป็นฝ่ายชนะไป การที่เค้าเรียกเกมส์การแข่งขันนี้ว่า สนุ๊กเกอร์ ก็ด้วยมูลเหตุ คือ เกมส์สนุ๊กเราต้องแทงลูกไปตามลำดับ ตามสี ไม่สามารถแทงข้ามลำดับที่กำหนดได้ หากตามคิวจะต้องแทงลูกแดง หรือลูกสีอื่น เราก็ต้องแทงลูกแดง หรือลูกสีอื่นตามที่กำหนด จะแทงลูกสีอื่นนอกจากที่กำหนดไม่ได้ ใครแทงลูกไม่เป็นไปตามลำดับที่กำหนด เช่น ถึงคิวต้องแทงลูกแดงดันไปแทงลูกสีอื่น หรือคิวต้องแทงลูกสีอื่นดันไปแทงลูกแดง ถือเป็นการทำพลาดต้องปรับแต้มติดลบ (การแข่งขันสนุ๊กทั่วไปในบ้านเรา คิดคะแนนติดลบจากการทำฟาล์วต้องลบ 7 คะแนน ต่างจากการแข่งขันระดับอาชีพ หรือระดับโลก จะปรับแต้มไม่เหมือนกัน จะปรับลบขั้นต่ำสุด 4 คะแนน หรือ ปรับลบตามค่าของลูกก็ได้ ลูกเหลืองมีค่า 2 คะแนน และเขียว 3 คะแนน(การปรับลบต่ำสุดต้องปรับ 4 คะแนน กรณีทำพลาดขณะแทงลูกสีแดง เหลือง หรือเขียว จะไม่ปรับแค่ลบ 1, 2 หรือ 3 ตามคะแนนของลูก แต่จะปรับลบตามคะแนนลบต่ำสุดคือ ลบ 4 คะแนน)ชอล์ค 4 คะแนน น้ำเงิน 5 คะแนน ชมพู 6 คะแนน และ ดำ 7 คะแนน) การที่เราต้องแทงลูกตามที่กำหนดเท่านั้น เวลาเล่นในเกมส์ มีลูกสนุ๊กอยู่บนโต๊ะเยอะ จึงอาจมีกรณีที่ในเกมส์กำหนดให้เราต้องแทงลูกแดง หรือลูกสีอื่น แต่บังเอิญมีลูกอื่นมาขวางทางไม่ให้เราแทงไปที่ลูกนั้นได้โดยตรง ถูกลูกอื่นขวางทางอยู่ การขวางทางนี่แหละเรียกว่าการสนุ๊ก ไม่ว่าการขวางทาง หรือการสนุ๊กจะเป็นไปโดยตั้งใจ หรือไม่ก็ตาม (ถ้าผู้เล่นต้องการแทงให้เกิดการสนุ๊ก เพื่อให้อีกฝ่ายแก้ ถ้าแก้ไม่ถูกจะถูกลบแต้ม การตั้งใจให้เกิดการสนุ๊กนั้นเค้าเรียกการวางสนุ๊ก) ฝ่ายคู่ต่อสู้ที่ถึงคิวลงมาแทงก็จะต้องแทงให้ถูกลูกที่กำหนด กรณีไม่สามารถแทงตรง ๆ ให้ถูกลูกที่กำหนด อาจจะต้องแทงชิ่ง (ขอบโต๊ะสนุ๊กเป็นยางแข็ง เมื่อลูกสนุ๊กมาถูกจะกระเด้งออกไป) เพื่อให้ลูกขาวกระเด้งไปถูกลูกที่กำหนดก็ได้ แทงถูกไม่เสียแต้ม แทงผิดต้องปรับแต้มติดลบ ผมคิดว่าทุกท่านน่าจะเคยมีโอกาสได้ดูในโทรทัศน์ พอจะทราบกติกาคร่าว ๆ กันมาบ้างแล้ว
          ในโต๊ะสนุ๊ก คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาเล่น อย่าให้บอกเลยว่าเป็นพวกใครมั่ง คนอยู่ในแวดวงการพนันทั้งนั้นแหละ แต่ละคนเป็นผู้ใหญ่กันทั้งนั้น ตอนนั้นที่เห็นก็มีผมนี่แหละเด็กกว่าเพื่อน ซ่าส์อยากเล่นสนุ๊กเหลือเกิน บรรดานักเล่นที่เล่นมาก่อนพอเห็นเด็กเข้ามาทำท่าอยากเล่นอย่างนี้ คงคิดกันออกนะครับว่า เค้าจะคิดกันยังไง คิดกินหมูไง (พูดอย่างสุภาพ จริง ๆ เค้าเรียก "คิดแดกหมู" ไง) พอเห็นผมเดินมานั่งดูเค้าเล่น เค้าหยั่งเชิงผมว่า เป็นไงไอ้น้อง อยากลองเล่นดูมั้ยมีเหรอครับที่ผมจะปฏิเสธ รีบหาไม้คิวโดดลงทันที ตอนแรกนั้นไม่รู้เลยว่าไม้คิวที่จะใช้แทงสนุ๊กต้องเลือกยังไง ขนาดความยาวแค่ไหน หัวคิวต้องเป็นยังไง หยิบอันไหนได้รีบเอามาแทงกับเค้าก่อน อย่างกับกลัวเค้าจะไม่ให้เล่น อันที่จริงเค้ากลัวว่าเราจะไม่เล่นกับเค้าจะตาย การที่เราลงไปเล่นกับเค้า ถ้าเค้ากราบเราได้เค้ากราบแล้วหละ เพราะถือว่าเราเป็นผู้มีพระคุณ พอเราลงไปเล่น คนที่ชวนเค้าจะทำทีเป็นเห็นใจเรา ทำนองเราเพิ่งหัดเล่น ต่อแต้มให้เราเพื่อเราจะได้มีโอกาสชนะเค้าได้ ผมในฐานะ "หมูไม่กลัวน้ำร้อน" มีหรือจะกลัว วัน ๆ นึงเก็บตังค์ได้ 10 บาท 20 บาท (ป่าป๊าให้มั่ง จิ๊กจากกระเป๋าแกมั่งกระเป๋าแม่มั่ง) ก็สามารถเข้าไปเล่นได้แล้ว สมัยนั้นราคาเงินยังใหญ่ ค่าครองชีพไม่ลอยละลิ่วติดลมบนอย่างสมัยนี้ เล่นกันเบาะ ๆ เพียงเกมส์ละ 3 บาท 5 บาท แรก ๆ ที่เล่นกัน เค้าจะเล่นกันถูก ๆ ก่อน พอเริ่มเข้าที่ก็จะเล่นแพงขึ้น แต่ก็แพงขึ้นมากไม่ได้ เพราะผมยังเด็กมีตังค์น้อย ผลการเล่นจะเป็นอย่างไรก็ตาม สุดท้ายผมก็ต้องหมดตูดตามระเบียบ (คนเค้าเก่งกว่าเราตั้งบ้าน เราเด็กไม่รู้เรื่อง นึกว่าน่าจะสู้ได้ ญาอ่อน (ปัญญาอ่อน) เน๊อะ) แต่ถึงแม้ผมจะหมดเป็นมาตรฐาน ก็ยังได้ความสะใจ ความมันส์ สู้ไม่ได้ก็ยังอยากจะสู้         

จบตอน

ปรัชญาชีวิตจริงจากความผิดพลาดของประสบการณ์ชีวิตในอดีต ตอนที่ 2 โปรดติดตามตอนที่ 3 ได้ในเร็ว ๆ นี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สวัสดีครับทุกท่าน กรณีที่ท่านติดตามชมบล็อกของผมแล้วต้องการแสดงความคิดเห็น ผมเปิดกว้างสำหรับทุกท่าน ขอความกรุณาแค่แสดงความคิดเห็นให้ตรงกับเนื้อหาของผม กรณีจะแสดงความคิดเห็นที่ไร้สาระ ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาเลย ได้โปรดอย่าทำเลยครับ ผมขี้เกียจลบ ขอบคุณมากครับ

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น