วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ประสบการณ์ชีวิต จากความผิดพลาด ความหลงผิด สู่บทเรียนชีวิตล้ำค่า ตอนที่ 3

          ประสบการณ์ชีวิต จากความผิดพลาด ความหลงผิด สู่บทเรียนชีวิตล้ำค่า ตอนที่ 2 ที่เล่าจบไปแล้วนั้น ได้พูดถึงความผิดพลาด ความหลงผิดของผมหลายต่อหลายครั้ง เป็นความผิดที่หนักหนาพอควร
             ผมลักขโมยทั้งของกิน ลักทั้งปลากัดหม้อ จนโดนเจ้าของเค้าจับได้มั่งไม่ได้มั่ง เท่านั้นยังไม่หนำใจ ยังชอบซื้อหาปืนมาเก็บไว้เหลือเกิน ถ้าตอนนั้นเกิดเฮง ๆ ถูกตำรวจเข้ามาตรวจค้นจับกุมดำเนินคดี สงสัยป่าป๊าถ้าไม่วิ่งเต้นเสียตังค์เยอะ ก็คงต้องถูกดำเนินคดีส่งสถานสงเคราะห์อย่างแน่นอน คิดถึงตอนนั้นยังเสียวไม่หาย ผมนี่เป็นเด็กบ้าอะไรไม่รู้ชอบปืนเหลือเกิน ดันซื้อปืนเถื่อนเก็บอยู่กับตัวตั้ง 3 - 4 กระบอก ไม่ได้รู้เลยว่าโทษจำคุกของมันร้ายแรงขนาดไหน คุณเห็นความสนุกของผมที่เล่ามาแล้วเป็นไงครับ ผมนี่บ้าพอตัวพอดูนะครับ ยัง ยังมีอีกหลายอย่างที่เป็นความผิดพลาด ความหลงผิดในอดีตที่รอให้คุณมารับรู้รับฟัง ขอเชิญติดตามเรื่องราว ความผิดพลาด ความหลงผิด ในอดีตของผมในตอนที่ 3 นี้กันได้เลยครับ

          คุณรู้มั้ย การเล่นสนุ๊กเกอร์ หรือการเล่นกีฬาอะไรก็ตามที่มีการลงเงินเดิมพันกัน (ที่ผมเคยเล่นก็มีกอล์ฟอีกอย่างนึง) ถ้าคุณเล่นกันแบบสนุก ๆ เล่นพนันดื่มน้ำ ใครแพ้เลี้ยงอาหาร หรือเล่นพนันแบบไม่เอาตังค์กันจริงจัง เล่นกันไปชาตินึงก็ไม่เก่งขึ้น ฝีมือไม่มีการพัฒนา คุณไม่ได้เจอประสบการณ์ในเกมส์การต่อสู้อันเข้มข้น ในส่วนของผมนี่ 
ทำตามที่จอมยุทธรุ่นก่อน ๆ เค้าบอกกันเอาไว้เลยว่า จะเล่นสนุ๊กให้เก่งต้องเอาเงินปูให้เต็มโต๊ะ ผมเอาเงินปูโต๊ะตามที่เค้าบอกกันนั่นแหละ ดีอยู่หน่อยที่ตอนนั้นยังเด็ก เงินยังน้อย เอาเงินมาปูโต๊ะได้ก็นิดหน่อย วิธีการเอาเงินปูโต๊ะของผมทำยังไงเหรอครับ ไม่มีอะไรมาก ความซ่าส์ของผมมันเยอะ อยากเล่น ขอให้ได้เล่น (อย่างนี้ภาษาจีนเค้าเรียกเฮาเลี่ยน ผมไม่แปลให้นะ มันไม่ค่อยสุภาพ อยากรู้ถามคนจีนใกล้ตัวดู) ไม่ได้สนเลยว่า ใครจะเก่งกว่า กล้าเล่นกับผู้ใหญ่ที่เก่งกว่า ประสบการณ์ชีวิต ก็มากกว่า ผมเสียตังค์ค่าวิชาไปพอสมควรทีเดียว แต่มันก็ไม่ได้เสียไปฟรี ๆ มันแลกกับการได้ฝีมือการเล่นที่ดีย้อนกลับคืนมา แล้วการที่ผมเล่นเก่งเร็วมันได้ประโยชน์ตรงไหนหละ ผมบอกให้ก็ได้ ประโยชน์มันก็ได้ตรงเวลาที่ผมชวนเพื่อนนักเรียนรุ่นเดียวกัน ไปเล่นสนุ๊กเกอร์ ผมจะมีความได้เปรียบไง เปรียบแล้วตัวเราก็เหมือนผู้ใหญ่คนที่มาชวนผมเล่นตอนแรก ๆ ส่วนพวกเพื่อนผม ก็เปรียบเป็นตัวผมที่เล่นกับผู้ใหญ่ที่ชวนนั่นเอง คนหัดเล่นทีหลัง ถ้าไม่มีพรสวรรค์การเล่นที่โดดเด่นจริง ๆ มีหรือจะสู้คนหัดก่อนได้ แถมผมยังมีประสบการณ์การต่อสู้กับคนที่เล่นแข็ง ๆ มาแล้ว ชวนเพื่อนไปเล่นแต่ละครั้ง ผมได้ตังค์กลับบ้านทุกครั้ง มากบ้างน้อยบ้าง ยากนักที่จะเสีย นี่ก็คือการเข้าสู่วงการพนันเต็มตัวในช่วงแรก ๆ ของผม ก่อนหน้านั้นมีเล่นบ้าง แต่ไม่ได้จริงจังอะไร เห็นผู้ใหญ่เค้าเล่นไพ่ เล่นไฮโลว์กัน เข้าไปแทงแล้วเสียนิด ๆ หน่อย ๆ ก็เลิก ยังไม่ได้เข้าไปเล่นไปคลุกคลีอย่างเต็มตัว


การเล่นสนุ๊กเกอร์ (ต๋อง ศิษย์ฉ่อย)



          ช่วงชีวิตตอนเด็กมีแต่เรื่องเรียนกับเรียน พอขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 (ม.4) พวกผมต้องเลือกกันว่า จะเรียน รด. (อาสาสมัครรักษาดินแดน) หรือไม่ ถ้าเรียน สามารถเอาไปเป็นหลักฐานผ่อนผันการเกณฑ์ทหารได้ หรือหากเรียนได้ตามกำหนด (3 หรือ 5 ปี) จะได้สิทธิ์ไม่ต้องไปเกณฑ์ทหาร หรือได้ยศเป็นว่าที่ร้อยตรี อันนี้ไม่ทราบรายละเอียด อยากรู้คงต้องถามทางทหารผู้รับผิดชอบกัน ตอนนั้นผมตัดสินใจยังไงรู้มั้ยครับ ผมตัดสินใจไม่เรียน ไม่ได้มีเหตุผลดีเด่อะไรหรอก มันก็แค่ไม่อยากเรียนเท่านั้น ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่า เรียนแล้วจะได้อะไรไม่ได้อะไร เหตุผลสำคัญอันนึงที่ทำให้ไม่อยากเรียน คือ เวลาที่เค้าไปเรียน รด. กัน พวกที่ไม่เรียนก็จะถือเป็นชั่วโมงว่าง สามารถโบยบินท่องไปในโลกกว้างได้ ผมก็สบายแหละ ช่วงนั้นกำลังบ้าสนุ๊กเกอร์อยู่ด้วย บรรดาเพื่อน ๆ กลุ่มเดียวกับผมทั้ง 5 คน ต่างก็มีเหตุผลไม่อยากไปเรียน รด. ด้วยกันทั้งนั้น เหตุผลที่มีในแต่ละคนก็แตกต่างกันไป เหตุผลสำคัญส่วนหนึ่งก็คงคล้ายของผมนั่นแหละ อยากจะมีเวลาว่าง จะได้เล่นสนุ๊กเกอร์กันให้ฉ่ำปอดไปเลย (สมัยนั้นคนไม่อยากเรียน รด. มีน้อย ก็มีพวกผมนี่แหละเพียงไม่กี่คน ส่วนใหญ่อยากเรียนกันทั้งนั้น ใครที่อยากเรียนส่วนใหญ่ได้เรียนหมด เดี๋ยวนี้ต่างกันไป อยากเรียนอาจไม่ได้เรียน เพราะเค้ารับสมัครคนเข้าอบรมจำนวนน้อยเสียแล้ว) ช่วงที่ต้องตัดสินใจจะเรียน หรือไม่เรียน รด. ดีนั้น ผมพอจะรู้ว่า เมื่อเรียน รด. แล้ว สามารถเอาหลักฐานการเรียนไปผ่อนผันการเกณฑ์ทหาร หรือได้สิทธิอะไรบ้าง ผมกับกลุ่มเพื่อนไม่เห็นมีใครใส่ใจกัน ทำอย่างกับไม่กลัวว่าจะต้องไปเกณฑ์ทหาร โดยส่วนตัวของผมจริง ๆ แล้วผมกลัวนะ
          ช่วงที่ผมเล่นสนุ๊กเกอร์กันบ่อย ๆ นั้น คนอื่นที่ชอบเล่นสนุ๊กก็เล่นกันอย่างเดียวกับพวกผม โต๊ะสนุ๊กแต่ละโต๊ะมีโต๊ะไม่กี่ตัว บางโต๊ะมี 3 ตัว บางโต๊ะมี 4 ตัว พอพวกผมเข้าไปจะเล่น บางทีโต๊ะเต็ม มีคนเล่นกันอยู่ทุกโต๊ะ ดูท่าทางไม่เลิกกันง่าย ๆ พวกผมก็ต้องเปลี่ยนที่ไปเล่นกันที่อื่น โต๊ะสนุ๊กที่พวกผมชอบหมุนเวียนไปเล่นกันก็มี 2 – 3 ที่ โต๊ะตึกเยาวดี โต๊ะซอย 7 หรืออีกที่นึงก็คือ โต๊ะสโมสรข้าราชการที่สนามจันทร์ (โต๊ะอยู่ในอาณาบริเวณพระราชวังสนามจันทร์ เมื่อก่อนเป็นสโมสรข้าราชการ พอแดดร่มลมตกเค้าจะมาร่ำสุราแทงบิลเลียดกัน (บิลเลียดเล่นแตกต่างจากสนุ๊กเกอร์ มีลูกใช้เล่นกันบนโต๊ะแค่ 3 ลูก ลูกแดง ลูกขาวฝ่ายตรงข้าม แล้วก็ลูกขาวของเรา การทำแต้มมีวิธีการทำได้ 3 อย่าง คือ การแทงเปลี่ยน (แทงลูกเราไปถูกลูกขาวของฝ่ายตรงข้าม หรือลูกแดง แล้วลูกขาวของเราลงหลุมเอง ถ้าเป็นการแทงลูกขาวของฝ่ายตรงข้ามแล้วเปลี่ยนได้ 2 แต้ม ถ้าแทงลูกแดงแล้วเปลี่ยนได้ 3 แต้ม) การแทงแคนนอน (การแทงลูกขาวของเราไปถูกลูกขาวของฝ่ายตรงข้าม แล้วลูกขาวของเราไปกระทบลูกแดงอีกทีนึง หรือแทงถูกลูกแดงแล้วลูกขาวของเราค่อยไปถูกลูกขาวของฝ่ายตรงข้ามทีหลังก็ได้ การแคนนอนจะได้ 2 แต้ม) และวิธีการสุดท้าย การตบ (การแทงลูกให้ลงแบบเดียวกับการแทงสนุ๊กเกอร์ แทงลูกแดงลงได้ 3 แต้ม แทงลูกขาวของฝ่ายตรงข้ามลงไม่ได้แต้ม) ) เดี๋ยวนี้เค้าไม่ให้เปิดสโมสรแล้ว ต้องคืนพื้นที่ให้กับทางพระราชวังสนามจันทร์ไป ที่สโมสรนี่ผมได้มีโอกาสรู้จักเพื่อนคนหนึ่ง ชื่ออ้วนแต่ตัวไม่ได้อ้วน อายุมากกว่าผม 3 - 4 ขวบ เพื่อนคนนี้ นิสัยดี เป็นคนไม่ค่อยพูด อ้วนเป็นลูกน้องตำรวจที่ดูแลสโมสร รู้จักกันมาได้พักนึง เพื่อนอีกคน ชื่อตี๋อ้วน คนนี้อ้วนจริง บอกกับผมว่า อ้วนมีพฤติกรรมในทางทำผิดกฎหมาย แต่ก็ไม่รู้แน่ชัดนักว่าทำผิดอะไร ให้ผมระวังการคบหากับอ้วนให้มากขึ้นหน่อย ผมก็ได้แต่รับฟัง ไม่ได้ระวังอะไรมากขึ้นหรอก ผมเป็นคนไม่ชอบมองสิ่งต่าง ๆ เป็นปัญหาอยู่แล้ว รับฟังว่าใครทำอะไรผิด ๆ มา คิดว่า  เค้าคงต้องมีเหตุผลส่วนตัวที่ต้องทำอย่างนั้น ไม่ค่อยใส่ใจ หรือตื่นเต้นซักเท่าไหร่ แล้วไอ้ตัวผมก็เคยทำอะไรไม่เข้าท่าเองตั้งเยอะแยะ เห็นคนอื่นทำมั่งเลยรู้สึกเฉย ๆ อ้วนนี่แหละ ที่แนะนำให้ผมได้ซื้อปืนกระบอกที่ 2 ในชีวิต อ้วนเค้าเก็บปืนกระบอกนี้ไว้ใช้เอง พอผมพูดคุยถามหาว่า อยากจะได้ปืนไว้ใช้ซักกระบอกนึง (กระบอกแรกถูกป่าป๊ายึดแล้วเอาทิ้งน้ำไปแล้ว) อ้วนบอกว่าพอดีตอนนี้มีปืนที่เก็บไว้ใช้เองอยู่กระบอกนึง เป็นปืนออโตเมติก ขนาด .45 (11 มม.) เป็นปืนไทยประดิษฐ์ สภาพพอใช้ได้ ถ้าสนใจจะขายให้ราคา 4,000 บาท จะเอามั้ยผมสนใจหูผึ่งขึ้นมาทันที ผมนี่เสียนิสัยจริง ๆ พูดเรื่องปืนไม่ได้เลย ชอบน้ำลายยืดอยากได้ซะร่ำไป ผมขอให้อ้วนพาไปดูปืน อ้วนพาไปบ้านเอาปืนมาให้ดู จับดูพลิกไปพลิกมา สนใจอยากได้อีกแล้ว แม้จะเป็นปืนไทยประดิษฐ์ แต่ก็สวยใช้ได้ มีตราโคลท์อยู่ด้านข้างปืนด้วย คิดคำนวณสภาวะกระเป๋าตังค์ทันทีว่า พอจะมีตังค์ซื้อปืนกระบอกนี้ได้มั้ย ปรากฏว่า ตังค์มี 4,000 กว่าบาท พอซื้อได้ ผมขอซื้อเอาปืนพกกลับบ้านอย่างดีใจ กลับถึงบ้านเอาปืนมาลูบคลำดูอีกเป็นนานกว่าจะเอาไปซ่อนไว้ที่เดิม ก็ที่ช่องเก็บของหัวเตียงนอนนั่นเอง
           ปืนกระบอกที่ 2 ของผมนี่ เป็นปืนไทยประดิษฐ์คุณภาพไม่ดี หากเปรียบเทียบกับปืนที่ผลิตจากเมืองนอก จะเหมือนฟ้ากับเหวเลยทีเดียว ปืนกระบอกนี้ที่บอกว่าคุณภาพไม่ดี มันมีเหตุผลยืนยันคือ ตามธรรมดาเหล็กที่เค้าเอามาทำปืนจะมีหลายเกรด มาตรฐานการผสมโลหะก็ไม่เหมือนกัน ตามแต่บริษัทไหนจะมีเทคนิคผลิตยังไง โลหะที่ใช้ทำปืนนอกจะมีส่วนผสมที่ดี ผลิตด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง ความแข็งแกร่ง ทนทาน จะสูงกว่าโลหะที่ใช้ทำปืนในประเทศไทย ผมเอาปืนกระบอกที่ 2 ไปลองยิงดู พบข้อบกพร่องจากการที่ปืนผลิตมาจาก โลหะคุณภาพไม่ดี คือ ผมยิงปืนนัดแรกได้ตามปกติ พอยิงนัดที่ 2 ต่อ กดไกปืนจนนกปืนสับไป ปรากฏว่านัดที่ 2 เงียบฉิบ ผมงงเลย อ้าว เป็นอะไรวะเอาปืนมาดูก็ไม่รู้ว่า เหตุที่ปืนไม่ลั่นนัดที่ 2 นั้นเกิดจากอะไร ตอนนั้นยังไม่ชำนาญเรื่องปืน แค่พอยิงได้ แก้ไขอาการปืนบกพร่องยังไม่ได้  ต่อมาภายหลังต่อจากนั้นเป็นเวลานานหลายปี จนผมเป็นตำรวจแล้วนั่นแหละ ได้เคยจับปืน ยิงปืน ถอดปืนมาล้าง มาแก้ไข ถึงได้รู้ว่า เมื่อก่อนตอนที่ปืนกระบอกที่ 2 ยิงนัดแรกได้นัดเดียว พอยิงนัดที่ 2 ปืนไม่ลั่น ก็ด้วยสาเหตุคือ โลหะของปืนไทยประดิษฐ์นั้นนิ่ม ไม่แข็งแกร่งเท่าปืนนอก โดยเฉพาะส่วนที่เป็นเข็มแทงชนวน ตามปรกติจะต้องแข็งแกร่งเป็นพิเศษกว่าส่วนอื่น เพราะต้องรองรับการกระแทกอย่างแรง จากนกปืนที่สับลงมา  และ ปลายเข็มก็ต้องแทงเจาะกับแก๊ปที่ตูดลูกกระสุน หากเข็มแทงชนวน ไม่แข็งจะเกิดปัญหายิงปืนไม่ลั่นขึ้นได้ ปืนไทยประดิษฐ์ ของผมกระบอกนี้ เข็มแทงชนวนไม่แข็งตามที่มันควรจะเป็น เวลายิงนัดแรก นกปืนไปกระทบตูดเข็มแทงชนวน ตูดเข็มแทงชนวนจะบานออก สำหรับนัดแรกที่ปืนลั่นได้ตามปรกติ ก็เพราะตูดเข็มแทงชนวนยังไม่บานมาก สามารถวิ่งผ่านรูเข็มแทงชนวน ซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกับ ตัวเข็มแทงชนวน ส่งปลายเข็มแทงชนวนไปแทงแก๊ปที่ตูดลูกกระสุนปืน ปืนจึงลั่นได้ (ส่วนตูดของลูกกระสุนปืนที่มีขนาดใหญ่กว่า .22 นิ้ว ขึ้นมา ส่วนใหญ่จะมีแก๊ปอยู่ตรงกลางตูดลูกกระสุนปืน ลักษณะกลมเล็ก บางคนจะเอาน้ำยาทาเล็บทาไว้กันชื้น ตรงแก๊ปนี่แหละเป็นจุดที่เข็มแทงชนวนต้องมาแทงกระแทก เมื่อเข็มกระทบถูกแก๊ป ลูกกระสุนมันถึงลั่น ขับหัวลูกกระสุนปืนออกมาทางปากกระบอกปืน สำหรับปืนขนาด .22 นิ้ว จะมีแก๊ปอยู่รอบขอบตูดกระสุน เรียกลูกกระสุนแบบนี้ว่า ลูกกระสุนชนวนริม นกปืน หรือเข็มแทงชนวนที่จะต้องแทงกระทบแก๊ป ต้องตี หรือแทงเข้าที่ริมขอบของตูดลูกปืน จึงจะถูกแก๊ปทำให้ลูกปืนลั่น ขับหัวกระสุนออกไปได้) พอปืนลั่นไปนัดแรก ไอ้ตูดเข็มแทงชนวนเจ้ากรรมมันดันบานออกมากขึ้น พอเรายิงนัดที่ 2 ต่อ ไอ้ตูดเข็มแทงชนวนที่บานออกนี่แหละ เป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้ตัวเข็มแทงชนวนสามารถวิ่งผ่านรูเข็มไปกระทบกับแก๊ปได้ อย่างที่บอก เข็มกับรูเข็มขนาดใกล้เคียงกันมาก ตูดเข็มบานออกนิดเดียว ก็ขัดขวางการวิ่งของเข็มผ่านรูเข็ม ความเร็วแรงของเข็มที่เข้ากระแทกแก๊ป จึงไม่พอที่จะทำให้แก๊ปปืนลั่น เมื่อแก๊ปลูกปืนไม่ถูกกระทบ ปืนก็ไม่ลั่น นั่นแหละคือสาเหตุของการที่ปืนนัดที่ 2 ของผมไม่ลั่น สิ่งนี้ค้างคาใจผมมานานหลายปี ในที่สุด ผมก็สามารถแก้ปริศนาปืนนัดที่ 2 ไม่ลั่นได้สำเร็จ ปืนกระบอกที่ 2 ของผมนี่ผมไม่ค่อยปลื้ม พอยิงแล้วเกิดปัญหานัดที่ 2 ไม่ลั่นเลยเบื่อ ไม่ค่อยอยากเอาออกมายิง แล้วอีกอย่างการยิงแต่ละครั้ง ต้องตังค์นะครับ ผมยังเด็ก ต้องเอาตังค์ไว้ทำธุระที่สำคัญก่อน สุดท้ายพอไม่ได้ใช้ยิงนานเข้า มีเพื่อนมาขอซื้อต่อ รีบขายขาดทุนถูก ๆ ไปประมาณ 2 - 3 พันบาทเอง
          การเกี่ยวข้องของผมกับปืนยังมีอีกกระบอกหนึ่ง ที่มีอะไรพอให้จดจำได้บ้าง คือ ปืนลูกซองสั้น หรือเรียกกันทั่วไปว่า "อีโบ๊ะ" ขนาดความใหญ่ของตัวปืนก็ประมาณปืนทั่วไป แต่ลำกล้องจะมีรูกระสุนใหญ่มาก เพราะลูกกระสุนปืนลูกซองจะบรรจุลูกเหล็กกลม ๆ เล็ก ๆ กับดินปืนไว้ในปลอกกระสุนที่เป็นพลาสติกแข็ง ปริมาณลูกเหล็ก ดินปืน กับวัสดุภายในจะเยอะ จึงต้องบรรจุอยู่ในปลอกกระสุนขนาดใหญ่ ลูกกระสุนปืนลูกซอง จะมีขนาดใหญ่กว่ากระสุนพวก 9 มม. 11 มม. มาก วันดีคืนดีเพื่อนผมที่ชื่อตี๋อ้วนมาบอกว่า "มีเพื่อนที่มีอีโบ๊ะอยู่กระบอกนึง สามารถไปยืมเอามาลองยิงดูได้" ผมได้ยินก็อยากลองยิงดูนะ แต่ก็แหยง ๆ อยู่นิดเหมือนกัน เพราะเคยได้ยินกิตติศัพท์อันน่ากลัวว่า ใครยิงอีโบ๊ะไม่ระวัง มือแหกเอาง่าย ๆ แต่ความแหยงก็ไม่สามารถเอาชนะความอยากรู้อยากลองไปได้ ผมคิดว่า หากประคองมือยิงให้มั่น ๆ ไม่น่าจะทำให้มือแหกอย่างที่พูด ๆ กันมา พอตี๋อ้วนยืมปืนเพื่อนมาได้ ผมรีบขี่รถจักรยานยนต์ของป่าป๊าไปรับตี๋อ้วนให้ซ้อนท้ายไปซื้อลูกกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 จากร้านปืนประเสริฐมาได้ 2 ลูก ตอนนั้นก็ลูกละประมาณ 10 กว่าบาท พอได้ลูกปืน ผมกับตี๋อ้วนที่มีความอยากลองยิงอีโบ๊ะเพราะเคยได้ยิน กิตติศัพท์เหมือนผมนี่แหละ รีบเดินทางไปที่หมายยิงปืนของผม ซึ่งก็เป็นที่เดิมแถวหนองขาหยั่ง นครปฐม นั่นเอง (ปัจจุบันศูนย์ราชการจังหวัดนครปฐมไปสร้างอยู่บริเวณนี้) ตอนนั้นบ้านเมืองยังไม่เจริญ บ้านแต่ละบ้านอยู่ห่างกัน ประกอบอาชีพทำไร่ไถนา คนไม่หนาแน่นเหมือนปัจจุบัน ผมเคยอาศัยสถานที่แถวหนองขาหยั่งนี่เป็นสนามฝึกยิงปืน มาโดดเล่นน้ำยิงปลาเป็นเวลานานพอสมควรทีเดียว พอผมขี่รถจักรยานยนต์มาถึง ขี่ตระเวนมองหาทำเลยิงปืนเหมาะ ๆ ซักที่นึง มาเจอที่เหมาะ ๆ เอาตรงถนน ถนนช่วงนั้นไม่มีบ้านเรือน แล้วไม่ค่อยมีรถผ่าน ผมจอดรถเตรียมลองปืนกันเลย ผมควักปืนที่พกเอวออกมา หักลำกล้อง ใส่ลูกกระสุนเข้าไป 1 นัด เอาสองมือจับประคองไว้เล็งไปที่ข้างทาง นึกถึงคำพูดของใครต่อใครที่บอกว่า "ยิงอีโบ๊ะต้องระวังให้มาก ยิงโป้งเดียวอาจมือแหกเอาง่าย ๆ" ผมเลยมาคิดเอาเองอย่างรวดเร็วว่า การยิงปืนขนาดลูกกระสุนใหญ่ ๆ น่าจะมีแรงสะบัดเยอะ ต้องจับด้ามปืนให้มั่น ห้ามจับหลวม ๆ ถ้าจับหลวม ๆ เมื่อปืนสะบัดตามแรงระเบิดของกระสุน ความแรงของมันอาจกระแทกง่ามมือทำให้เกิดอาการบาดเจ็บขึ้นได้ การยิงของผมจึงค่อนข้างระมัดระวัง กำปืนแน่น ไม่ให้เหลือช่องว่างให้ปืนกระแทกมือได้ ผมคิดว่า ถ้าปืนสะบัดแล้วเราจับแน่น ๆ มือเราก็จะเคลื่อนตัวตามการสะบัด เป็นการลดแรงกระแทก และไม่เหลือช่องว่าง ให้ปืนสะบัดมากระแทกเราให้เจ็บ สรุปว่า ผมคิดถูก ปืนที่สะบัดแรง ๆ ต้องยิงด้วยการจับให้มั่น ปืนถึงจะไม่สะบัดจนเราเจ็บได้ พอผมยิงเสร็จ ตี๋อ้วนเอาลูกปืน 1 ลูกที่เหลือ ไปยิงต่อ ผมบอกวิธีการยิงอย่างที่กล่าวไปแล้ว ตี๋อ้วนยิงได้สบายเหมือนผม แต่ปืนดันเกิดเหตุนกปืนถูกแรงระเบิดของลูกกระสุนปืนกระแทกหลุดออกจากล็อก  ถ้าจะยิงอีกไม่สามารถยิงได้ ต้องขยับนกปืนให้เข้าที่ถึงจะยิงอีกได้ พอได้ทดลองยิงอีโบ๊ะกระบอกดังกล่าวแล้ว ทำให้รู้ว่า อย่าได้เชื่อเรื่องที่เขาเล่าต่อ ๆ กันมามากนัก เราต้องพิสูจน์ว่า สิ่งที่เล่าต่อ ๆ กันมาเป็นจริงหรือไม่ แล้วเราค่อยเชื่อ การยิงอีโบ๊ะ ไม่เห็นน่ากลัวอย่างที่พูดกัน มีโอกาสอยากจะยิงอีกจัง



ปืนลูกซองสั้น หรือ อีโบ๊ะ

ต้องการดูรายละเอียดรูปภาพดู ได้ที่ http://www.weekendhobby.com/gun/webboard/Question.asp?ID=3913

          ปืนที่ผมเกี่ยวข้องเป็นปืนไม่มีการจดทะเบียน หรือที่เราเรียกกันง่าย ๆ ว่าปืนเถื่อนนั่นเอง รวมทั้งหมดผมมีถึง 4 กระบอก (อีกกระบอกจะเล่าให้ฟังต่อไป) ต่อมาภายหลัง ตอนที่ผมมีอำนาจหน้าที่พกพา และใช้ปืนได้ตามกฎหมายแล้ว ผมมี 2 กระบอก ทั้ง 2 กระบอกเป็นปืนอัตโนมัติ หรือปืนออโตเมติก กระบอกนึงขนาด .45 หรือ 11 มม. ยี่ห้อโคลท์ รุ่นยอดนิยม คือ M1911 เป็นรุ่นที่เค้าผลิตขึ้นในปี ค.ศ.1911 หรือช่วงเวลาใกล้ ๆ กัน กับอีกกระบอกนึงเป็นปืนขนาด .22 นิ้ว ยี่ห้อบาเร็ตต้า ขนาดเล็กจิ๊ดเดียว เล็กกว่าฝ่ามือปรกติของผู้ใหญ่เราอีก พอผมได้ใช้ปืนเต็มที่ มีตังค์พอจะซื้อปืน ซื้อลูกกระสุนเต็มที่ แปลกกลับไม่อยากซื้อปืนเพิ่มอีก แล้วไอ้ความอยากได้ปืนลูกกรดยาว ซีแซด .22 นิ้ว ที่เคยอยากได้นักอยากได้หนา คิดเสมอว่ามีตังค์เมื่อไหร่ต้องซื้อมาใช้ให้ได้ ไม่รู้มันหดหายไปไหน เดี๋ยวนี้เวลาเห็นที่ร้านปืนไม่เคยสนใจเข้าไปดูเหมือนตอนเด็ก ๆ อีกแล้ว ผมคิดว่า ส่วนหนึ่งน่าจะมาจาก ผมเริ่มกลัวเวรกลัวกรรมกับเขามั่งแล้ว ได้ยินได้ฟังอยู่เรื่อย แม่ก็คอยห้ามปรามสม่ำเสมอ ไม่อยากให้ผมกับบรรดาพี่น้อง ทำบาปกรรมด้วยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ผมก็ฟังนะ แต่ไม่เคยเอามาใส่ใจ พออายุมากขึ้น การคิด ความรู้เหตุรู้ผลมีมากขึ้น เริ่มรู้สึกกว่า การที่เราไปทำลายชีวิตผู้อื่น แม้ผู้อื่นนั้นจะเป็นเพียงแค่สัตว์ เราก็ไม่สมควรทำ ถ้าเราฆ่าเค้าเพื่อจะเอาเค้ามาทำอาหารเลี้ยงชีวิต ยังนับว่ามีเหตุผล แต่การพรากชีวิตสัตว์ของผมไม่ได้คำนึงถึงเหตุและผลเลย เมื่อความกลัวบาป กับการได้มีได้ใช้ปืนอย่างถูกต้องตามกฎหมายจนสมใจอยากแล้ว ผมไม่มีความคิดซื้อปืนที่ติดค้างมาตั้งแต่ตอนยังเด็กเหลืออยู่อีกเลย
          ช่วงระหว่างที่ผมเรียน ม.4 - ม.6 นั้น มีช่วงหนึ่งเพื่อนรุ่นพี่ ชื่อเจ๊ก (กรณีพูดพาดพิงถึงใครในแง่ลบ ผมจะใช้ชื่อเล่นที่สมมุติขึ้นมา) อายุห่างกับผม 3 - 4 ขวบ บ้านอยู่ใกล้กันห่างกันเพียง 2 - 3 ห้อง ด้วยเจ๊กเค้าเป็นรุ่นพี่ ก็มีพูดคุยกันมั่ง แต่ไม่ได้สนิทสนมเท่าไหร่ เด็ก ๆ รุ่นผมเนี่ย ถ้าไม่มีอะไรมันส์ ๆ ทำกันรู้สึกว่าจะไม่เข้าท่า วันดีคืนดี ขณะที่ผมไปโต๋เต๋แถวหน้าบ้านคนชื่อเจ๊ก ตอนนั้นมีเด็กเล็กเด็กโตสุมหัวอยู่ด้วยกันหลายคน พูดคุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้อย่างสนุก ไม่ได้มีแก่นสารสาระอะไร อยู่ดี ๆ ดันวกเข้ามาพูดเรื่องที่มันเป็นเรื่อง พูดกันว่า ผมตัวใหญ่เจ๊กตัวเล็ก ถ้าต่อยกันจะเป็นยังไง คนชื่อช้างที่รุ่นราวคราวเดียวกับคนชื่อเจ๊ก แต่อยู่คนละฝ่ายกัน ยุให้ผมกับคนชื่อเจ๊กต่อยกัน ไอ้เรื่องยุให้คนเค้าตีเค้าต่อยกันนี่มันสนุกดีจริง ๆ สนุกสำหรับคนคอยยุนะ ส่วนคนที่ไม่สนุกเลยก็ไอ้ 2 คนที่ถูกยุให้ต่อยกันนั่นแหละ ผมกับเจ๊กไม่ได้มีเหตุโกรธเคืองกัน แต่พอเจอคนโน้นยุที คนนี้ยุที เอาซิครับ ก็ได้ต่อยกันสมใจกองเชียร์ คาราวานดูมวยเดินขบวนตามกันไปทางท้ายซอย ที่ไม่ค่อยมีคนผ่านไปมา เวทีมวยชั่วคราวก็เริ่มขึ้น ช่วงแรก ๆ ที่ต่อยกัน ผมเอามือเหวี่ยงส่งเดช ลักษณะมวยวัดชัด ๆ คนดูมวยเป็นรู้เลยว่า ผมต่อยมวยไม่เป็น แต่ละหมัดที่เหวี่ยงไป ไม่ได้ถูกคู่ต่อสู้แม้แต่ปลายเล็บ แต่เล็บของคู่ต่อสู้สิมาป้วนเปี้ยนแถว ๆ หน้าผมขวักไขว่ พักเดียวได้เรื่อง รอยเล็บของเจ๊กมาปรากฏอยู่บนหน้าของผมลายเป็นม้าลายไปเลย รอยเล็บของเจ๊กเต็มไปหมดทั้งแก้มซ้ายแก้มขวา ช้างที่เป็นฝ่ายเดียวกับผม เห็นนักมวยของตัวท่าทางไม่ดีตกเป็นรอง ร้องขอเวลานอก กระซิบบอกผมแก้ทางมวยด้วยการให้ผมเอามือบีบไข่เจ๊กเลย ผมก็คิดว่า "เออก็แจ๋วดีเหมือนกันเน๊อะ" ลองทำตามดูซิ ได้ผลเลยแฮะ เจ๊กโดนผมบีบไข่ซะหน้าเขียวไปเลย แต่สิ่งที่ผมไม่ได้คาดหมายมาก่อนเลยก็คือ เมื่อเราบีบไข่เขาได้ เค้าก็บีบไข่เราได้เหมือนกัน เจ๊กเค้าใช้วิชาดาบนั้นคืนสนองกับผมทันที ผมเอามือไปบีบไข่เค้า เค้าก็เอามือบีบไข่ผมมั่ง แล้วเจ๊กเค้าบีบไข่ผมได้แรง แล้วก็จับถนัดกว่าผมอีก เจ๊กนั้นแค่หน้าเขียว ของผมสิเขียวแบบเขียวอื๋อเลย คนชื่อช้างพอเห็นผมหน้าเขียวอื๋อไม่มีสีอื่นปนซะแล้ว ไม่รู้จะแก้ทางมวยเจ๊กยังไงอีก เลยยกธงขาวร้องขอยอมแพ้ เจ๊ก ผมกับบรรดาคนชอบดูมวยฟรี พอมวยเลิกก็แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน เด็กทะเลาะกันต่อยตีกันนี่มันดีอย่าง ส่วนใหญ่จะไม่มีการผูกใจเจ็บกัน ที่ผมบอกแต่แรก ผมกับเจ๊กไม่เคยโกรธเคืองหรือทะเลาะกัน ที่ได้มาต่อยโชว์ก็ด้วยไอ้พวกช่างยุนี่แหละ ผมกับเจ๊กไม่ได้เป็นศัตรูอาฆาตมาดร้ายต่อกัน เจอกันก็คุยกันตามปรกติ ช่วงหลังจากผมต่อยกับเจ๊กไปได้ไม่นาน ผมมีโอกาสเห็นว่าเจ๊กเป็นคนที่ใจถึงมาก ๆ วันนึงช่วงสาย ผมกำลังเดินเล่นอยู่หน้าบ้าน คนงานทำลูกชิ้นของป่าป๊าชื่อมืด ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ตัวโตบะเร่อแล้ว เดินอยู่เลยหน้าบ้านผมไปทางท้ายซอย อยู่ ๆ เจ๊กนี่แหละ วิ่งถือก้อนหินไปทุบใส่หัวของคนชื่อมืดหัวแตกเลือดโชก ใครต่อใครที่เห็นเหตุการณ์ ช่วยกันห้ามใหญ่ จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็แยกย้ายกันไป ผมก็ไม่รู้ว่า เรื่องนี้สุดท้ายแล้วเคลียร์กันยังไงต่อไป แต่ที่แน่ ๆ ผมรู้ว่า เจ๊กใจถึงมาก ๆ ผู้ใหญ่ตัวโตกว่าก็ไม่เคยหวั่น
          กิตติศัพท์ของเจ๊กยังไม่จบอยู่แค่นั้น เจ๊กเค้าเรียนอยู่โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย (โรงเรียนประจำจังหวัดนครปฐม) มีโอกาสเมื่อไหร่ เป็นต้องเอากิจกรรมนอกหลักสูตรมาฝากพ่อแม่ให้ร่วมทำกันเป็นประจำ กิจกรรมที่ว่า คือ กิจกรรมผู้ปกครองพบอาจารย์ แล้วผู้ปกครองของเจ๊กนี่ แกก็มีพฤติกรรมต่างจากชาวบ้านชาวช่องเค้า พ่อแม่ผู้ปกครองทั่วไปพอโดนอาจารย์เรียกไปพบ เพื่อแจ้งพฤติกรรมอันน่ารักของลูกหลาน พ่อแม่ผู้ปกครองจะคิดไปต่าง ๆ นานาว่า ลูกหลานเราเอาอีกแล้ว คราวนี้เรื่องอะไรอีกล่ะ แล้วก็นั่งนิ่งฟังอาจารย์บรรยายรายละเอียดวีรกรรมของลูกหลานให้ฟัง พ่อของเจ๊กไม่ใช่อย่างนั้น เค้าไม่เหมือนใครและไม่มีใครอยากเหมือน พ่อของเจ๊กพอเจอหน้าอาจารย์ที่เรียกมาพบ เปิดฉากต่อว่าอาจารย์ทันที อย่างไม่ให้ตั้งตัวในทำนองว่า (ที่รู้ค่อนข้างละเอียดว่า พ่อของเจ๊กไปต่อว่าอาจารย์ว่ายังไงบ้าง เพราะเวลาแกกลับมาบ้านแกจะเอะอะเอ็ดตะโรดังลั่น แม้บ้านท้ายซอยไกล ๆ กันก็น่าจะได้ยิน แล้วบ้านผมห่างแค่  3 ห้องจะไปเหลืออะไร ได้ยินครบทุกเม็ด) อาจารย์เรียกแกมาทำไม แกเลี้ยงลูกมาอย่างดี ลูกแกทุกคนเป็นเด็กดี ไม่เคยประพฤติเสียหาย ที่มาต่อว่าว่าลูกแกเกเร อาจารย์เอาอะไรที่ไหนมาพูด อาจารย์ต้องการอะไรกันแน่ อาจารย์อยู่ ๆ ก็ถูกต่อว่าจนตั้งตัวแทบไม่ติด คงจะงงเต้กไปเหมือนกัน หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ผมว่าอาจารย์คงจะคิดหนักพอดู หากจะต้องเรียกผู้ปกครองของเจ๊กมาเตือนให้เลี้ยงดูระมัดระวังพฤติกรรมของลูกให้ดีอีก ก็กลัวว่า อาจารย์อาจจะถูกผู้ปกครองเจ๊กอบรมเข้าให้อีกเป็นรอบที่ 2 นี่ถ้าบังเอิญเจ๊กเค้ามีพฤติกรรมไม่ค่อยเหมาะอีก อาจารย์จะกล้าเรียกผู้ปกครองมั้ยเนี่ย เรียกมาอาจารย์ต้องมารับการอบรมแทนเด็กคงทำใจยอมรับได้ยากน่าดู
          ช่วงนั้น เจ๊กมีกิจกรรมน่าสนใจอยู่อย่างหนึ่ง (เจ๊กก็เป็นเด็กแนวเดียวกับผมนี่แหละ ชอบปืนชอบระเบิด) คือ กิจกรรมผลิตระเบิดขวด เจ๊กเค้าค่อนข้างจะมีคู่กรณีเยอะ เพราะเค้าไม่ยอม และไม่กลัวใคร เมื่อคู่กรณีเยอะอย่างนี้ ก็ต้องหาเครื่องทุ่นแรงมาสำรองเผื่อต้องใช้ไว้ เครื่องทุ่นแรงของเจ๊กคือ ระเบิดขวด ตอนแรกที่เจ๊กทำยังไม่มีประสบการณ์มาก เริ่มทำเพียงขวดเล็ก ๆ ก่อน ผมได้ยินการทดลองระเบิดขวดของเจ๊กอยู่เรื่อยแหละ ชาวบ้าน หรือผู้ใหญ่ที่ได้ยินเสียงตูม ๆ อาจไม่รู้ว่าเสียงตูม ๆ นั่นเป็นเสียงอะไร แต่ผมรู้ดี จริง ๆ แล้วตอนนั้นผมก็สนใจเรื่องทำระเบิดขวดอยู่บ้างเหมือนกัน พอเห็นเจ๊กเค้าทำแล้วเอาไปทดลองขว้างเลยรู้เรื่องเป็นอย่างดี


เด็กช่างกลปาระเบิดถล่มรถเมล์


          การทำระเบิดขวดของเจ๊กพัฒนาก้าวหน้าขึ้น จากแรกเริ่มมีส่วนผสมเพียงแก็ปแดง เม็ดกรวด เอามาใส่ขวดขนาดไม่ใหญ่นัก พันให้แน่นแล้วเอาไปขว้าง หลัง ๆ มาไม่เอาแล้ว ขวดเล็ก ๆ ไม่สะใจ เสียงดังไม่ประทับใจ ต้องใช้ขวดลูกใหญ่ขึ้นมา รู้สึกว่า เค้าจะเพิ่มขนาดเป็นขวดโค๊ก (ขนาดน้ำอัดลมขวดเล็ก) แล้วส่วนผสมไม่ต้องการเพียงเกิดเสียงดัง ต้องการให้มีอำนาจทำลายล้างมากขึ้น เศษแก้ว เศษตะปู จึงถูกรวมเข้ามาเป็นส่วนผสม ระเบิดขวด ของเจ๊กด้วย เวลาเจ๊กเค้ามีอาวุธพร้อมแล้วจะน่ากลัว เค้าไม่ได้เก็บสำรองเอาไว้เท่านั้น เค้าเอาไปใช้จริง ๆ เลย ช่วงนั้นเมืองนครปฐมยังมีท่ารถเมล์ขาว เป็นที่รวมนักเรียนแทบทุกโรงเรียนมาขึ้นลงมาต่อรถกัน เจ๊กเค้าก็เอาระเบิดขวดที่ผลิตเองนี่แหละ ไปแสดงโชว์ปาใส่คู่อริแถว ๆ ท่ารถเมล์ขาวครั้ง 2 ครั้ง ผลงานที่ได้น่าจะยังไม่เป็นที่น่าพอใจ เพราะไม่เห็นมีข่าวว่ามีใครเกิดบาดเจ็บล้มตายจนตามมาจับเจ๊กไปดำเนินคดี เจ๊กต้องวิเคราะห์วิจัยหนักขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ระเบิดขวดมีอานุภาพสูงสุด เมื่อทำแล้วก็เอาไปทดลองปาเป็นประจำ คนแถวบ้านผมที่เป็นผู้ใหญ่ไม่ค่อยรู้เรื่องนี้กันหรอก ต้องเด็ก ๆ อย่างพวกผมถึงพอจะรู้เรื่องราวความลับต่าง ๆ ในวงการ ยิ่งพ่อของเจ๊กไม่ต้องไปพูด ลูกเค้าดีตลอดเวลาจนครูยังไม่กล้าเรียกผู้ปกครองไปพบเลย
          เรื่องราวความสนุกสนานของเจ๊กก็เป็นแบบนี้แหละ ไปเรียนแล้วก็มีเรื่อง แต่คนมีเรื่องบ่อย ๆ นี่จะเก่ง โจมตีคล่องแคล่ว หลบหนีได้ว่องไว ปกปิดความจริงจนคนอื่นรู้เรื่องได้ยาก เจ๊กเค้าเคยมีวีรกรรมถึงขนาดปาระเบิดใส่คู่อริ ฝ่ายกฎหมายบ้านเมืองยังไม่รู้ระแคะระคายพฤติกรรมของเจ๊ก เจ๊กยังคงผลิตระเบิดขวด อย่างต่อเนื่องต่อไป ถ้าไม่เกิดสะดุดติดขัดอะไร เผลอ ๆ ระเบิดขวดของเจ๊กอาจส่งออกขายได้ในระดับโลก นับว่ายังเป็นโชคดีของชาวโลกอยู่บ้าง เมื่อบ่ายวันหนึ่ง ขณะที่ผมนั่งเล่นอยู่ที่ชั้นล่างของบ้าน อยู่ ๆ ได้ยินเสียงอะไรไม่รู้ระเบิดตูมดังสนั่นขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ย ผมรีบวิ่งออกมาดูที่หน้าบ้านสงสัยจังว่าเป็นเสียงอะไร ออกมาดูก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น ชาวบ้านยังอยู่กันตามปรกติ ไม่มีใครแตกตื่นโวยวายอะไร ผมเลยคิดสรุปไปว่า น่าจะเป็นยางรถสิบล้อระเบิด แถวบ้านผม บางจังหวะจะมีเสียงยางรถสิบล้อระเบิดตูมให้ได้ยินกันบ่อย ๆ พอคิดสรุปได้อย่างนั้น ก็เลยไม่สนใจอะไรอีก หลังจากนั้นพักเดียว เสียงเอะอะโวยวายดังมาจากทางด้านปากซอย ผมรีบออกมาดูอีกครั้ง คราวนี้ "มีเรื่องแล้ว" มีคนมามุงดูบริเวณหน้าบ้านเจ๊กเพียบเลย มีคนตะโกนบอกกันโหวกเหวกว่า "ไอ้เจ๊กโดนระเบิด ไอ้เจ๊กโดนระเบิด รีบไปเรียกรถสามล้อมาเร็ว" พักเดียวเท่านั้น รถสามล้อถีบปั่นเข้ามาเทียบหน้าบ้านเจ๊กฉับ มองเข้าไปในบ้านเจ๊กเห็นมีผู้ชายเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่ทราบว่าเป็นใคร ไม่ทันสังเกต อุ้มเจ๊กที่ทั้งตัวมีแต่รอยเลือดโชกเต็มตัวไปหมดลงมาจากข้างบนบ้าน มารู้ทีหลังว่าไปอุ้มเอาเจ๊กลงมาจากดาดฟ้าชั้น 3 สถานที่ผลิตระเบิดของเจ๊กนั่นเอง พอเจ๊กขึ้นไปอยู่บนรถสามล้อถีบได้ คนขี่รีบปั่นไปส่งโรงพยาบาลจังหวัดนครปฐมทันที นั่นคือภาพเหตุการณ์อันน่าตื่นเต้นที่ได้เห็นในวันนั้น หลังจากนั้นอีกนานหลายเดือนทีเดียว เจ๊กรักษาบาดแผลที่เกิดตามบริเวณร่างกายหายดี กลับมารักษาตัวต่อที่บ้าน น่าเสียดาย เจ๊กตาบอดทั้ง 2 ข้าง หมดโอกาสมองเห็นโลกอันสดใสต่อไป เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ โดยความสัตย์จริงผมไม่เคยมีอคติ หรือไม่หวังดีกับเจ๊ก แม้ผมเคยสู้เจ๊กไม่ได้ ผมก็ไม่เคยโกรธเคืองผูกใจเจ็บเจ๊กแต่อย่างใด ผมไม่ได้ดีใจที่เค้าเกิดอุบัติเหตุ รู้สึกสลดใจที่คนตาดี ๆ คนนึง ต้องมาอยู่ในโลกมืดตลอดชีวิต แต่ถ้ามาดูในแง่ของประชาชนชาวโลก การที่เจ๊กเกิดอุบัติเหตุ ชาวโลกน่าจะปลอดภัยมากขึ้น เพราะเจ๊กเค้าไม่ธรรมดา หากเค้ายังเป็นปรกติอยู่จนปัจจุบันนี้ เค้าอาจพัฒนาจากระเบิดขวดกลายเป็นระเบิดอานุภาพร้ายแรงกว่านิวเคลียร์แล้วก็เป็นได้
          ที่ผมพูดถึงเรื่องเจ๊กมาพอสมควร ก็ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดกับเจ๊กมันเฉี่ยว ๆ ใกล้เคียงกับเหตุการณ์ของผม เมื่อเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงกับเจ๊ก ความสนใจเกี่ยวกับการเล่นปืน เล่นระเบิดของผมหดหายเข้าไปอยู่ในกระดองใจหมด ได้เห็นตัวอย่างมาอย่างสด ๆ ร้อน ๆ แบบนี้รู้สึกเสียวแว๊บขึ้นมาทีเดียว คิดถึงว่า ถ้าหากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเปลี่ยนจากเจ๊กเป็นเราจะเป็นยังไง โชคของผมยังดี ที่ผมเคยบอกว่า ตอนที่เจ๊กเล่น ระเบิดขวด ผมก็ทดลองทำเหมือนกัน แต่ผมไปทำกับญาติผู้พี่แล้วก็ไปทำกันที่อื่น ไม่กล้ามาทำแถวบ้านเป็นการทำขั้นเริ่มต้น โชคดีอีกอย่างนึงคือ ผมกับเจ๊กอายุห่างกันหลายปี ไม่ค่อยซี้กันเท่าไหร่ ถ้าบังเอิญผมเกิดซี้กับเจ๊กช่วงที่ผมกำลังศึกษาวิธีการทำ ระเบิดขวด ขั้นต้นอยู่หละเป็นเรื่อง โอกาสที่ผมจะโดนอุ้มลงมาพร้อมกับเจ๊กวันเกิดอุบัติเหตุระเบิดมีสูง เพราะความอยากรู้อยากเห็นของผมค่อนข้างมาก เห็นใครทำอะไรอยากเข้าไปดูอยากเข้าไปร่วมกิจกรรมตลอด เกิดผมซี้กับเจ๊กตอนนั้นคิดว่าไม่น่ารอด คงไปร่วมทำกับเจ๊กแน่นอน
          ที่ผมบอกว่าผมทำระเบิดช่วงเวลาเดียวกันกับที่เจ๊กทำเหมือนกัน ผมไปทำกับญาติผู้พี่ ที่ชื่อตี๋เล็ก ผมจะเรียกแกว่าเฮียเล็ก ตอนนั้นผมกับเฮียเล็กสนิทกันมาก เพราะบ้านสวนของเฮียเล็ก เค้าเลี้ยงหมูเลี้ยงไก่อยู่  มีสภาพบ้านเรือน ต้นไม้ บ่อน้ำเหมาะกับเด็กอย่างพวกผมไปเล่นอย่างที่สุด สามารถทำอะไรได้สารพัด ไม่ว่าจะเล่นยิงนก ตกปลา ว่ายน้ำ ปีนต้นไม้ขึ้นไปรอยิงปลา ทุกอย่างสามารถทำได้ที่สวนของเฮียเล็กด้วยหลักการ วันสต็อปเซอร์วิส คุณมาที่สวนเฮียเล็กที่เดียว คุณอยากเล่นอะไรเล่นได้ครบในที่เดียว เฮียเล็กอายุมากกว่าผม 2 - 3 ขวบ แล้วแกซี้กับผมเหมือนเพื่อนรุ่นเดียวกันนั่นแหละ ใครจะทำอะไรเอาไหนเอากันทั้งเฮียเล็กกับผม สนแต่เรื่องสนุกอย่างเดียว ตอนนั้นเรื่องกฎหมงกฎหมายไม่รู้เรื่อง ไม่เคยใส่ใจอะไรทั้งสิ้น ไม่ได้กลัวอันตรายใด ๆ ที่จะมาเกิดกับตัวซักอย่าง
          ช่วงนั้นเกือบทุกเย็น กลับจากโรงเรียนปั๊บ คว้าจักรยานคันเตี้ยคู่ชีพปั่นไปสวนเฮียเล็กทันที จะเจอเฮียเล็กทุกวัน เพราะเฮียเล็กต้องไปช่วยพ่อกับแม่แกเลี้ยงไก่เลี้ยงหมู ส่วนใหญ่พอผมเจอเฮียเล็ก เฮียเล็กยังต้องช่วยทำงานอยู่ หน้าที่ประจำของเฮียเล็กคืออาบน้ำให้หมูที่เลี้ยง ก็มีหลายสิบตัว แล้วก็ให้อาหารไก่ บางทีผมก็ช่วยเฮียเล็กทำงานพักนึง งานจะได้เสร็จเร็ว จะได้ไปหาเรื่องทำเรื่องเล่นกัน เรื่องที่พวกผมทำกัน โดยมากก็ไม่มีปัญหา ยิงนก ตกปลา ว่ายน้ำ แต่มันก็ยังมีเรื่องที่เกิดเป็นปัญหาจริง ๆ ขึ้นมาได้ คือ เรื่อง ทำระเบิดขวดปาเล่น กับเรื่องยิงปืนเถื่อนอีกกระบอกหนึ่ง
          เรื่องทำระเบิด ผมกับเฮียเล็กทำกันแบบสมัครเล่น วัตถุประสงค์การทำไม่ได้ต้องการเอาไปขว้างทำร้ายใคร ผมกับเฮียเล็กเป็นคนแนวเดียวกัน คือ ชอบศึกษาหาความสนุกในสิ่งต่าง ๆ ทั่วไป ที่มาสนใจทำระเบิด ก็ผมนี่แหละดันไปเห็นเจ๊กเค้าทำระเบิดขว้างตูม ๆ  แถวบ้าน เลยอยากจะทำมั่ง มาบอกเฮียเล็ก เฮียเล็กสนใจช่วยกันทดลองทำ ผมกับเฮียเล็กไปหาซื้อแก๊ปแผงสีส้มจากร้านค้ามาหลาย ๆ แผ่น เพื่อนำมาแกะเป็นเม็ด ๆ เก็บใส่ขวดพลาสติกที่หาได้แถวนั้นไว้ใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตระเบิด ขวดที่จะเอามาทำระเบิดขวดก็หาขวดแก้วพวกขวดยาชูกำลังมั่ง ขวดอย่างอื่นที่ขนาดเดียวกันที่ใส ๆ มั่ง เอามาใส่ส่วนผสมเข้าไป ส่วนผสมอีกอย่างก็เป็นหินกรวดเม็ดเล็ก ๆ อย่างที่บอก พวกผมต้องการเพียงความดังของระเบิดเท่านั้น ไม่ต้องการเอามันไปทำร้ายใคร ส่วนผสมจึงมีเพียงเท่านี้ ต่างจากของเจ๊กที่เพิ่มตะปู กับเศษแก้วเข้าไปด้วย เพื่อหวังผลในการทำลายล้างให้มากขึ้น การผลิตครั้งแรก ๆ ของพวกผม ได้ผลไม่ค่อยดี เวลาขว้างระเบิดไป ระเบิดของเราเป็นขวดแก้ว พอกระทบกับพื้นซึ่งเป็นพื้นแข็งเช่น ถนนยางมะตอย ก้อนหิน ถนนดินแข็ง ขวดแก้วที่อยู่นอกสุดจะแตกออกมาก่อนที่จะเกิดแรงอัดของระเบิด แก๊ปที่อยู่ข้างในเสียดสีกับหินกรวด เกิดการเผาไหม้ฟู่ขึ้นมาเท่านั้น ไม่เกิดการระเบิด ผมกับเฮียเล็กต้องปรับแก้ไม่ให้ขวดแก้วเกิดแตกก่อนที่ระเบิด จะเกิดแรงอัดระเบิดขึ้น เฮียเล็กใช้วิธีเอาลวดเหล็กมามัดรอบขวดแก้วเผื่ออาจจะช่วยให้ขวดแก้ว ไม่แตกก่อนระเบิดจะเกิดระเบิดขึ้น ทำกันไปหลายลูก ได้ผลดีมั่งไม่ดีมั่ง ไม่มีความแน่นอน สู้ของเจ๊กไม่ได้ ขว้างเมื่อไหร่เป็นตูมเมื่อนั้น
          ในการทำระเบิดคราวนั้น ผมกับเฮียเล็กทำกันหลายวันทีเดียว ไม่ใช่ทำกันแค่วันสองวัน ตอนที่กำลังสนุกกับการทำระเบิดอยู่นั้น เพื่อนของเฮียเล็กอยากจะขายปืนให้กระบอกนึง เป็นปืน .32 นิ้ว (ขนาด 7 มม.) ไทยประดิษฐ์ เพื่อนเค้าให้เฮียเล็กขอยืมปืนมาทดลองยิงก่อนได้ ถ้าถูกใจค่อยซื้อเอาไว้ใช้ บ่ายวันนึงเฮียเล็กเอาปืน .32 นิ้ว กระบอกที่ว่ามาลองยิงกัน ตอนนั้นผมกับเฮียเล็กไม่รู้เรื่องจริง ๆ ไม่รู้ว่าปืนขนาดนึง ต้องใช้ลูกกระสุนขนาดเดียวกันถึงจะยิงได้  ปืนที่เฮียเล็กขอยืมมาลองยิง เป็นปืนขนาด .32 นิ้ว ยังไม่รู้เลยว่า ต้องใช้ลูกกระสุนปืนขนาด .32 นิ้ว มาใส่ ถึงจะยิงลั่นได้ตามปรกติ เข้าใจว่าขอเพียงมีลูกกระสุนปืนเอามาใส่ปืนกระบอกนี้ เป็นยิงได้ทั้งนั้น เป็นการเข้าใจผิดแบบไม่รู้เรื่องโดยสิ้นเชิง (ปืนจะผลิตออกมาขนาดเล็กใหญ่โดยมีวัตถุประสงค์การใช้แตกต่างกัน ขนาดแค่ไหน ก็ต้องใช้ลูกกระสุนปืนขนาดเดียวกัน ไม่อย่างนั้น ไม่สามารถเอามายิงให้ลั่นได้ตามปรกติ) ตอนนั้นผมไปซื้อลูกกระสุนปืนขนาด .22 นิ้ว (ปืนขนาด .22 นิ้ว เค้าเรียกกันทั่วไปอีกอย่างว่า "ปืนลูกกรด" ) มาหลายลูก หวังจะเอามายิงให้สนุกมือไปเลย ปรากฏว่า พอเอามาใส่ปืน ลูกกระสุนหล่นออกมาทางปากกระบอกเลย ผมกับเฮียเล็กงงเลย อ้าวยุ่งละซิ ทำไมมันเป็นอย่างนี้วะ เกิดปัญหาละสิ อุตส่าห์เอาตังค์ที่เก็บไปซื้อลูกกระสุนมาตั้งหลายลูกดันใช้ไม่ได้ แล้วจะทำยังไงกันดี เฮียเล็กเสนอทางแก้ด้วยวิธีการ เอาพลาสเตอร์พันแผลอย่างผ้าสีน้ำตาลพันที่ลูกกระสุนขนาด .22 นิ้ว ให้มีขนาดเอามาใส่รังเพลิงปืนได้พอดี ๆ จะได้ยิงได้ พอเอามาใส่ได้พอดีแล้ว ทดลองยิงดู แป๊ะ ไม่ลั่น อ้าว มันเป็นอะไรของมันอีกล่ะ ลองดูที่ตูดลูกระสุนที่เรายิง อ้าว มันก็มีรอยถูกนกปืนสับ ทำไมมันถึงไม่ลั่นล่ะ งงน่าดู (ตอนนั้น ไม่รู้เลยว่า ลูกกระสุนปืนมี 2 ชนิด ที่ผมเคยบอกก่อนหน้าแล้วว่า ลูกกระสุนปืนมี ลูกกระสุนชนวนกลาง กับชนวนริม ลูกชนวนกลางแก๊ปจะอยู่ตรงกลาง นกต้องสับถูกแก๊ป แก๊ปถึงจะระเบิดไปขยายการระเบิดดินปืน เพื่อขับหัวกระสุนออกไปทางปากกระบอกปืน ลูกกระสุนชนวนกลางส่วนใหญ่จะขนาดใหญ่กว่า .22 นิ้วขึ้นไป ลูกกระสุนปืนชนวนริมเท่าที่เห็น และนิยมใช้กันก็มีเพียงปืนขนาด .22 นิ้ว การจะยิงให้ปืน .22 นิ้วลั่น นกปืนต้องสับไปที่ริมขอบของตูดลูกกระสุน เพราะแก๊ปจะอยู่ริมขอบ เมื่อนกปืนสับถูกแก็ป แก๊ปจะระเบิดไปขยายการระเบิดดินปืนให้ขับหัวกระสุนออกทางปากกระบอกปืน) กรณีของผม ลูก .22 นิ้ว เป็นลูกกระสุนปืนชนวนริม ดันเอามาใส่ปืนขนาด .32 นิ้ว ที่เค้ามีเอาไว้สำหรับยิงลูกกระสุนแบบชนวนกลาง แล้วมันจะไปยิงลั่นได้ยังไง ตลกตายเลย นกปืนตีเท่าไหร่ก็ไม่ถูกแก๊ป ผมกับเฮียเล็กใช้วิธีไหนในการแก้ปัญหายิงปืนไม่ลั่นรู้มั้ยครับ ไม่ยาก พวกผมหรือเด็กผู้ชายรุ่นผม หรือรุ่นใกล้ ๆ กัน ถนัดในการยิงปืนอัดเทียนอยู่แล้ว ปืนอัดเทียนจะเอาปลอกลูกกระสุนปืน .22 นิ้ว เปล่า ๆ มาเจาะรูที่ตูดลูกกระสุน จากนั้นเอาแก็ปสีส้มที่แกะจากแผงกระดาษออกมาเป็นเม็ดต่างหากแล้ว มาใส่เข้าไปในลูกกระสุนทางปากปลอกกระสุน ต้องการให้ยิงแรงก็ใส่แก๊ปมากหน่อย ต้องการเบาก็ใส่แก๊ปน้อยหน่อย จากนั้นก็เอาเทียนมาอัดบริเวณปากลูกกระสุนให้แน่น ๆ นี่แหละคือลูกกระสุนปืนอัดเทียน ทีนี้มาถึงเรื่องตัวปืน ปืนอัดเทียน ส่วนใหญ่ที่พวกผมทำมักจะเป็นปืนไม้ ส่วนที่เป็นนกปืนทำเป็นแท่งสี่เหลี่ยม เอายางหนังสะติ๊กผูกของดึงรั้งนกนี้ไว้ นกปืนส่วนนี้จะมีร่องบากเพื่อที่เวลาจะยิงจริง เราต้องง้างนกปืนไปล็อกกับด้านท้ายปืน เพื่อล็อกนกปืนค้างไว้ เวลายิงเราก็เอานิ้วโป้งดันด้านล่างนกปืนขึ้นมา นกปืนที่ล็อกไว้ก็จะหลุดจากล็อก พุ่งไปด้านหน้าไปกระทบลูกกระสุนที่อยู่ในรังเพลิง ลูกกระสุนที่ใส่ก็ลูกกระสุนที่เราทำเองอย่างที่บอกนั่นแหละ เอาไปใส่ลำกล้องปืนทำเอง ลำกล้องนี่ ต้องใช้ท่อโลหะขนาดเดียวกับลูกกระสุนมาทำเป็นลำกล้องปืน เมือใส่ลูกระสุนแล้ว ให้เอาแก๊ป 1 เม็ด มาวางไว้ที่รูที่เจาะแล้วที่ตูดของ ลูกกระสุน สุดท้ายก็มาถึงตอนยิง เราจะดึงนกปืนค้างล็อกไว้ ดันนกปืนหลุดจากล็อก นกปืนจะพุ่งมาอย่างเร็วด้วยแรงยางหนังสะติ๊กเข้ากระทบแก๊ปที่เราวางไว้ที่ ตูดลูกกระสุน นกปืนโดนแก๊ปแก๊ปก็จะระเบิด แรงระเบิดจะเผาผ่านรูที่เราเจาะไว้ที่ตูดลูกกระสุน แก๊ปที่เราใส่ในลูกกระสุน ก็จะระเบิดขับหัวกระสุนที่เป็นเทียนออกมาทางปากกระบอกปืนอย่างแรงพอควร แต่นี่มันแค่ปืนอัดเทียน ถ้าเป็นลูกกระสุน .22 นิ้ว ที่เป็นปืนจริงอย่างนี้ ไม่รู้จะยิงได้เหมือนปืนอัดเทียนหรือเปล่า แต่ก็ต้องทดลองทำดู ไม่งั้นลูกปืนก็ต้องทิ้งไปเปล่า ๆ ทำอะไรไม่ได้ ต้องทิ้งอย่างเดียวเท่านั้น ผลการยิง ผมกับเฮียเล็ก สามารถยิงปืนด้วยวิธีการเอาแก๊ปเป็นตัวช่วยได้ แต่รู้สึกความแรงจะไม่เท่าเวลายิงด้วยลูกกระสุนจริงที่ยิงอย่างปรกติ พวกผมพอใจอย่างมาก อุตส่าห์พยายามอย่างมหาศาล แก้ปัญหาทีละเปลาะจนยิงปืนลั่นได้ ในการยิงปืนวันนั้น เมื่อเอาแก๊ปเม็ดที่แกะจากแผงกระดาษมาลองยิงจนได้ผลแล้ว การเตรียมแก็ปเม็ดผมเลยเตรียมไว้เยอะ ทำไมถึงเตรียมเยอะล่ะ อย่าลืมผมกับเฮียเล็กมีกิจกรรมใช้แก๊ปเม็ดไม่ใช่เพียงเอามายิงปืน ผมเตรียมเอาไว้สำหรับทำระเบิดขวดด้วย การเตรียมแก๊ปเม็ดไว้ใช้ ผมเก็บใส่ขวดพลาสติกเล็ก ๆ มีฝาปิดแน่น ป้องกันความชื้น และสะดวกกับการนำมาใช้งาน ขณะที่พวกผมกำลังยิงปืนกันอยู่ ตอนผมว่างคอยดูเฮียเล็กยิง ผมจะเขย่าแก๊ปเม็ดในขวดพลาสติกให้กระทบกัน ดังก๊อกแก๊กก๊อกแก๊กไปด้วย กำลังเขย่ามันส์ ๆ อยู่เลย เสียงตูมดังสนั่นขึ้นข้างหู สติผมหายไปวูบนึง หูอื้อไม่ได้ยิน ตาบอดมองไม่เห็นอะไรเลย ผ่านไปพักนึงสติค่อยคืนกลับมา ผมมาทบทวนดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมกันเนี่ยะ สำรวจดูบริเวณโดยรอบ เจอขวดพลาสติกที่เอาไว้ใสแก๊ประเบิดเป็นรูอยู่ หันมาถามเฮียเล็กที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยกันว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงได้รู้ว่า เกิดเหตุแก๊ประเบิด จากการที่ผมเอาขวดที่ใส่แก๊ปมาเขย่า แก๊ปนี่มันไม่มีอะไรป้องกันไม่ให้มันระเบิด เพียงมันเสียดสีกันแรง ๆ เข้ามันก็ระเบิดได้แล้ว ผมกับเฮียเล็กเลยโดนระเบิดที่ไม่ได้ตั้งใจทำระเบิดใส่ตัวเอง แต่โชคยังดี ที่ผมไม่ได้เอาขวดที่เป็นแก้วมาใส่แก๊ปแล้วเขย่า ไม่อย่างนั้น ไม่อยากเดาตอนจบจริง ๆ ขอบพระคุณพระเจ้า
          จบตอน ประสบการณ์ชีวิต จากความผิดพลาด ความหลงผิด สู่บทเรียนชีวิตล้ำค่า ตอนที่ 3 โปรดติดตามตอนที่ 4 ได้ในเร็ว ๆ นี้


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สวัสดีครับทุกท่าน กรณีที่ท่านติดตามชมบล็อกของผมแล้วต้องการแสดงความคิดเห็น ผมเปิดกว้างสำหรับทุกท่าน ขอความกรุณาแค่แสดงความคิดเห็นให้ตรงกับเนื้อหาของผม กรณีจะแสดงความคิดเห็นที่ไร้สาระ ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาเลย ได้โปรดอย่าทำเลยครับ ผมขี้เกียจลบ ขอบคุณมากครับ

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น