วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2556

หลักการอยู่อย่างยิ่งใหญ่ เคล็ดลับการดำเนินชีวิตอย่างเต็มภาคภูมิ ตอนที่ 2


หลักการอยู่อย่างยิ่งใหญ่ ตอนที่ 1 เป็นเรื่องของสัตว์นักล่าอันยิ่งใหญ่ ใน หลักการ อยู่อย่างยิ่งใหญ่ ตอนที่ 2 นี้ เป็นเรื่องของคนที่มีความรู้ความสามารถอันยิ่งใหญ่ เชิญชมได้เลยครับ       

สัตว์กับมนุษย์นั้น ความสามารถใน การต่อสู้ เอาตัวให้รอดจากธรรมชาติต่างกัน สัตว์มีสติปัญญาด้อยกว่า ไม่สามารถนำสติปัญญา มาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตมากนัก ต้องพึ่งร่างกาย อันล่ำสันใหญ่โต เขี้ยวเล็บที่แหลมคม และ พลังอันแข็งแกร่ง ประกอบการจู่โจมที่เด็ดขาด เป็นอาวุธสำคัญ ที่ใช้ในการล่า หาอาหารมาดำรงชีวิต ผลงานการล่าที่ค่อนข้างแน่นอน จึงสร้างให้บรรดา สัตว์นักล่า มีชื่อเสียง สร้างความน่าเกรงขามอันยิ่งใหญ่ ให้เกิดขึ้น มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ ในทางตรงข้าม มนุษย์เป็นนักล่าที่มีร่างกายอ่อนแอ ไร้เขี้ยวเล็บ และ มีพละกำลังน้อยที่สุด ในบรรดา สัตว์นักล่า ถ้าจะให้มนุษย์ไปล่าสัตว์ด้วยมือเปล่า โอกาสน้อยนัก ที่จะล่าได้สัตว์กลับมา แต่ธรรมชาติ ไม่โหดร้ายจนเกินไป เมื่อมนุษย์ไม่มีร่างกาย เขี้ยวเล็บ และ พลังที่แข็งแกร่ง สำหรับนำมาใช้ในการล่า ธรรมชาติเลยมอบสติปัญญา ที่เหนือกว่าสัตว์ให้กับมนุษย์ มนุษย์มี การพัฒนาสติปัญญา ในการต่อสู้ แก้ปัญหาต่าง ๆ พัฒนาวิธีการใช้ชีวิต หลากหลายวิธี เพื่อเอาตัวให้รอดในธรรมชาติ สามารถดำรงชีวิต และ แพร่ขยายเผ่าพันธุ์ต่อไปได้ สติปัญญา ทำให้มนุษย์มีวิธีการมากมายในการหาอาหาร มนุษย์อาจออกล่าสัตว์ ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ โดยใช้อาวุธ กับดัก หรือ วิธีการอื่น ๆ ที่เหมาะสม (การไล่ต้อนสัตว์ เข้าไปจนมุมในอวน ในเพนียด ฯลฯ) การพัฒนาสติปัญญา ของมนุษย์มาใช้ในการล่า ประสบผลสำเร็จ ในการล่าสูงกว่าการล่าของ สัตว์นักล่า มาก มนุษย์จึงขึ้นทำเนียบเป็นนักล่าอันดับหนึ่งในยุทธจักร แต่การล่า ใช่ว่าจะราบรื่นเสมอไป บางช่วงเวลาในฤดูหนาว หรือ แล้ง ธรรมชาติอันทารุณ ทำให้สัตว์ต่าง ๆ ออกมาหาอาหารกันในปริมาณน้อย มนุษย์จะหาล่าสัตว์เพื่อนำมาเป็นอาหารได้ยาก มนุษย์ก็ยังใช้สติปัญญา ปรับตัวให้อยู่รอดในภาวะหนาว หรือ แล้งได้โดยผลิตอาหารขึ้นเอง ไม่ว่าจะเป็น วิธีนำเอาสัตว์จากธรรมชาติมาเลี้ยง แพร่ขยายพันธุ์ให้เพียงพอ ต่อความต้องการบริโภค มนุษย์ยังสามารถ เพาะปลูกพืชไว้บริโภค รู้วิธี การถนอมอาหาร ไว้กินยามขาดแคลน อาหารของมนุษย์ จึงมีเพียงพอพร้อมบริโภคตลอดเวลา การที่มนุษย์ มีสติปัญญาดีกว่าสัตว์ ชื่อเสียงความยิ่งใหญ่ของมนุษย์ จึงมีที่มาสำคัญจากสติปัญญาด้วย ในช่วงแรกที่ผ่านมา เราสรุปกันได้แล้วว่า สัตว์นักล่า ตัวอย่างทั้ง 3 ชนิด มีคุณสมบัติทั่วไป คุณสมบัติพิเศษ และ ทำอย่างไรให้มันคงความยิ่งใหญ่มาได้ 

คราวนี้เรามาดู มนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่กันสัก 3 ท่าน เพื่อพิจารณาดูให้รู้แน่ว่า มนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ มีคุณสมบัติ และ ทำอย่างไร จึงมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ บุคคลตัวอย่าง ที่หยิบยกมาพิจารณามี


เทพเจ้ากวนอู ผู้ยิ่งใหญ่แห่งความซื่อสัตย์
เทพเจ้ากวนอู ผู้ยิ่งใหญ่แห่ง ความซื่อสัตย์

ดูรายละเอียดรูปภาพได้ที่ลิงค์ http://bit.ly/1f6QNxX
อัลเบิร์ต  ไอน์ไสตน์ สุดยอดอัจฉริยะ
ดูรายละเอียดรูปภาพได้ที่ลิงค์ http://bit.ly/1gp3VPr
มหาตมา คานธี นักต่อสู้แบบอหิงสา
มหาตมะ คานธี นักต่อสู้แบบ อหิงสา
ดูรายละเอียดรูปภาพได้ที่ลิงค์http://bit.ly/MZ5OXY
          เรามาพิจารณากันว่า คนตัวอย่างทั้ง 3 ท่าน มีคุณสมบัติ และ การใช้ชีวิต อย่างไร
          เทพเจ้ากวนอู คือ เทพเจ้าอันเป็นที่เคารพนับถือในเรื่อง ความซื่อสัตย์ และ กตัญญูกตเวทีของชาวจีน โดย กวนอู เป็นตัวละครเอก อยู่ในนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ชื่อดังของจีน เรื่อง สามก๊ก กวนอู เป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ พละกำลังแข็งแรงมาก ใช้ง้าวเหล็กสูงท่วมหัว เป็นอาวุธประจำกาย ฝึกปรือการต่อสู้ด้วยมือเปล่า และ ท่าอาวุธมาอย่างหนัก มี ประสบการณ์การต่อสู้ ผ่านมาอย่างโชกโชน ฝีมือเก่งกาจไม่ธรรมดา ผลงานความเก่งกาจกล้าหาญ ปรากฏขึ้นชื่อในหลายสมรภูมิ การต่อสู้แต่ละครั้ง หากไม่ใช่การต่อสู้ที่เสียเปรียบจริง ๆ ยากที่ใครจะเอาชนะ กวนอู ได้ ชื่อเสียงความสามารถอันเก่งกาจดังกล่าว โจโฉ แม้เป็นฝ่ายตรงข้าม ยังรักนับถือฝีมืออยากได้มาเป็นพวก และคุณสมบัติอีกอันที่ทำให้ กวนอู ได้รับการยกย่องนับถืออย่างสูง คล้ายกับว่า มีความยิ่งใหญ่เหนือกว่าตัวละครท่านอื่น ๆ (ตัวละครเอกของสามก๊กมีมากมาย ตัวละครเด่น ๆ แต่ละคน จะมีบุคลิกลักษณะพิเศษเฉพาะตัว เช่น เล่าปี่ (พี่ร่วมน้ำสาบานของ   กวนอู) เป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตนมาก จนมีผู้กล่าวขานว่า เล่าปี่เป็นผู้ให้ความคารวะต่อชนทุกชั้นอีกคนหนึ่ง คือ ขงเบ้ง (ที่ปรึกษาของเล่าปี่) มีสติปัญญาเป็นเลิศ เรียนรู้วิชาการด้านต่าง ๆ และ โหราศาสตร์อย่างแตกฉานลึกซึ้ง เข้าขั้นผู้หยั่งรู้ฟ้าดินและ ตัวเอกที่สำคัญอีกคนหนึ่งก็คือ โจโฉ เป็นบุคคลที่ไม่เคยไว้ใจใคร ระแวงทุกคนที่อยู่ข้างกาย จะฆ่าคนที่สงสัยว่า เอาใจออกห่างทุกคน เพื่อไม่เปิดโอกาสให้แม้แต่คนเดียวมีโอกาสหักหลังตัวได้) ตัวละครเอกเหล่านี้ มีบุคลิกลักษณะพิเศษเฉพาะตัว และ ผลงานโดดเด่นน่านับถือ ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่า กวนอู แต่อย่างใด แต่ผมรู้สึกว่า คนจีน กลับให้ความสำคัญอันยิ่งใหญ่กับ กวนอู มากกว่าผู้อื่น (ที่เป็นเช่นนี้ น่าจะด้วยคนจีนยึดมั่นในคุณธรรมความซื่อสัตย์ กตัญญูกตเวที เป็นคุณธรรมสำคัญอันดับแรก ที่ทุกคนต้องมี คุณธรรมด้านอื่น ๆ ให้ความสำคัญรองลงไป (ผมอาจเข้าใจผิดไปเองหรือเปล่าไม่รู้ หากผิดพลาด ขออำภัยด้วยแล้วกัน)) ในช่วงท้ายของชีวิต เป้าหมายแห่งการต่อสู้ รวบรวมดินแดน ยังไม่ประสบผลสำเร็จ กวนอู ถูกข้าศึกล้อมกรอบ ฆ่าตายกลางสนามรบ ตัดหัวเสียบประจาน ความพ่ายแพ้ในครั้งนั้น ไม่ได้ทำให้ความยิ่งใหญ่น่านับถือของ กวนอู ลดน้อยถอยลงไป ด้วยผลงานในช่วงเวลาที่ผ่านมา แสดงออกถึง คุณธรรมความซื่อสัตย์ กตัญญูรู้คุณคน อย่างเด่นชัดหลายครั้งหลายหน เช่น เมื่อครั้งที่ช่วยพี่สะใภ้ (ภรรยา  เล่าปี่) ให้กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย โดยต่อสู้กับทหารจำนวนมาก อย่างเอาชีวิตเข้าแลก และ ยอมแลกการตอบแทนคุณ โจโฉ ด้วยการปล่อยตัวโจโฉที่ตนจับไว้ได้เป็นอิสระไป (ครั้งหนึ่ง โจโฉ เคยมีบุญคุณต่อ กวนอู โดยปล่อย กวนอู ที่ถูกจับกุมให้เป็นอิสระ ไป) แล้วยอมกลับไปรับทัณฑ์ที่ไม่สังหาร และปล่อย โจโฉ เป็นอิสระไป ด้วยการยอมให้ เล่าปี่ ลง ทัณฑ์ตัดหัว ชื่อเสียงแห่งการเป็นนักรบ นักต่อสู้อันยิ่งใหญ่ของกวนอู ไม่มีใครปฏิเสธได้ ยิ่งมีคุณธรรมความซื่อสัตย์ กตัญญูกตเวที ต่อผู้มีพระคุณประกอบในตัวด้วยเช่นนี้ การยกย่องให้ กวนอู เป็นผู้ยิ่งใหญ่ไม่ใช่เรื่องเกินเลยแม้แต่น้อย ด้วยบุคลิกเฉพาะตัว ความซื่อสัตย์ กตัญญูกตเวที ความกล้าหาญ การยอมรับผิด และ ยอมรับโทษทัณฑ์ในสิ่งที่ตนควรได้รับ โดยไม่บิดพริ้วเช่นนี้ เป็นคุณสมบัติที่หาได้ยากยิ่ง จะมีได้ก็ในตัวของผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้น ภายหลังต่อมา ชาวจีนจึงยกย่องให้ กวนอูเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง มีการเคารพบูชาแพร่หลายทั่วทุกหนแห่ง แม้กระทั่งประเทศไทย ศาลเทพเจ้ากวนอู มีปรากฏให้เห็นมากมาย
               อัลเบิร์ต  ไอน์ไสตน์ เป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันเชื้อสายยิว ที่มีความคิดเฉลียวฉลาด สติปัญญาเฉียบแหลม ในวัยแรกเริ่มการศึกษา อัลเบิร์ต ไอน์ไสตน์ ไม่ใช่คนเรียนการศึกษาภาคปกติได้ดี ค่อนข้างเรียนรู้ได้ช้า มีปัญหาถึงขั้นต้องลาออกจากโรงเรียนมัธยมกลางคัน แต่อัลเบิร์ต ไอน์ไสตน์ ไม่ใช่คนท้อง่าย ในที่สุด ก็พยายามเรียนต่อจนจบระดับปริญญาตรี แม้จะกระท่อนกระแท่นไปบ้างก็ตาม การเรียนรู้ช้าของ อัลเบิร์ต ไอน์ไสตน์ ไม่ใช่เพราะเขามีสติปัญญาไม่ดี สาเหตุน่าจะเป็นเพราะเขา ไม่ชอบวิชาภาคปกติบางวิชา จนเกิดเป็นปัญหาต่อการเรียน ในความเป็นจริง อัลเบิร์ต  ไอน์ไสตน์ มีสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดมาก ระดับสติปัญญาเข้าขั้น อัจฉริยะทีเดียว เขาชอบสังเกตจดจำสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เขารู้ความต้องการของตัวเองดีมากตั้งแต่เด็ก เขาสนใจ ชอบ และมี พรสวรรค์ ในการศึกษาค้นคว้าวิชาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ เขาไม่เคยมีปัญหากับ 2 วิชานี้เหมือนกับการเรียนในภาคปกติ เขาเรียนได้ดีมาก เขาให้ความสนใจ ศึกษาค้นคว้าวิชาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์อย่างต่อเนื่องเรื่อยมา แม้ขณะที่เขาทำอาชีพประจำแล้วก็ตาม เขากับเพื่อนยังคงตั้งกลุ่มศึกษาค้นคว้าร่วมกัน ในที่สุด อัลเบิร์ต ไอน์ไสตน์ ก็มีความรู้แตกฉาน เขาบัญญัติทฤษฎีทางฟิสิกส์ใหม่ ๆ หลายทฤษฎี ที่นักฟิสิกส์ และ นักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังมากมาย ให้การยอมรับนำมาใช้เป็นรากฐานความรู้ทาง ฟิสิกส์ และ วิทยาศาสตร์ในยุคต่อมา
          มหาตมะ คานธี เป็นผู้นำทางการเมืองของอินเดีย มีความกล้าหาญอดทนต่อการต่อสู้ทางการเมืองอย่างมาก สมัยก่อน ฝ่ายปกครองมีอำนาจ กำลังคน และ กำลังทรัพย์มาก ไม่มีใครอยากเข้าต่อกรด้วย แต่ มหาตมะ คานธี กล้าสู้ เขาถูกข่มขู่ ถูกจับเข้าคุกตะรางหลายครั้ง การตอบโต้จากฝ่ายปกครองเหล่านั้น ไม่ทำให้เขากลัว ท้อแท้ หรือยกเลิกการต่อสู้ไป เขายังยึดแนวทางการต่อสู้กับผู้กดขี่ด้วยวิธี อหิงสา มาตลอด การกระทำต่าง ๆ ของ มหาตมะ คานธี ต้องเสียสละกำลังกาย กำลังใจอย่างมาก การทุ่มเทกำลังกายกำลังใจ ช่วยเหลือชาวบ้านมากมายหลายกลุ่ม โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนอะไร หวังเพียงให้ชาวบ้านได้อยู่ดีกินดี ได้รับความเป็นธรรมในสังคม ที่เอารัดเอาเปรียบกันอย่างรุนแรง ก่อเกิดเป็นบารมี ได้รับความเคารพนับถือจากบุคคลหลายกลุ่มหลายฝ่าย ยามที่กลุ่มคน 2 ฝ่าย ขัดแย้งกัน หากให้ มหาตมะ  คานธี ไกล่เกลี่ยรอมชอม มักตกลงกันได้ แต่ธรรมดามนุษย์ มีคนรักก็ต้องมีคนชัง สุดท้ายของการต่อสู้ ต้องจบลงด้วยความเศร้า มหาตมะ  คานธี ถูกคนร้ายฝ่ายที่ไม่พอใจการกระทำของเขา ใช้อาวุธปืนยิงจนเสียชีวิต ต้องยุติบทบาทนักต่อสู้ผู้เสียสละไป แต่ความยิ่งใหญ่ของเขา ไม่เคยห่างหายไปจากชาวอินเดีย และ ชาวโลก นักต่อสู้ทางการเมืองมากมาย เอาการต่อสู้ของ มหาตมะ คานธี เป็นต้นแบบแห่งการต่อสู้ของตน
          มนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 3 ท่าน มีคุณสมบัติ คือ
          ร่างกายจิตใจแข็งแกร่ง เทพเจ้ากวนอู เป็นนักรบ ต้องสู้กับข้าศึกต่อเนื่องตลอดชีวิต มีผลงานชนะการต่อสู้หลายครั้ง เป็นที่ร่ำลือโจษขานไปทั่ว เป็นที่แน่ชัดว่า ร่างกาย และ จิตใจต้องแข็งแกร่งมากเป็นพิเศษ อัลเบิร์ต ไอน์ไสตน์ ร่างกายจิตใจแข็งแกร่งมากเช่นกัน สังเกตได้จากการที่เขามุ่งมั่นศึกษาเล่าเรียนการศึกษาภาคปกติ ที่ตนไม่ชอบ ทำความเข้าใจได้ช้า หรือ มีปัญหากับบางวิชาที่ไม่ชอบจนจบจนได้ และการที่เขาสนใจ ชอบ และมุ่งมั่นศึกษาวิชาคณิตศาสตร์ และ วิทยาศาสตร์อย่างจริงจัง จนเชี่ยวชาญแตกฉาน สามารถบัญญัติทฤษฎีใหม่ ๆ ที่ใช้เป็นพื้นฐานทางฟิสิกส์ และวิทยาศาสตร์ยุคต่อมา การศึกษาของ อัลเบิร์ต ไอน์ไสตน์ ดังกล่าวทั้งที่ ชอบ และ ไม่ชอบ ต้องใช้เวลาในการศึกษาเป็นเวลานาน ต้องใช้ร่างกาย ควบคู่กับจิตใจที่แข็งแกร่งประกอบกัน จึงจะสามารถทำให้สำเร็จได้ สำหรับ มหาตมะ  คานธี ต้องเสียสละ ทุ่มเทดำเนินงานการเมืองที่ยากลำบาก เดินทางไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำตลอดชั่วชีวิต เสี่ยงต่อการถูกทำร้าย ถูกฆ่า ถูกจับเข้าคุก หากร่างกายจิตใจไม่แข็งแกร่ง ย่อมไม่มีทางทำได้
          สติปัญญาดี สติสัมปชัญญะครบถ้วน (รู้สำนึกตลอดว่า ตัวกำลังทำอะไร) มนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 3 ท่าน เทพเจ้ากวนอู และ มหาตมะ คานธี มีสติปัญญาดี สติสัมปชัญญะครบถ้วน เหมาะกับภารกิจที่ทำ คือ นักรบ กับ นักการเมืองผู้เสียสละ ตามลำดับ ที่ไม่ต้องการ การมีสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดมาใช้ในการทำงานมากนัก มีเพียง อัลเบิร์ต  ไอน์ไสตน์ ท่านเดียว ที่มีภารกิจหน้าที่ทางวิชาการ ที่ต้องใช้สติปัญญาความเฉลียวฉลาดอย่างสูง ในการทำงาน ซึ่งพอเหมาะกับ อัลเบิร์ต ไอน์ไสตน์ ที่มีสติปัญญาดีเลิศถึงขั้น อัจฉริยะและมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน เขาสนใจศึกษาค้นคว้า หาความรู้ด้านคณิตศาสตร์ และ วิทยาศาสตร์อย่างต่อเนื่อง จนเชี่ยวชาญแตกฉาน ก่อกำเนิดทฤษฎีทางฟิสิกส์ ที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย เป็นประโยชน์กับวงการฟิสิกส์ และ วิทยาศาสตร์ในยุคต่อมามากมาย
           มีความมุ่งมั่นทุ่มเท และ อดทนต่อการทำงานสูง มนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 3 ท่าน มุ่งมั่นทุ่มเทต่องานที่ทำมาก งานไม่สำเร็จ ไม่ยอมเลิกรา ต้องฟันฝ่าไปให้ถึงจุดหมายปลายทางให้จงได้ มีความอดทนต่อปัญหาอุปสรรคในการทำงานสูง ไม่ว่าจะมีปัญหา หรือ อุปสรรคใดขวางกั้น ทั้ง 3 ท่าน มุ่งมั่นฟันฝ่าจนผ่านพ้นไปจนได้ ความหิวโหย เหนื่อยล้า หรือ ความยากลำบากในการทำงาน ไม่ทำให้ทั้ง 3 ท่าน ท้อแท้ สิ้นหวัง เปลี่ยนแปลง หรือ ยุติล้มเลิกการทำงานไป ยังคงมุ่งมั่นทุ่มเทต่อไป จนกว่าชีวิตจะหาไม่ และด้วยชะตาฟ้าลิขิต มนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่ 2 ท่าน คือเทพเจ้ากวนอู และ มหาตมะ คานธี ต้องสละชีวิตอันมีค่า ไปก่อนภารกิจจะสำเร็จถึงเป้าหมาย เทพเจ้ากวนอู ต้องการช่วย เล่าปี่ รวบรวมดินแดนประเทศจีนให้เป็นปึกแผ่น ขณะงานยังไม่สำเร็จ ถูกข้าศึกล้อมกรอบฆ่าตาย ตัดหัวเสียบประจาน ต้องยุติบทบาทไป และ มหาตมะ คานธี ต้องการให้ประชาชน ได้รับความเป็นธรรมจากฝ่ายปกครอง ระหว่างดำเนินงาน ความสำเร็จยังอยู่อีกไกล เกิดกระทบกระทั่ง ทำให้กลุ่มบุคคลฝ่ายหนึ่งไม่พอใจ ส่งคนเอาอาวุธปืนมาสังหาร ต้องยุติบทบาทไปเช่นกัน มีเพียงท่านเดียว คือ อัลเบิร์ต  ไอนไสตน์ สามารถสานต่องาน จนประสบผลสำเร็จ ตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้
             มีความรัก เคารพนับถือ ให้เกียรติ ภาคภูมิใจในตัวเอง และ พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ มนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 3 ท่านมีความรัก เคารพนับถือ ให้เกียรติ ภาคภูมิใจในตัวเอง และ พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ทั้ง 3 ท่าน ไม่เคยลดค่า ทำร้าย ทำลาย ทำให้ตัวเองไร้เกียรติ เสื่อมเสียชื่อเสียง ทั้ง 3 ท่านมีความภาคภูมิใจในตัวตน และ การทำการใหญ่ของตน รักในเกียรติยศ และ ชื่อเสียงเป็นสำคัญ หมั่นพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ไม่ปล่อยเวลาสูญไปโดยเปล่าประโยชน์
           มี หลักการ ที่ถูกต้อง และ ยึดหลักเหตุผลในการดำเนินชีวิต มนุษย์ที่จะมีชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ ต้องยึดมั่น และ กระทำตาม (คนจำนวนมากมี หลักการ ดี แต่ไม่ทำตาม แล้ว หลักการ ดังกล่าวจะมีประโยชน์ได้อย่างไร) หลักการ ที่ถูกต้อง (แนวทางการดำเนินชีวิต ที่เหมาะสมสำหรับมนุษย์ เป็นแนวทางในเชิงบวก เป็นที่ยอมรับของสังคมมาแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต เช่น หลักการ ซื่อสัตย์ กตัญญูรู้คุณคน, หลักการกินอยู่อย่างพอเพียง หรือหลักการ ขยันหมั่นเพียร ฯลฯ โดยมนุษย์ที่จะมีชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ มักรวมเอา หลักการ ดี ๆ มาใช้ในการดำรงชีวิตอย่างเหนียวแน่น) และยึด หลักเหตุผล (ผลที่ได้รับต้องมาจากเหตุนั้น ๆ จริง ๆ เช่น ผลที่ได้รับ คือ คนมีฐานะดี มีเหตุมาจากคน ๆ นั้นขยันทำมาหากินตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา ไม่ใช่มีเหตุมาจากดวงดี พ่อแม่รวย (พวกนี้ฐานะดี เพราะพ่อแม่เป็นหลักอยู่ ถ้าพ่อแม่ไม่อยู่ ฐานะมักทรุดลงอย่างเร็ว รักษาไว้ไม่ได้ เพราะไม่ได้พัฒนาตัว ให้มีความสามารถในการรักษาฐานะให้มั่นคงไว้) หมั่นประกอบกิจทางศาสนาที่ตนนับถืออย่างเข้มแข็ง (ทำบุญ ไหว้พระ หรือ ช่วยการกุศลมาก ๆ สิ่งเหล่านี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทำให้ผู้ทำจิตใจสบาย แต่ขอบอกว่าไม่ใช่เหตุจริง ๆ ที่ทำให้คนรวย หรือ มีฐานะดีแต่อย่างใด) หรือ กรณีผลที่ได้รับ คือ ถูกตำรวจจับกล่าวหาว่า ทำผิดกฎจราจร (ไม่มีใบขับขี่, ขับขี่รถเร็วกว่าที่กฎหมายกำหนด หรือ ฝ่าฝืนสัญญานไฟจราจร ฯลฯ) ทุกข้อหา มีเหตุมาจากคนถูกจับไม่สนใจทำ ไม่อยากทำตามกฎหมาย หรือ อยากจะฝ่าฝืนกฎหมาย ไม่ใช่มีเหตุมาจาก บังเอิญตำรวจขยันขึ้นมากะทันหัน เลยหาเรื่องจับ หรือ เพราะคนอื่นเขาทำ เราก็เลยทำตามจนถูกจับแน่ ๆ ) ใน การดำเนินชีวิต ทุกตัวคน สิ่งใดที่ขัดกับ หลักการดำเนินชีวิต  และ ไม่สมเหตุสมผล จะไม่ยินยอมโอนอ่อนผ่อนตาม ตัวอย่างเช่น เทพเจ้ากวนอู เป็นผู้ซื่อสัตย์ และกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ เมื่อครั้งช่วยพี่สะใภ้ (ภรรยา ของ เล่าปี่ ที่อายุยังน้อย รูปร่างหน้าตาหมดจดงดงาม) กลับถึงบ้านได้อย่างปลอดภัย ระหว่างเดินทาง กวนอู มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดสองต่อสองกับพี่สะใภ้ ที่มีใจรักในตัว กวนอู เป็นทุนอยู่แต่เดิม หวังจะให้ กวนอู มีไมตรีตอบ แต่กวนอู ไม่เอาด้วย ไม่เคยคิดฉวยโอกาสล่วงเกินพี่สะใภ้แม้แต่น้อย เหตุการณ์ครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า กวนอู ยึดมั่น หลักการความซื่อสัตย์ กตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ อย่างเหนียวแน่นเพียงไร การใดที่จะทำให้ตน ต้องทรยศต่อหลักการดังกล่าว จะไม่ยอมโอนอ่อนตามอย่างเด็ดขาด คนที่ต้านทานเสน่ห์ของสตรีเพศ ที่มีใจต่อตัวได้เช่นนี้ ยากที่จะหาใครมาเสมอเหมือน ความเข้มแข็งของจิตใจ ที่ยึดมั่นในหลักการดังกล่าว ทำให้ กวนอู ได้รับการยกย่อง ให้เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งเลยทีเดียว หรืออย่าง อัลเบิร์ต ไอน์ไสตน์ พบว่าตัวเองมีความสนใจ ชอบ และมี พรสวรรค์ ในการศึกษาค้นคว้าวิชาการทางด้านคณิตศาสตร์ และ วิทยาศาสตร์ ต้องการที่จะได้รับความสำเร็จในงานด้านนี้ ยึดมั่นหลักการว่า การจะทำอะไรให้ได้ดี ตนต้องสนใจ ชอบ เหมาะสมกับตน แล้วมุ่งทำไปจนกว่าจะประสบความสำเร็จ สิ่งที่นอกเหนือจากความสนใจ ไม่ต้องไปใส่ใจ ดังนั้น ใครก็ตาม ที่ชักจูงให้เขาหันเหไปทางอื่น ที่คิดว่าน่าจะดีกว่า (พ่อแม่ผู้ปกครองมักคิดสรุปเอาเองว่า เรียนวิชาการภาคปกติ มีหนทางความก้าวหน้าเปิดกว้าง และ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จ มีมากกว่าการเรียนเฉพาะทาง ไปทางด้านคณิตศาสตร์ และ วิทยาศาสตร์ โดยไม่คำนึงถึงความสนใจ ความชอบ ความถนัด พรสวรรค์ หรือความเหมาะสม ของเด็กแต่อย่างใด) เขาก็ไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม อัลเบิร์ต ไอน์ไสตน์ รู้ตัวดีมาตลอดว่า หากตนศึกษาค้นคว้าทางด้านคณิตศาสตร์ และ วิทยาศาสตร์เรื่อยไป เขาต้องประสบความสำเร็จ แล้วเขาก็ทำสำเร็จสมความตั้งใจ มีความรู้เชี่ยวชาญแตกฉาน ก่อกำเนิดทฤษฎีเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ ได้รับชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ และสำหรับ มหาตมะ คานธี ผู้ยึดมั่นหลักการต่อสู้กับฝ่ายปกครอง เพื่อให้ประชาชนได้รับการปฏิบัติที่ เป็นธรรม โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน หลายครั้งหลายหน ถูกข่มขู่ว่าจะทำร้าย หรือ ทำอันตรายต่อชีวิต ถูกจับกุมคุมขัง ได้รับความลำบาก ยากแค้นแสนสาหัส ตามมุมมองของคนทั่วไป อาจเห็นว่า การกระทำดังกล่าว เป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า และ ถ้าพูดแรงไปเลยก็อาจจะว่า โง่ ทำไปทำไม ทำแล้วไม่เห็นได้อะไรแต่สำหรับ มหาตมะ คานธี เขาไม่คิดเช่นนั้น เขามีใจเป็น นักต่อสู้ผู้เสียสละเพื่อประชาชน การกระทำที่สุ่มเสี่ยงต่อชีวิต ร่างกาย การไร้อิสรภาพ เขายอมสละได้ เพื่อพรุ่งนี้ที่ดีกว่า (เขาหวังว่า การต่อสู้จะทำให้ประชาชน ได้รับการปฏิบัติที่เป็นธรรมยิ่งขึ้นในอนาคต) ไม่มีใครเปลี่ยน หลักการ ที่ยึดมั่นนี้ได้ เขาจะไม่ยินยอมโอนอ่อนตาม ถ้าไม่มีเหตุผลสนับสนุนเพียงพอ จนฝ่ายตรงข้าม ไม่พอใจการดำเนินการในบางเรื่อง หาคนมาสังหาร ยุติบทบาทนักการเมืองผู้เสียสละไป
              ความกล้าหาญ มั่นใจในตัวเอง คุณสมบัติในข้อนี้ เทพเจ้ากวนอู และ มหาตมะ  คานธี มีให้เห็นอย่างเด่นชัด กวนอู เป็นนักรบ ต้องฝ่าคมหอกคมดาบชั่วชีวิต เป็นธรรมดาอยู่เอง หากไม่กล้าหาญ และ ไม่มั่นใจในฝีมือตนเอง ว่าดีพอที่จะเป็นนักรบ กวนอู คงต้องเลือกเส้นทางชีวิตไปในทางอื่น หรืออาจถูกฆ่าตาย ไปแต่แรกผาดโผนในยุทธจักรตั้งนานแล้ว คงไม่สามารถยืนหยัดต่อสู้ เอาชนะมาหลายสมรภูมิ จนชื่อเสียงขจรขจายเป็นที่รู้จักเช่นนี้ ส่วน มหาตมะ  คานธี ก็กล้าหาญมากเช่นกัน เพราะการต่อสู้ทางการเมือง ต้องขัดผลประโยชน์กับบุคคลหลายฝ่าย และ ฝ่ายที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง คือฝ่ายนักปกครอง ที่ไม่มีใครอยากตอแยด้วย แต่ มหาตมะ คานธี เข้าไปตอแยด้วยเต็ม ๆ ถูกข่มขู่ว่าจะทำร้าย จะฆ่าให้ตายสารพัด ถูกจับเข้าคุกหลายครั้ง ถ้าไม่กล้าหาญ และ ไม่มั่นใจในการกระทำของตนว่า ตนทำสิ่งที่ดีที่ถูกต้องจริงแล้ว ความกลัวอาจฉุดให้เขาล้มเลิกปณิธานการต่อสู้ เพื่อประโยชน์ของประชาชน ที่เคยยึดมั่นมาตลอดไปเลยก็เป็นได้ สำหรับ อัลเบิร์ต  ไอน์ไสตน์ ไม่มีเหตุการณ์ใดแสดงถึงความกล้าหาญ มั่นใจในตนเองมากนัก แต่ถ้าสังเกตให้ดี จะเห็นว่า หัวข้อวิชาการที่เขาศึกษา เป็นเรื่องเข้าใจยาก แปลกใหม่ ยังไม่เคยมีใครศึกษาค้นคว้ามาก่อน การที่เขากล้า เข้าไปศึกษาค้นคว้า แสดงว่าเขามีความกล้าหาญ สามารถเผชิญต่อความล้มเหลวได้เป็นอย่างดี และ การที่เขาศึกษาค้นคว้าวิชาคณิตศาสตร์ และ วิทยาศาสตร์อย่างต่อเนื่องจริงจัง แสดงว่าเขารู้ดี และ มั่นใจค่อนข้างสูงว่า เขาจะสามารถศึกษาวิชาดังกล่าว จนแตกฉานเชี่ยวชาญ นำมาเป็นพื้นฐานทางวิชาการ อันเป็นประโยชน์ในอนาคตได้ แล้วเขาก็ทำได้จริง ๆ รางวัลโนเบล เป็นสิ่งแสดงออกถึง ผลแห่งความสำเร็จของเขาได้เป็นอย่างดี
             มีความเสียสละสูง เทพเจ้ากวนอู เป็นนักรบ ยอมสละทั้งชีวิต และเลือดเนื้อเป็นชาติพลีแต่เบื้องต้น ที่ก้าวเท้าเข้าสู่ยุทธจักรนักรบแล้ว คนที่สละได้แม้กระทั่งชีวิต ถือได้ว่า เป็นการเสียสละขั้นสูงสุดของมนุษย์ทีเดียว ในส่วนของ อัลเบิร์ต  ไอน์ไสตน์ อาจไม่เห็นการเสียสละอันเด่นชัด แต่การทุ่มเทศึกษาวิชาการใหม่ ๆ อย่างเอาจริงเอาจัง จนประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด ก่อกำเนิดทฤษฎีอันเป็นประโยชน์มหาศาล กับมวลมนุษยชาติจนได้รับรางวัลโนเบล ไม่ใช่เรื่องง่าย และ สามารถทำสำเร็จได้ในเร็ววัน ต้องทุ่มเทร่างกายจิตใจ สติปัญญา ศึกษาค้นคว้าทดลอง ต่อเนื่องยาวนาน การจะบอกว่า อัลเบิร์ต ไอน์ไสตน์ ไม่เสียสละเพื่อมนุษยชาติคงไม่ใช่แล้วหละ สำหรับ มหาตมะ คานธี ค่อนข้างมีบทบาทนี้ เด่นชัดกว่าเพื่อน ต้องต่อสู้กับฝ่ายปกครอง ที่ในยุคนั้นมีทั้งกำลังคน ทรัพย์ และอาวุธจำนวนมาก ผู้ถูกปกครองทั่วไป ส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ในสิทธิของตนที่พึงมีตามกฎหมาย ไม่รู้วิธีการที่จะต่อสู้เพื่อตนเอง และ พวกพ้อง ฝ่ายปกครองจึงฉวยโอกาส ปกครองด้วยการกดขี่ข่มเหงอย่างไม่เป็นธรรม คนทั่วไปประเมินฝ่ายปกครองว่า เป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่ควรต่อกรด้วย เพราะฝ่ายปกครองมีพวกมาก มีกำลังทรัพย์ และอาวุธพร้อม การจะต่อสู้เพื่อเอาชนะเป็นไปได้ยาก โอกาสถูกทำร้าย หรือตายฟรี เกิดได้ทุกเมื่อ แต่ มหาตมะ คานธี หาคิดเช่นนั้นไม่ เขาไม่เคยกลัว จะถูกข่มขู่ หรือ ถูกจำคุกหลายครั้งหลายหน ก็ยังคงสู้ต่อจนวันสุดท้ายของชีวิต มหาตมะ คานธี สละชีวิตตนเพื่อชีวิตพรุ่งนี้ที่ดีขึ้น ของชาวบ้าน นับเป็นตัวอย่างอันน่าตื้นตัน และควรค่าแก่การเคารพนับถืออย่างยิ่ง
             รู้จักตัวตนของตัวเอง (การรู้จักตัวตนของตัวเองนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย คนบางคน เกิดมาจนจะแก่ตาย ยังไม่รู้จักตัวตนของตัวเองว่า ตนสนใจ ชอบ ถนัด หรือมี พรสวรรค์ ด้านไหน (พรสวรรค์ คือ ความสามารถพิเศษ ติดตัวมนุษย์คนหนึ่ง ๆ มาแต่แรก ส่วนใหญ่หนึ่งคน จะมีพรสวรรค์เด่นไปทางใดทางหนึ่ง เช่น เล่นกีฬาเก่ง คำนวณเลขเร็ว ถูกต้อง เรียนหนังสือเก่ง ฯลฯ ไม่ค่อยมีที่เก่งหลายอย่างในคนคนเดียว คนมีพรสวรรค์ส่วนใหญ่ จะพบความสามารถพิเศษที่ตนมีด้วยตัวเอง หรือ ส่อแววให้เห็นตั้งแต่เป็นเด็ก คนมีพรสวรรค์ด้านไหน จะใช้เวลาศึกษาเรียนรู้ ฝึกฝนตนเอง ในด้านนั้นด้วยเวลาไม่นานก็เก่ง คนไม่มีพรสวรรค์ ใช้เวลานานกว่ามาก มีความเข้าใจผิดกันอย่างมากว่า ทุกสิ่งสามารถฝึกฝนให้เก่งได้ ถ้าคุณมีความพยายาม ผมบอกได้เลยว่า ใช่ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดผมเล่นกีฬาได้ดีหลายอย่าง ตีกอล์ฟ แทงสนุ๊ก ตีแบด ฯลฯ แต่ขีดขั้นความสามารถของผม หากมีการให้คะแนนเต็ม 10 ของผมจะอยู่ในเกณฑ์ 6 - 7 ขึ้นอยู่กับว่า แต่ละวัน จะเล่นดีหรือไม่ เล่นดี ก็อยู่ในเกณฑ์คะแนน 7 เล่นไม่ดี ก็อยู่ที่คะแนน 6 หากจะถามว่า ถ้าผมพยายามฝึกฝนกีฬาต่าง ๆ เหล่านี้อย่างหนัก ฝึกแบบนักกีฬาจริง ๆ เลย วันหนึ่ง ๆ ซ้อมแต่กีฬา ซ้อมครั้งละหลาย ๆ ชั่วโมง ผมจะพัฒนาการเล่น ได้ดีขึ้นกว่านี้มั้ย ผมตอบได้เลยว่า ดีขึ้น แต่ก็อาจจะเพียงนิดหน่อย ผลที่ได้ อาจไม่คุ้มกับความพยายามที่ลงไป ผมเคยลองแล้ว เวลาผมคลั่งไคล้กีฬาอะไร ผมจะมุ่งมั่นทุ่มเทจริงจังมาก ช่วง สตีฟ เดวิส ,สตีเฟน เฮนดรี และ ต๋อง ศิษย์ฉ่อย แข่งขันกันบ่อย ๆ ในบ้านเรา ผมก็คือคนหนึ่ง ที่อยากจะเก่งสนุ๊กกับเขามั่ง ฝึกแทงเป็นวัน ๆ ฝีมือก็ไปไม่ถึงไหน พอมาหัดตีกอล์ฟ เห็น ไทเกอร์ วู๊ด โปรดัง ประสบความสำเร็จ คว้าแชมป์นั่นแชมป์นี่ ก็เอามั่งหละ ฝึกซ้อมน่าดู ก็ไม่เห็นเก่งขึ้นกว่าเดิมซักเท่าไหร่ จนชักรำคาญ เล่นไปก็ไปไม่ถึงไหน บางวันดี บางวันไม่ดี เลยเลิกเล่นไปเลย ปัจจุบันไม้กอล์ฟไม่ได้โชว์วงสวิงมานานแล้ว (อีกสาเหตุที่เลิกเล่น คือ ตีกอล์ฟใช้เวลาในการเล่นนานเป็นวัน ช่วงหลัง ไม่อยากเจียดเวลานาน ๆ มาเล่น หันไปออกกำลังด้วยวิธีอื่นที่ใช้เวลาน้อยกว่า (ปั่นจักรยาน)) พอมาเรื่องตีแบด ผมเก่งในโรงเรียนของผม (ตอนนั้นเป็นปี 2524 - 2525 ผมอายุประมาณ 14 - 15 ปี ผมเรียนที่ โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยศิลปากรนครปฐม เป็นโรงเรียนที่ไม่เน้นด้านกีฬา จำนวนนักเรียนน้อย หาคนเก่งกีฬายาก ปัจจุบันเปลี่ยนไปหรือยังไม่ทราบ ไม่ได้กลับไปเยี่ยมโรงเรียนนานแล้ว) อาจารย์ก็เลย อยากให้ไปลองแข่ง กีฬานักเรียน จังหวัดนครปฐม ก่อนไปก็ซ้อมเหน็ดเหนื่อยพอสมควร พอแข่งกับเค้า ผมแพ้แต้มศูนย์เลย (แหม ไม่ไว้หน้ากันเลยนะ) ไม่มีโอกาสสู้แม้แต่นิดเดียว โยกผมซ้ายขวาหน้าหลัง เหนื่อยลิ้นห้อยไม่มีทางสู้ ถ้าเป็นนักมวย เขาโยนผ้ากันตั้งแต่หมัดแรกแล้ว ก็ดีไปอย่าง ตั้งแต่นั้นมา ผมไม่เคยต้องเปลืองสมองคิดเลยว่า จะซื้อไม้แบด หรือลูกแบดมาตียี่ห้ออะไรดี ที่พูดมาทั้งหมด ถ้าคุณยังไม่เชื่ออีก คิดว่าการฝึกฝน น่าจะทำให้ฝีมือคุณดีขึ้นดีขึ้นจนถึงแชมป์โลก คุณลองทำแบบผมเถอะ ฝึกด้วยตัวเองอย่างมุ่งมั่นจริงจัง หรือ หากมีกำลังพอ ให้คุณจ้างโค้ชระดับชาติ หรือ ระดับโลกมาสอนคุณ คุณจะเก่งเพิ่มขึ้นได้ก็อีกเพียงนิดหน่อย พอถึงจุดหนึ่ง มันจะตัน ไม่สามารถพัฒนาขึ้นไปได้อีก แม้เพียงนิดเดียว แล้วคุณจะเห็นด้วยกับผมว่า ไม่มีทางที่คนไม่มีพรสวรรค์ จะพยายามอย่างหนัก ฝึกฝนอย่างจริงจัง แล้วฝีมือจะขึ้นชั้น ไปเทียบเท่ากับนักกีฬาดัง ๆ ได้เลย (นักกีฬาดัง ๆ มี พรสวรรค์ ทุกคน) และสำหรับคนมีพรสวรรค์ คุณอย่าคิดว่า เค้าจะมีพรสวรรค์ เท่ากันหมดทุกคน บางคนมีมาก บางคนอาจมีน้อย วงการกีฬา จึงจัดกลุ่มผู้เล่นที่มีพรสวรรค์ หรือ ขีดความสามารถใกล้เคียงกัน ได้เล่นด้วยกัน เพื่อให้เกิดความสนุกคู่คี่สูสี (การเล่นกีฬา หากฝีมือห่างกันมาก ๆ จะดูไม่สนุก) อย่างเช่นในวงการฟุตบอล มีการแบ่งกลุ่มผู้เล่นเป็นดิวิชั่น 1 ดิวิชั่น 2 ไล่ต่อลงไปเรื่อย ๆ ในวงการกอล์ฟ แบ่งผู้เล่นเป็น ไฟลท์ A ไฟลท์ B ไล่ ลงไปเรื่อย ๆ เช่นกัน คนที่เล่นอยู่ในกลุ่มไหน กลุ่มนั้นก็จะมีคนมีพรสวรรค์ หรือความสามารถพอ ๆ กัน คนมีพรสวรรค์น้อยต้องเล่นอยู่ในกลุ่มที่ฝีมือต่ำ พวกมีพรสวรรค์มากหน่อยก็ขึ้นชั้นถัดไป คนมีพรสวรรค์สูงสุด ก็ไปแข่งกันในระดับโลก คุณเห็นมั้ยว่า นักกีฬาระดับโลก กลุ่มที่มีพรสวรรค์ หรือ ความสามารถสูงสุด ไม่ว่ากีฬาอะไร นักกีฬาจะแข่งกันหน้าเดิม ๆ ทั้งนั้น (นานทีจะมีคนขึ้นชั้นมาต่อกรด้วย ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกดาวรุ่ง ดาวรุ่งที่พุ่งขึ้นมา หากฝีมือไม่ดีจริงอย่างสม่ำเสมอ อาจต้องตกชั้นกลับไปที่เดิม) เหตุที่พวกเขาแข่งกันหน้าเดิม ๆ ก็เพราะพวกเค้ามี พรสวรรค์ ระดับใกล้เคียงกัน ต่อกรกันได้เบียดเสียดสูสี คนมีพรสวรรค์ระดับใกล้เคียงกันเท่านั้น ที่สามารถฝึกฝนแล้วต่อสู้กันได้อย่างสูสี ใครฝึกฝนมากกว่า จริงจังกว่า มีเทคนิคมากกว่า ก็คว้าชัยชนะไป คนไม่มีพรสวรรค์ หรือพรสวรรค์ระดับต่ำกว่า อย่าคิดไปสู้กับคนที่มีพรสวรรค์ระดับสูงกว่าเลย คุณจะต้องแพ้อย่างหมดรูป (ดูตัวอย่างที่ผมตีแบด ผมเก่งระดับโรงเรียน พอไปสู้กับนักกีฬาระดับจังหวัด ถูกต้อนเหมือนเด็กหัดใหม่เลย) ความพยายามที่ทุ่มเทไป จะสูญเปล่า ทีนี้คุณลองดูซิว่า คุณเจอพรสวรรค์ในตัวหรือยัง หากคุณยังไม่เจอ หรือ ไม่รู้ว่า คุณมีพรสวรรค์ด้านไหน ผมแนะนำให้คุณลองทำ ทำอะไรก็ได้ เล่นกีฬาให้เยอะ ตามแต่จังหวะ และ โอกาสอำนวย คุณไม่มีทางรู้เลยว่า คุณอาจมี พรสวรรค์ ในสิ่งที่คุณไม่เคยลองทำมาก่อน ถ้าพรสวรรค์ของคุณมันเป็นความสามารถพิเศษ ที่ไม่ปรากฏชัด คุณอาจต้องรอจนมันส่งสัญญาน บอกออกมา ดังนั้น เมื่อคุณรู้ว่าคุณมีพรสวรรค์ด้านไหน คุณจะสามารถทำงานนั้น ๆ ง่ายกว่าคนอื่น คุณศึกษาเรียนรู้ ฝึกฝนนิดหน่อยคุณก็นำหน้าคนอื่นแล้ว โอกาสจะประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ก็ไม่ยาก)) รู้ว่าตนมีความสนใจ ชอบ ถนัด มีพรสวรรค์ทางด้านไหน ให้มุ่งมั่นขวนขวายทำไปทางด้านนั้น การทำสิ่งที่ตนสนใจ ชอบ ถนัด หรือมีพรสวรรค์ ระหว่างทำสิ่งนั้น ผู้ทำจะมีความกระตือรือร้น มุ่งมั่นทำให้ดีที่สุด ผลที่ได้รับย่อม ดีกว่าการซังกะตาย ฝืนใจทำสิ่งที่ไม่สนใจ ไม่ชอบ ไม่ถนัด หรือ ไม่มีพรสวรรค์ ยิ่งเราได้ศึกษาพัฒนางานด้านที่สนใจ ชอบ ถนัด หรือ มีพรสวรรค์นั้นอย่างจริงจัง ผลที่ได้ ก็ไม่แปลกหรอก ที่มันจะสำเร็จอย่างมาก มนุษย์ตัวอย่างทั้ง 3 ท่าน รู้จักตัวตนของตัวเองดี มุ่งมั่นทุ่มเททำงานสิ่งที่ตนสนใจ ชอบ ถนัด หรือมีพรสวรรค์อย่างจริงจังเรื่อยมา ไม่เคยล้มเลิก หรือเบนความสนใจไปทางอื่น ผลงานที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงทยอยประสบความสำเร็จ เป็นที่รู้จักขึ้นมา หากเราวัดความสำเร็จ กันที่เป้าหมายสุดท้ายของงาน กวนอู กับ มหาตมะ คานธี ไม่ถือเป็นผู้ทำงานสำเร็จตามเป้าหมาย เพราะถูกฆ่าตายเสียก่อนขณะเป้าหมายยังไม่สำเร็จ แต่ทำไมชื่อเสียงของทั้งสองท่าน ไม่ถูกบั่นทอน กลับคงความยิ่งใหญ่มาอย่างยาวนาน ก็เพราะว่า ทั้งสองท่านมีผลงาน หรือวีรกรรม ที่ทยอยทำสำเร็จ ผ่านมาระหว่างการดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายนั่นเอง เป็นตัวสร้างให้ชื่อเสียงของท่านทั้งสองยิ่งใหญ่ ทางด้าน อัลเบิร์ต  ไอน์ไสตน์ รู้จักตนเองมานานแล้วตั้งแต่วัยเด็ก เขารู้อยู่แก่ใจว่า เขาไม่เคยสนใจ ไม่ชอบศึกษาวิชาภาคปกติ และ มีปัญหากับบางวิชาอย่างมาก เมื่อต้องเรียนด้วยถูกบังคับ ทำให้เรียนไม่ได้ดี ถึงขนาดต้องลาออกจากโรงเรียนกลางคัน (ดูสิครับ คนมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ก็ยังเรียนบางวิชาตกได้เหมือนกัน เหมือนกับลิงตกต้นไม้เลย) แต่ อัลเบิร์ต ไอน์ไสตน์ ชอบเรียนวิชาคณิตศาสตร์ กับวิทยาศาสตร์อย่างมาก พยายามศึกษาค้นคว้า ต่อเนื่องยาวนานจนประสบความสำเร็จ มีความเชี่ยวชาญ แตกฉาน บัญญัติทฤษฎีทางฟิสิกส์ใหม่ ๆ มาใช้เป็นประโยชน์กับวงการฟิสิกส์ หรือ วิทยาศาสตร์ในยุคต่อมามากมาย
          การยืนหยัดได้ด้วยตนเอง ไม่พึ่งพิงอาศัยคนอื่น คุณสมบัติข้อนี้สำคัญมาก มนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 3 ท่าน ล้วนยืนหยัดได้ด้วยตนเองเพียงลำพัง ไม่พึ่งพิงอาศัยคนอื่นโดยไม่จำเป็น คนที่ไม่สามารถยืนหยัดด้วยตัวเอง ต้องพึ่งพิงอาศัยคนอื่น ความอยู่รอดของตัวเอง ต้องขึ้นอยู่กับคนที่ให้ความพึ่งพิงนั้น ถ้าคนที่ให้พึ่งพิงล้มหายตายจาก ผู้ที่ต้องพึ่งพิงเขาคงรอดได้ยาก และ ในอีกมุมหนึ่ง คนที่ต้องพึ่งพิงอาศัยคนอื่น จะขาดความเคารพนับถือ ภาคภูมิใจในตัวเอง ต้องยอมโอนอ่อน ตามผู้ที่ให้พึ่งพิง เพราะกลัวว่า หากเขาไม่ช่วยเหลือให้พึ่งพิงแล้ว ตัวจะอยู่ไม่ได้ การจะคิดอยู่อย่างยิ่งใหญ่ เลิกคิดไปได้เลย ฉะนั้นคนที่ยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง โดยไม่พึ่งพิงใครเท่านั้น ที่จะสามารถมีชีวิตอยู่รอด ในโลกอันโหดร้าย (ที่กล่าวมาแล้ว ผู้แข็งแรงเท่านั้นที่จะอยู่รอด) เมื่อมนุษย์สามารถอยู่รอดได้ด้วยตัวเอง การพัฒนาตัวเองให้อยู่ได้อย่างยิ่งใหญ่ (เหนือระดับกว่าการอยู่เพียงแค่เอาตัวให้รอด) มีความรัก เคารพนับถือ ให้เกียรติ ภาคภูมิใจในตัวเองจริง ๆ จึงจะเกิดขึ้นได้


การใช้ชีวิต ของมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 3 ท่าน

          ตามที่กล่าวมาแล้ว มนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 3 ท่าน มีคุณสมบัติเหมาะสม ต่อการทำงานด้านต่าง ๆ ที่เลือกเอง เทพเจ้ากวนอู เหมาะอย่างยิ่ง กับการเป็นนักรบ อัลเบิร์ต ไอน์ไสตน์ ก็เหมาะกับการเป็นนักวิชาการ อัจฉริยะ ผู้ทุ่มเท และ มหาตมะ คานธี ก็สมกับเป็นนักการเมืองผู้เสียสละ เมื่อทั้ง 3 ท่าน รู้จักตัวเองดี ได้ทำงานที่เหมาะกับความสนใจ ความชอบ ความถนัด และ พรสวรรค์ งานก็ดำเนินไปด้วยดี ยิ่งทุกท่านมี ความกล้าหาญ เสียสละ อดทน มุ่งมั่นทุ่มเทการทำงานของตน อย่างต่อเนื่องจริงจัง ไม่หันเห ย่อท้อ เปลี่ยนแปลง หรือ ล้มเลิกไปทางไหน เมื่อเกิดปัญหาอุปสรรค ก็ค่อย ๆ แก้จนผ่านพ้นไปได้ ณ วันหนึ่ง ผลสำเร็จของงานที่ทำมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ก็จะส่งผลสำเร็จให้เห็นเป็นประจักษ์ ได้รับความยกย่อง เคารพนับถืออย่างยิ่งใหญ่ไปทั่ว สำหรับในตอนที่ 3 ที่จะนำเสนอต่อไป เป็นตอนที่อธิบายถึง รายละเอียด และ วิธีการที่จะดำเนินการตาม หลักการอยู่อย่างยิ่งใหญ่ ตามความหมายเฉพาะของผม เป็นวิธีการที่ ผมยืนยันว่าง่าย สามารถทำได้ทุกคนอย่างแน่นอน

          จบ หลักการ อยู่อย่างยิ่งใหญ่ เคล็ดลับ การดำเนินชีวิตอย่างเต็มภาคภูมิ ตอนที่ 2 โปรดติดตามตอนที่ 3 ซึ่งเป็นตอนจบได้ต่อไปในเร็ววันนี้



 











ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สวัสดีครับทุกท่าน กรณีที่ท่านติดตามชมบล็อกของผมแล้วต้องการแสดงความคิดเห็น ผมเปิดกว้างสำหรับทุกท่าน ขอความกรุณาแค่แสดงความคิดเห็นให้ตรงกับเนื้อหาของผม กรณีจะแสดงความคิดเห็นที่ไร้สาระ ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาเลย ได้โปรดอย่าทำเลยครับ ผมขี้เกียจลบ ขอบคุณมากครับ

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น