วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ปรัชญาชีวิตจริงจากความผิดพลาดของประสบการณ์ชีวิตในอดีต บทวิเคราะห์ ตอนที่ 1



          จากปรัชญาชีวิตจริงจากความผิดพลาดของประสบการณ์ชีวิตในอดีต ตอนที่ 1 - 5 ที่ผ่านมา คุณคงพอจะเห็นแล้วว่า ผมซึ่งเป็นตัวละครเอกนั้น มีพฤติกรรมที่เป็นไปในทางที่โลดโผนโจนทะยานเหลือเกิน ซึ่งถ้ามันเป็นการโลดโผนโจนทะยานในสิ่งปรกติธรรมดามันก็ยังพอทำเนา แต่ความโลดโผนโจนทะยานของผมเนี่ยสิ มันไม่ใช่เป็นไปอย่างธรรมดาเลย การกระทำของผมหลายสิ่งหลายอย่าง มันเป็นความผิดถึงขนาดฝ่าฝืนกฎหมายที่มีโทษทางอาญาถึงจำคุกได้เลยทีเดียว เรามาลองดูกันซิว่า ทำไม? ผมซึ่งมีครอบครัวที่อบอุ่น มีการอบรมสั่งสอนอย่างใกล้ชิดทั้งจากพ่อแม่ ครูอาจารย์ และศาสนาจารย์ แล้วผมยังมีรพฤติกรรมผิด ๆ ริเป็นขโมยขโจร ลักทรัพย์ชาวบ้านเค้า 3 แห่ง เคยมีปืนเถื่อน
ไว้ในครอบครองถึง 4 กระบอก ทำระเบิดขวด และเล่นการพนันหลายอย่าง มันเป็นไปได้ยังไง เหตุใดผมจึงทำผิดได้มากมายขนาดนั้น ถ้าเกิดคุณต้องการจะปกป้องลูกหลาน ไม่ให้กระทำความผิดลักษณะคล้าย ๆ กันกับผม มีแนวทางไหนบ้างที่จะใช้ป้องกันเด็ก หรือเยาวชนรุ่นหลัง ไม่ให้บังเอิญหลงทำความผิดอย่างผม หรือคล้าย ๆ กัน แล้วถ้าเกิดเด็ก หรือเยาวชนบังเอิญหลงผิดไปแล้ว ทำยังไงถึงจะดึงเขากลับมาในแนวทางที่เราต้องการได้
          ความผิดพลาดของผมน่าจะมีสาเหตุมาจากสิ่งใด
          1. มีความคิดที่ผิด ใช่สาเหตุที่ทำให้ผมทำความผิดใช่หรือไม่
          คนก่อนจะทำอะไรต้องคิดก่อน ถ้าไม่คิดก่อนบางทีเราอาจไม่ถือเป็นการกระทำ ยิ่งตามกฎหมายยิ่งถือเอาการกระทำที่คิดแล้วเท่านั้น เป็นหลักพิจารณาว่าการกระทำนั้น ๆ ผิด หรือไม่ผิด การกระทำบางอย่างที่ไม่ได้ผ่านการคิด เค้าไม่ถือว่าผิดกฎหมาย เช่น นอนละเมอเอามือไปฟาดปากคนอื่น มีคนเอามือมาแหย่เอวต๊กกะใจเหวี่ยงมือไปทำแก้วหล่นแตก ฯลฯ การกระทำทุกสิ่งที่หวังให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ว่าร้าย หรือดี ต้องผ่านการคิดทั้งนั้น การกระทำโดยไม่คิดไม่อาจที่จะไปหวังผลอะไรได้ หรือถ้าได้ก็อาจได้ผลไม่ดี หรือผิดเพี้ยนไป (การพูดไม่คิด หรือคิดไม่รอบคอบ ผลที่ได้อาจก่อศัตรูขึ้นโดยไม่ตั้งใจ เช่น กำลังนั่งคุยกันอยู่กับเพื่อน ๆ ที่มีคนอยู่รอบ ๆ สามารถฟังได้ยิน ขณะที่กำลังพูดมันส์ปากอยู่นั้น เกิดความคิดวูบขึ้นมาถึงคนภาคนึง (ภาคเหนือ, กลาง, อีสาน, ตก หรือ ใต้) ที่เคยมีปัญหากับตน เลยพูดเปรียบเปรยขึ้นมาว่า "ไอ้คนภาค...นี่ นิสัยมันห่วยแตกเหมือนกันหมดแหละ" คำพูดประโยคนี้คนพูดไม่ทันคิดว่า ตนพูดไปในขณะที่มีคนวงนอกสามารถฟังได้ยินอยู่ด้วย ไม่ได้พูดกันลำพัง เป็นการเผลอพูดออกไปอย่างไม่ทันระวัง แล้วก็พูดออกไปเสียงดังได้ยินกันทั่ว พอพูดเสร็จเงยหน้าดูไปทั่ว ๆ เห็นคนภาค... ที่เพิ่งว่าเค้าไปหยก ๆ นั่งเรียงหน้ากันสลอนจ้องมองมาอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน นึกขึ้นได้ อ้าว ฉิ...หายแล้วเรา เมื่อกี้เพิ่งด่ามันไป รีบทำเป็นลุกขึ้นทำทีมีธุระด่วน เดินหายไปจากที่ประชุมชนในบัดดล นี่ไงครับ ตัวอย่างของคนที่พูดไม่ทันคิด พอพูดเสร็จต้องมาคอยแก้ปัญหาทีหลัง หรือก่อศัตรูเพิ่มขึ้นพะเรอเกวียนโดยไม่ได้นัดหมาย คุณลองคิดดูซิว่า คนที่อยู่ในภาคที่คน ๆ นี้พูดถึง จะหันมาดูคนพูดทันทีเลยมั้ย แล้วเค้าจะหันมาดูแบบชอบ หรือไม่ชอบ ทุกท่านคงคิดออกนะครับ) การคิดจึงเป็นสิ่งสำคัญก่อนที่จะเริ่มกระทำนั่นเอง การจะทำอะไรก็ตาม ถ้าต้องการให้เกิดผลดี หรือไม่ดี ต้องเริ่มต้นจากการคิด ถ้าคิดได้ละเอียด รอบคอบ ถูกต้อง เป็นเหตุเป็นผล การทำตามกระบวนการ ขั้นตอน หรือวิธีการที่คิดไว้ดีแล้วย่อมจะง่าย ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะดี หรือได้ผลเป็นที่น่าพอใจ แต่ถ้าคิดไม่ละเอียด รอบคอบ ถูกต้อง ไม่เป็นเหตุเป็นผล การทำตามกระบวนการ ขั้นตอน หรือวิธีการที่คิดมาไม่ดีนักก็จะไม่ง่าย ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะออกมาไม่ดี หรือไม่เป็นที่น่าพอใจ
 
ให้คิดก่อนทำ อย่าทำก่อนแล้วค่อยคิด
ให้คิดก่อนทำ อย่าทำก่อนแล้วค่อยคิด
ต้องการดูรายละเอียดรูปภาพ ดูได้ที่ http://bit.ly/1hVFk82
          คนจะมีความสามารถในการคิด คิดได้ละเอียด รอบคอบ ถูกต้อง เป็นเหตุเป็นผล  มีที่มาจาก 2 ทาง ทางแรก ผมถือว่าได้มาจากโชคช่วยก็แล้วกัน คือ ได้มาตั้งแต่เกิด เกิดมาก็มีสมอง มีสติปัญญาดี มีความสามารถในการคิดได้โดยยังไม่ต้องไปรับการอบรมสั่งสอน ปรับแต่ง หรือพัฒนาอะไร คนที่เกิดมาแต่แรกก็เป็นแบบนี้แล้ว ก็คือคนพวกที่เราเรียกว่า คนหัวดีไง เค้าจะคิดอะไรได้ดี เรียนหนังสือหนังหาได้เก่ง ผลการเรียนโดดเด่น แตกต่างจากคนหัวไม่ดีอย่างฟ้ากับเหว และที่มาของการคิดได้อย่างละเอียด รอบคอบ ถูกต้อง เป็นเหตุเป็นผล อีกทางหนึ่งก็คือ ได้มาจากการเรียนรู้ การศึกษาอบรม ประสบการณ์การทำงาน และการใช้ชีวิต คนเกิดมาต้องเจริญเติบโต (การเจริญเติบโตทางความคิด สติปัญญา จะพัฒนาดีขึ้นควบคู่กันไปตามวัย และประสบการณ์ที่มากขึ้น บางคนโตแต่ตัว ความคิดสติปัญญาหยุดนิ่ง ไม่โตตามไปด้วย อย่างเช่นคนปัญญาอ่อน คนวิกลจริต ฯลฯ ไม่ถือว่าเจริญเติบโตขึ้น) เรียนรู้เรื่องชีวิตเพื่ออยู่ให้รอด  กระบวนการเจริญเติบโต การเรียนรู้ การศึกษาอบรม ประสบการณ์การทำงาน และการใช้ชีวิต จะทำให้เด็กคนหนึ่งเจริญเติบโตขึ้นมาอย่างมีความรู้ ทักษะ ความชำนาญงาน หรือได้สิ่งต่าง ๆ ตามหนทางที่เด็กคนนั้นได้สัมผัสเรียนรู้ การที่เด็กได้เรียนรู้ ทดลองทำ ทำซ้ำซึ่งสิ่งใด ถ้าคน ๆ นั้น เป็นคนปรกติ ไม่บกพร่องทางสมอง หรือสติปัญญา คน ๆ นั้น ก็จะพัฒนาความคิดได้อย่างละเอียด รอบคอบ ถูกต้อง และเป็นเหตุเป็นผล
          จำเป็นมั้ย ที่คนหัวดีจะต้องคิดได้ละเอียด รอบคอบ ถูกต้อง และเป็นเหตุเป็นผลกว่าคนหัวไม่ดี ผมขอบอกให้เลยว่า ไม่แน่เสมอไป เพราะที่มาของการคิดอย่างละเอียด รอบคอบ ถูกต้อง เป็นเหตุเป็นผล ไม่ได้มาจากการมีสมอง หรือสติปัญญาที่ดีอย่างเดียวเท่านั้น มันมีที่มาจากการเรียนรู้ การศึกษาอบรม ประสบการณ์การทำงาน และการใช้ชีวิตด้วย ถ้าเกิดคนหัวดีสนใจเรียนรู้เฉพาะด้านวิชาการ เพื่อปูทางไปสู่การมีคุณวุฒิ คุณสมบัติ ในการประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเพียงอย่างเดียว (คนหัวดีเค้าเรียนหนังสือดี รู้เรื่อง อาจารย์พูดอะไรมาเค้ารู้หมด เค้าก็เลยขยัน สนใจเรียน ต่างกับคนหัวไม่ดี อาจารย์เริ่มพูดคำแรกก็ไม่รู้เรื่องแล้ว ยิ่งฟังไปฟังไปยิ่งออกทะเล ไม่ได้ความรู้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ใครถามก็บ๊อแบ๊ ๆ พาลเบื่อเรียน กลายเป็นคนไม่เอาแม้กระทั่งขี้เถ้าไปเลย) โดยไม่ได้ใส่ใจเรียนรู้สิ่งจำเป็นด้านอื่น ๆ ที่มีความสำคัญสำหรับชีวิตอย่างมาก อาจเทียบเท่าความรู้ทางวิชาการที่เอามาประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเลยทีเดียว สิ่งจำเป็นเหล่านั้นก็คือ ความรู้ที่จะเอาชีวิตให้รอด (เรื่องนี้ไม่มีในหลักสูตรการเรียนการสอน การได้พบ ได้เห็น ได้พูดคุย ได้ยินได้ฟัง หรือได้อ่านจริง ๆ แล้วเท่านั้น ถึงจะสอนให้เจ้าตัวรู้ว่า จะต้องระมัดระวัง หลบหลีกหลีกหนีภัยต่าง ๆ ทั้งจากคน ธรรมชาติ จนอยู่รอดตลอดปลอดภัยไปได้) เมื่อเค้าเรียนรู้ทางวิชาการอย่างเดียว ไม่ใส่ใจเรื่องอื่นที่มีความจำเป็นกับชีวิตอย่างนี้ ความคิดที่จะต้องคิดเกี่ยวกับเรื่องการใช้ชีวิตให้ละเอียด รอบคอบ ถูกต้อง เป็นเหตุเป็นผลอาจไม่ดีพอ เพราะเค้าไม่ใส่ใจเรียนรู้ ทดลองทำ หรือทำซ้ำ ความคิดที่ออกมาจากคนที่ขาดการเรียนรู้ และประสบการณ์อย่างครบถ้วนรอบด้านอย่างนี้ อาจทำให้เค้าคิดผิด คิดตื้น ๆ คิดไปว่า การเรียนต้องเรียนให้ได้เลขตัวเดียวเท่านั้น ไม่งั้นถือว่าล้มเหลว ใช้ไม่ได้ หรืออาจคิดไปว่า คนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต มีอนาคตที่ดี ต้องเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยมีชื่อของรัฐได้เท่านั้น ถ้าต้องไปเรียนสถาบันอื่นถือว่า ชีวิตล้มเหลว ล้มไม่เป็นท่า ฯลฯ ผมไม่โต้แย้งความคิดอยากเหล่านี้หรอกครับ ความคิดอยากมีอยากเป็นอะไรนี่มีได้ไม่ผิดอะไร อยากให้ทุกคนคิดแล้วฝันให้มากขึ้นไปซะอีก แต่ความคิดฝัน ความหวังที่มี เมื่อเราต้องลงมือทำ เพื่อมุ่งไปให้ถึงสิ่งที่คิดที่หวัง มันต้องมีส่วนประกอบหลายอย่าง มันต้องมีพร้อมในเรื่องความรู้ความสามารถ บางจุดที่เราจะไปอาจต้องใช้ความรู้ สติปัญญาอย่างเดียว บางจุดหมาย อาจต้องพร้อมทั้งทางด้านร่างกายอีกด้วย ถ้าคุณมีคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถไม่ได้เป็นไปตามเกณฑ์ คุณก็จะต้องผิดหวัง ผลที่ได้ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ถ้าคุณผ่านการเรียนรู้ชีวิต พัฒนาการคิดได้ละเอียด รอบคอบ ถูกต้อง เป็นเหตุเป็นผล คุณก็จะมาวิเคราะห์หาได้ว่า ทำไมเราถึงไปในจุดที่หวัง อยากมีอยากเป็นไม่ได้ เรามีสมอง สติปัญญาไม่ดีหรือไง ขี้เกียจเรียน ขี้เกียจทำการบ้านทำแบบฝึกหัดหรือไง ผลลัพธ์ที่ออกมา เลยได้ผลที่ไม่น่าพอใจ จากนั้นก็มาหาวิธีการแก้ไขโดยคิดว่า คนทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดย่อมต้องมีผิดพลาด คนที่ไม่เคยทำอะไรผิดพลาดเลย แสดงว่าคน ๆ นั้น ไม่เคยทำอะไรเลย ทีนี้เมื่อทำผิดพลาดไป ย่อมต้องพยายามหาทางแก้ไข หรือทางออกให้เหมาะสม เป็นหลักคิดที่ถูกต้องเป็นเหตุเป็นผลกัน แต่บางคนที่ขาดแคลนความรู้กับประสบการณ์การใช้ชีวิต อาจคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแตกต่างกันออกไป คิดว่าการเรียนไม่ได้อันดับต้น ๆ หรือการเอนทรานซ์ไม่ได้ ถือเป็นความอัปยศอดสูของตระกูล เป็นเรื่องย่ำแย่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา พ่อแม่ผู้ปกครองจะเสียหน้ามาก หากลูกจะต้องไปเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเปิด หรือมหาวิทยาลัยเอกชน (ยุคที่ผมสอบเอนทรานซ์ เด็กนักเรียนอยากเข้าเรียนมหาวิทยาลัยมีชื่อของรัฐต่าง ๆ ไม่อยากเรียนมหาวิทยาลัยเปิด หรือเอกชน ไม่ทราบเดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปรึยัง) ไม่อาจบากหน้ารอการเยาะเย้ยถากถางให้ได้รับความอดสู ตัดช่องน้อยหนีจากโลกมนุษย์ไปตามลำพัง อย่างที่เราเคยพบเห็นเป็นข่าวกันมาบ้างแล้วว่า มีเด็กนักเรียนที่ผลการเรียนดี เติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่น แต่พอผลการเรียนไม่เป็นไปตามที่ตน หรือพ่อแม่ผู้ปกครองคาดหวังเท่านั้นแหละ ตัดสินใจกระโดดตึก กินยาพิษ ฯลฯ จบละครชีวิตไปอย่างน่าเศร้าใจ ถ้าเราไม่อยากพบกับเหตุการณ์น่าเศร้าเช่นนี้ ขอให้ใส่ใจกับเด็กที่อยู่ในปกครอง ให้สนใจทั้งเรื่องวิชาการ และการใช้ชีวิตให้พอ ๆ กัน จะทำให้เค้าพัฒนาความคิดสติปัญญาได้ดีขึ้น มีความคิดละเอียด รอบคอบ ถูกต้อง และเป็นเหตุเป็นผล ถ้าเค้าคิดได้อย่างนี้ เราก็ไม่ต้องไปกลัวว่า เค้าจะทำอะไรอย่างขาดเหตุผล จนเกิดผลร้ายกับตัวเอง หรือคนอื่นอีกต่อไป
          สำหรับผม ผมไม่ใช่คนทั้ง 2 แบบ ตามที่กล่าวมา ผมเป็นคนกลาง ๆ ระหว่าง 2 กลุ่ม สมอง หรือสติปํญญาของผมไม่ได้ดีเด่อะไรนัก ค่อนไปในระดับกลาง ๆ การพัฒนาเอาการเรียนรู้ ประสบการณ์ชีวิตมาใช้เป็นวัตถุดิบในการคิดให้ละเอียด รอบคอบ ถูกต้อง มีเหตุมีผล ไม่ดีไม่เลว อยู่ในระดับกลางเช่นกัน ในวัยเด็กความคิดแบบเด็ก ๆ ไม่ละเอียดรอบคอบ ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นเหตุเป็นผลมีค่อนข้างมาก เลยแสวงหากิจกรรมทำเป็นว่าเล่น ถ้าให้ผมวิเคราะห์วิจารณ์การกระทำของตัวเองตอนเป็นเด็ก ที่ขยันก่อแต่เรื่อง ผมพูดได้ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มทำเลยว่า "แค่คิดก็ผิดแล้ว" การไปลักตังค์ลักของเค้าไม่ได้เข้าท่าเลย รู้ทั้งรู้ว่าผิด คนที่ถูกลักเดือดร้อน ไม่ชอบแน่ ก็ยังไปลักเค้า คิดเพียงอยากได้ของคนอื่นเค้าโดยไม่ต้องเสียอะไร ส่วนตังค์ของตัวเองเก็บไว้ซื้ออย่างอื่น แล้วก็คิดว่า การทำผิดของตัว ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น หรือตามได้ไล่ทันแน่ การทำระเบิดขวด การมีปืนเถื่อนไว้ในครอบครองก็เหมือนกัน รู้ทั้งรู้อยู่ว่าผิดก็ยังทำ คิดเพียงอยากมีปืนไว้ยิงเล่น ไม่คิดไปอีกซักนิดว่า ถ้าถูกจับได้ใครจะเดือดร้อน (ถึงขนาดป่าป๊าเคยเอาปืนกระบอกแรก ขนาด .38 นิ้ว ไปทิ้งน้ำกระบอกนึง (ตามวิสัยคนโตที่เกรงกลัวกฎหมาย มีปืนเถื่อนอยู่ในบ้านไม่ใช่เรื่องดี เกิดถูกจับเดือดร้อนกันหมดแน่) ยังกล้าซื้อกระบอกที่ 2 ขนาด. 45 นิ้ว มาอีก แสดงได้ว่า ไม่ได้มีความเกรงกลัวอะไรเลย) และอีกเรื่อง ที่ผมทำผิดขณะโตแล้ว (อันนี้โตแต่ตัว แต่สมองสติปัญญาเป็นเด็ก ไม่ได้โตตามตัวไปด้วย) คือ การเล่นการพนัน แม้มีประสบการณ์เล่นเสียแล้วเสียอีก พรรคพวกเพื่อนฝูงเสียแล้วเสียอีก มีข่าวคนฆ่าตัวตายเพราะเล่นการพนัน ฯลฯ ก็ยังคงหลงเข้าไปคลุกคลีไม่ยอมถอยห่าง (น่าอนาถคนเล่นการพนันมั้ย คนพวกนี้จะคิดในแง่ดี แง่บวก คิดเข้าข้างตัวเองแบบไม่มองลมฟ้าอากาศ ขนาดเห็นคนล่มจมฉิบหายเพราะการพนันทั้งจากคนใกล้ และคนไกลกับตา ยังคิดว่า ไอ้คนที่เจ๊งนั่นมันไม่เจ๋งเท่าตัวเอง เล่นเมื่อไหร่ก็หมด เดี๋ยวจะเล่นรวยเพียงหนึ่งเดียวคนนี้ให้ดู คงฝืนเล่นกับมันแทบทุกอย่าง แล้วเป็นไง หมดตูดแล้วหมดตูดอีกเหมือนกันนั่นแหละ จะเห็นได้ว่า การเรียนรู้ ประสบการณ์ อาจเพิ่มเติมพัฒนาความคิดสติปัญญาให้ดีขึ้นได้ก็จริง แต่ก็ต้องแล้วแต่คุณสมบัติเฉพาะตัวของแต่ละคนเป็นสำคัญอีกว่า จะกลั่นกรองเอาความรู้ ทักษะ ความชำนาญจากสิ่งที่ตนได้เรียนรู้ ได้ประสบมามาใช้ มาคิดอย่างละเอียดรอบคอบ ถูกต้องหรือไม่ ตัวผมนี่ กว่าจะมีความคิดในแบบที่ครบถ้วน ถูกต้อง เป็นเหตุเป็นผล รู้ความร้ายกาจของการพนัน เลิกหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่า ซักวันจะมีกะตังค์จากการพนันต่างจากคนเล่นคนอื่น ๆ ก็ลงไปคลุกคลีเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในแวดวงการพนันของจริงอยู่นานโข หมดกะตุ้งกะตังค์ไปพอสมควร ถึงได้รู้ฤทธิ์อันร้ายกาจของมัน มาถึงปัจจุบัน ผมเลิกข้องแวะกับการพนันอย่างเด็ดขาด ไม่ต้องการตังค์ที่ได้มาด้วยวิธีนี้ ไม่อยากทำความลำบากให้กับตัวเองกับคนเล่นอื่นอีกต่อไป ทำไมเหรอครับ ก็ถ้าผมได้ตังค์คนที่เล่นด้วยกันกับผมก็เดือดร้อน ถ้าเกิดผมเสียพนันตัวผมเองก็เดือดร้อน ก่อความลำบากเดือดร้อนแก่กัน และกันไม่รู้จักจบจักสิ้น ผมเลิกแสวงหาความเดือดร้อนให้ตัวเองกับคนอื่นเด็ดขาดแล้ว ทุกวันนี้สบายใจมาก ไม่เดือดเนื้อร้อนใจกับการขาดงบประมาณค่าใช้จ่ายตั้งแต่ต้นเดือนเหมือนอย่างที่เคยเป็น ผมสามารถสรุปยืนยันในข้อนี้ได้อย่างชัดเจนว่า การคิดที่ผิด เป็นต้นเหตุให้ผมทำความผิดตามที่กล่าวมาทุกอย่าง
          2. ความไม่รู้ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ใช่สาเหตุที่ทำให้ผมทำผิดหรือไม่
          เด็กหรือเยาวชน มีความรู้น้อย อ่อนด้อยประสบการณ์ เพิ่งเกิดมาดูโลกได้เพียงไม่กี่ปี ทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิตล้วนเป็นเรื่องใหม่ทั้งสิ้น เมื่อสิ่งที่ผ่านเข้ามาไม่เคยพบเจอ เป็นไปได้ว่า ต้องลองผิดลองถูกไปทางใดทางหนึ่งซะก่อน ถ้าให้เด็กกับเพื่อนเป็นคนเลือกทำสิ่งต่าง ๆ เป็นไปได้ว่าเค้าอาจจะเลือกทำไปในทางที่ผิด อันเกิดจากความไม่รู้ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือการขาดประสบการณ์นั่นเอง
          ในส่วนของผม ประสบการณ์การคบเพื่อนวัยเด็กยังน้อย ไม่รู้ว่าเพื่อนคนไหนดีไม่ดียังไง เห็นคนอายุใกล้เคียงมาพูดคุย ชวนกันไปทำอะไรก็ไป จะเห็นได้ว่า ไอ้กล้วยที่ชวนผมไปลักตังค์บ้านท้ายซอย ไม่ได้รู้จักหรือสนิทกัน อยู่ ๆ มันก็มาชวนผมไปลักตังค์เค้าแล้ว ผมก็เป็นคนขี้เกรงใจ ใครชวนทำอะไรก็ไม่ปฏิเสธเค้าบ้างเลย ถามว่าผมรู้มั้ยว่ากำลังทำผิด ตอบอย่างไม่อายเลยว่า รู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองกำลังทำผิด (คนทำผิด ไม่ว่าเรื่องอะไร ทั้งเรื่องลักทรัพย์ ซื้อยาเสพติด ซื้อปืน ฯลฯ ต้องแอบ ๆ ทำเพราะรู้ว่ามันผิด ถ้าเราไม่รู้สึกว่าเรื่องที่ทำมันผิด เราคงไม่ต้องแอบทำ หรือทำแล้วต้องปิด ๆ บัง ๆ หรอก) เวลาจะขึ้นบ้านเค้าลักตังค์ เวลาจะทุบกระจก ฯลฯ ต้องคอยระวังช่วยดูลาดเลาไม่ให้ใครรู้เห็น เรื่องที่ทำผิดไปโดยไม่รู้คงเลิกพูดไปเลย แล้วเมื่อรู้ว่าตัวเองทำผิด ทำไมยังฝืนทำ เหตุที่ทำไปก็เพราะคิดว่า ไม่มีใครรู้เห็น หรือมาจับผิดการกระทำของตนได้ไง (คนทำผิดก็มองโลกแง่บวกเหมือนกัน คิดว่าทำผิดโดยไม่มีใครรู้เห็นเอาผิดได้ ถ้ารู้ว่าทำผิดแล้วคนอื่นจะรู้ จะถูกจับได้ คนกำลังจะทำผิดคงเลิกทำกันเยอะ) แต่เรื่องรู้เท่าไม่ถึงการณ์อาจมีส่วนบ้าง ในวัยเด็กอย่างนั้น ผมรู้แต่ว่า ทำอะไรผิดทำอะไรไม่ผิด แต่ว่าเมื่อทำผิดแล้ว จะถูกดำเนินคดียังไง ถูกลงโทษยังไง ยังไม่รู้ แล้วถ้าถูกจับถูกลงโทษใครจะเป็นคนเดือดร้อนไปกับเราด้วย (ป่าป๊ากับแม่ผมไง ต้องวิ่งเต้นต่อสู้คดีให้ผมพ้นโทษ) นี่แหละสิ่งเลวร้ายที่จะเกิดตามมาที่ผมไม่เคยรู้ แล้วเรื่องเหล่านี้ ไม่มีผู้ใหญ่คนไหนให้ความสนใจสอนให้เด็กรู้หรอกว่า เรื่องเหล่านี้มีรายละเอียดยังไง ด้วยอาจจะคิดว่า ยังไม่จำเป็นต้องสอน เด็กในปกครองคงไม่ไปทำผิดเกินเลยอะไรอย่างนั้นหรอก ตอนเด็ก ๆ อย่างนี้ อย่ามาถามเลยว่า มีความเกรงกลัว หรือละอายต่อบาปมั้ย ไม่มีแน่นอน เรื่องความเกรงกลัวละอายต่อบาป บางทีสอนกันจนจะแก่ตายคนเค้ายังไม่สนใจเลย
          การทำผิดของผม ไม่เกิดจากความไม่รู้ ผมรู้ทุกเรื่องที่ทำว่าผิด ไม่ว่าเรื่อง ลักตังค์ หรือซื้อปืนเถื่อน และบางเรื่องที่สังคมไม่ถือว่าเป็นสิ่งผิด แต่ก็ไม่ส่งเสริมให้ทำกัน เช่น การเล่นการพนัน ผมก็รู้ว่าเป็นเรื่องไม่ดี เวลาไปเล่นยังไม่อยากให้คนใกล้ชิดรู้เลย ดังนั้นสิ่งต่าง ๆ ที่ผมทำผิด เกิดจากความตั้งใจทำผิดของตัวเองล้วน ๆ เพื่อนที่มาชวนไม่ได้ขู่บังคับ หรือหลอกให้ผมทำซักหน่อย แถมพอได้ตังค์ง่าย ๆ บ่อยเข้า ยังติดใจอีกต่างหาก ดังนั้นความไม่รู้ไม่ใช่สาเหตุที่ผมทำผิด ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ การขาดประสบการณ์ในการใช้ชีวิตต่างหาก ที่เป็นสาเหตุสำคัญในการทำผิดของผม
          3. ความต้องการที่ไม่เคยพอ ความโลภ ความชอบ หรือหลงไหลคลั่งไคล้ของเด็ก ใช่สาเหตุที่ทำให้ผมทำผิดหรือไม่
          เด็กหรือเยาวชนจะมีความต้องการสิ่งของต่าง ๆ พวกขนม กับของเล่นอย่างมาก เรียกได้ว่า ไม่เคยพอ เวลาเจอของเล่น ขนม หรือสิ่งน่าสนใจตามที่ต่าง ๆ จะร้องขอพ่อแม่ผู้ปกครองขอเข้าไปเล่น หรือให้ซื้อให้ตลอด โดยไม่เคยคำนึงถึงเลยว่า ของนั้นเพิ่งเคยซื้อมา หรือของนั้นเพิ่งกินมาหยก ๆ เมื่อกี๊นี้เอง เด็ก หรือเยาวชนมีความโลภอยากได้ไม่สิ้นสุด เด็ก หรือเยาวชนไม่เคยรู้ว่า การซื้อ หรือใช้บริการอะไรก็ตาม ต้องจ่ายตังค์ทั้งนั้น ถ้าพ่อแม่ไม่มีหลัก เลี้ยงดูบุตรหลานอย่างตามใจ เด็กจะอยากได้นั่นได้นี่ ถึงขนาดอยากได้ทั้งร้านเอาเท่าไหร่ทีเดียว เพราะเด็ก หรือเยาวชนไม่รู้หรอกว่า ในชีวิตจริงเค้าต้องเอาตังค์ซื้อของกัน แต่เด็กเค้าคิดว่า ยังไง ๆ พ่อแม่ต้องซื้อของให้เค้าแน่ ทั้งที่ความจริงพ่อแม่อาจไม่มีตังค์ หรือมีแต่ตังค์ไม่พอ หรือต้องเอาไปทำธุระอื่นก็ได้ สำหรับพ่อแม่ที่มีเหตุผล หรือไม่รวยถึงขนาด จะให้ตังค์ลูกโดยไม่มีข้อจำกัดเลยคงไม่ได้ การจะจ่ายตังค์ จะต้องมีเหตุผลประกอบที่เหมาะสม ดังนั้น พ่อแม่ให้ตังค์ไปซื้อขนม หรือของเล่นก็จริง พ่อแม่ไม่ได้ให้ทุกครั้ง หรือทุกกรณีที่ลูกหลานขอ ด้วยพ่อแม่เป็นผู้ใหญ่ รู้เหตุผลดีถึงความควรไม่ควร ความคุ้มค่าของสิ่งที่จะต้องจ่าย บางทีของเล่นที่เคยซื้อมาก่อนแล้ว หากลูกหลานอยากจะให้ซื้ออีก พ่อแม่มักจะไม่ซื้อให้ เพราะเห็นว่าเป็นของที่เคยซื้อไปแล้ว และลูกหลานก็เบื่อจนทิ้งขว้างไม่ค่อยได้เล่นแล้ว หากซื้อไปอีก ก็คงเอาไปทิ้งเปล่า ๆ ก็จะไม่ยอมซื้อให้ หรือกรณีซื้อขนม พ่อแม่อาจเห็นว่า ลูกหลานเพิ่งกินอาหารมาซะอิ่มตื้อ ยังมาเรียกร้องอยากจะกินขนมนั่นขนมนี่ พ่อแม่เห็นถึงความไม่เหมาะ ลูกหลานควรบันยะบันยังการกินมั่ง การกินมาก ๆ นอกจากสิ้นเปลือง ยังไม่ดีต่อสุขภาพ ลูกหลานจะเป็นโรคอ้วนไม่แข็งแรง และเป็นโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย และสิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่ง ที่พอจะบอกได้ถึงความต้องการที่ไม่เหมาะสมของลูกหลานที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว หรือเกิดขึ้นบ่อย ๆ ก็เพราะลูกหลานไม่รู้ ไม่เข้าใจ เหตุผลการกระทำของพ่อแม่ ทำไมบางทีมาขอตังค์ไปซื้อขนม หรือของเล่น พ่อแม่ก็ยอมให้แต่โดยดี แล้วบางทีมาขอทำไมไม่ให้ โดยไม่ให้ หรือพยายามที่จะให้เหตุผล อธิบายเหตุผลของการไม่ให้ตังค์ไปซื้อขนม หรือของเล่นให้เด็กเข้าใจ อาจจะเป็นเพราะพ่อแม่ผู้ปกครองไม่อยากอธิบาย หรืออธิบายไม่เป็น หรือหลอกล่อเด็กไปในทิศทางอื่นอย่างผิด ๆ ไปเลย เด็กก็จะไม่รู้เหตุผลจริง ๆ เลยว่า ทำไมบางครั้งขอตังค์ไปซื้อของได้ บางครั้งขอแล้วไม่ได้ อย่างที่บอก เด็กก็คือเด็ก เขายังไม่มีเหตุผลพอจะแยกแยะออกมาว่า กินขนมมากแล้วฟันจะผุ กินมันมากแล้วจะอ้วน หรือซื้อของเล่นมาก ๆ จะสิ้นเปลืองตังค์ ความคิดของเค้าพอขอแล้วไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ก็ต้องแสดงอิทธิฤทธิ์ให้ดูกันบ้าง ลงไปชักดิ้นชักงอที่พื้นตรงนั้นโชว์ซะเลย เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองขัดใจ เมื่อเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น ส่วนใหญ่พ่อแม่ผู้ปกครองมักจะอายเวลาลูกหลานลงไปชักดิ้นชักงอบนพื้น ตอบโต้เด็กโดยทำสิ่งที่ไม่เหมาะกับเค้าโดยใช้อารมณ์ คือ ลงโทษด้วยการตี เด็กจะยิ่งต่อต้าน และไม่เข้าใจยิ่งขึ้นว่า ทำไมถึงไม่ยอมซื้อให้เค้า หรืออาจออกไปอีกทาง พอพ่อแม่ผู้ปกครองเห็นว่า เด็กไม่ยอมหยุดร้องไห้ชักดิ้นชักงอแน่ ยอมโอนอ่อนซื้อขนม หรือของเล่นให้ เด็กจะจำวิธีการชักดิ้นชักงอ เป็นวิธีการต่อรองกับพ่อแม่ผู้ปกครองในครั้งต่อไป
 
คนเราอย่าโลภ ต้องรู้จัก"พอ"
คนเราอย่าโลภ ต้องรู้จัก"พอ"

ต้องการดูรายละเอียดรูปภาพ ดูได้ที่ http://bit.ly/1fKgcOg
          ในส่วนของผม ความต้องการอย่างเด็กที่ไม่เคยพอ ความโลภอยากได้ของคนอื่นโดยไม่คำนึงว่า ใครจะต้องเดือดร้อน เป็นสาเหตุสำคัญให้ผมทำผิดลักตังค์ที่บ้านท้ายซอย ลักขนมเฮียเอี้ยง และลักปลากัดของลุงนั่นเอง
          4. มีความเลวสันดานเป็นโจรติดตัวมาตั้งแต่เกิด  ใช่สาเหตุที่ทำให้ผมทำผิดหรือไม่
           ที่เค้าว่ากันตามทฤษฎีว่า มีคนที่เกิดมาก็มีความเลวสันดานเป็นโจรติดตัวมาตั้งแต่แรกเกิด โดยไม่จำเป็นต้องมีปัจจัยอย่างอื่นมาสนับสนุนให้เลวด้วยเลย ว่าง่าย ๆ ก็คือ เกิดมาเพื่อเลวเลยว่างั้นเถอะ ทีนี้ไอ้คนที่มีพรสวรรค์ในการทำเลวนี่ รูปร่างลักษณะเหมือนคนทั่วไปหรือไม่ โดยทางทฤษฎีแล้ว ไม่ใช่แน่ ๆ คนพวกนี้จะมีรูปร่างหน้าตา กริยาท่าทางผิดแปลกไปจากคนธรรมดาอย่างเด่นชัด เช่น รูปร่างหน้าตาเนื้อตัวใหญ่โตหนวดเครารกรุงรัง ขนดก แขนขาหยาบใหญ่ พละกำลังมาก นิสัยสันดานกักขฬะหยาบช้า มีความเป็นโจรติดตัวมาตั้งแต่เกิด (คนที่มีลักษณะที่เราเรียกกันว่า คนหน้าตาเหมือนโจร (ข้อนี้ขอให้ระมัดระวังในการสังเกตไว้หน่อย จากประสบการณ์ของผม ลักษณะภายนอกไม่สามารถบ่งบอกความเป็นคนดีคนเลวได้ซักเท่าไหร่ คนรูปร่างหน้าตาเหมือนโจรดันเป็นคนดี คนรูปร่างหน้าตาดีดันเป็นโจรก็มีมาก)) คนพวกนี้เมื่อสบโอกาส จะทำความผิดประกอบอาชญากรรมได้อย่างไม่เกรงกลัวความผิด และการลงโทษ แม้จะมีการอบรมเลี้ยงดูมาอย่างดีเพียงใด ตามลักษณะของเค้าตามธรรมชาติ เค้าจะต้องทำสิ่งที่ไม่เป็นไปตามความต้องการของสังคม โดยการประกอบอาชญากรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยไม่จำเป็นต้องมีใครมาเสี้ยมสอน เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับผม ผมมีลักษณะแตกต่างไปจากคนพวกนี้ รูปร่างหน้าตากริยาท่าทางของผมเป็นไปแบบคนปรกติ เนื้อตัวแขนขาไม่หยาบใหญ่ พละกำลังก็เป็นเช่นคนธรรมดา แล้วพื้นนิสัยไม่ชอบฝ่าฝืนกฎระเบียบของสังคม ที่จะไปทำอาชญากรรมร้ายแรงอะไร จะเห็นว่า การทำผิดของผมมีความเกรงกลัวการถูกจับได้ กลัวการลงโทษ ซึ่งต่างจากคนที่มีสันดานโจรติดตัวมาตั้งแต่เกิด คนพวกนี้จะประกอบอาชญากรรมโดยไม่กลัวการจับกุม หรือลงโทษ ดังนั้นพอจะสรุปได้ว่า ผมไม่ใช่ลักษณะของคนเลวมีสันดานเป็นโจรมาตั้งแต่เกิด ที่จะทำให้ผมไปก่อความผิดต่าง ๆ นานาตามที่เล่ามา
          5. พ่อแม่ไม่สั่งสอน (คำด่า คำต่อว่า หรือคุณจะว่ามันเป็นคำอะไรก็ตาม ที่เค้าใช้ต่อว่าเด็ก หรือเยาวชนเวลาทำผิด (ผู้ใหญ่ใช้คำด่านี้เฉพาะกับเด็กเท่านั้น พอผู้ใหญ่ทำผิดจะไม่ใช้คำด่านี้ และใช้กับความผิดแทบทุกอย่างของเด็ก ไม่ว่าเป็นความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย หรือใหญ่โต)) ปล่อยปละละเลย ไม่เข้มงวดกวดขันดูแลผมอย่างจริงจัง  ใช่สาเหตุที่ทำให้ผมทำผิดหรือไม่
          ตามคำด่า หรือต่อว่าว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอน ยังไม่ครอบคลุมผู้ปกครองดูแลเด็กตามสภาพความเป็นจริง เพราะพ่อแม่จำนวนมากไม่ได้เลี้ยงดูเด็กด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเลี้ยงไม่ได้ด้วยเหตุอะไรก็ตาม ถ้าจะต่อว่าผู้ต้องอบรมเลี้ยงดูเด็กให้ครอบคลุมจริง ๆ จะต้องรวมเอาผู้ปกครองเข้าไปด้วย แต่คงต้องทำความเข้าใจกันว่า คำด่าต้องด่าให้ง่ายเข้าไว้ ไม่ต้องคำนึงถึงความจริงซักเท่าไหร่ พ่อแม่จึงเป็นจำเลยคู่นึง ที่ตกเป็นจำเลยตลอดเวลาที่ลูกหลานทำไม่ดี ผู้ปกครองจะรอดการโดนด่าทุกทีไป
          ในความเป็นจริง พ่อแม่ผู้ปกครองมีความสำคัญต่อลูกหลานมากตั้งแต่ก่อนเด็กจะเกิดทีเดียว ทำไมผมถึงบอกไปถึงขนาดนั้นว่า พ่อแม่ผู้ปกครองสำคัญกับเด็กตั้งแต่ก่อนเด็กจะเกิด ก็เพราะผู้ชายกับผู้หญิงที่มีสัมพันธ์กันจนเกิดลูกนั้น มีทั้งแบบสัมพันธ์กันแบบเป็นทางการ แต่งงาน หรือไม่แต่งก็ได้ แต่อยู่กินกันจริงอยากมีลูกหลานไว้สืบสกุล กับที่สัมพันธ์กันแบบไม่เป็นทางการ เจอกันฉาบฉวยก็ปิ๊งปั๊งโดดเข้าใส่กัน ไม่ได้อยากมีลูกหลานสืบสกุล คู่ที่มีสัมพันธ์แบบนี้ให้รวมถึงคู่ที่แต่งงาน หรือไม่ได้แต่งงานแต่อยู่กินเป็นทางการกันจริง แต่ไม่อยากมีลูกรวมเข้าไปด้วย พ่อแม่ผู้ปกครอง 2 แบบนี้ มีความรักความต้องการลูกต่างกัน ฝ่ายที่ตั้งใจมีลูก จะเลี้ยงดูทะนุถนอมลูกด้วยความรักความเอาใจใส่ ต่างกับฝ่ายที่มีลูกโดยบังเอิญ จะเลี้ยงดูลูกอย่างไม่พร้อมทั้งทางด้านจิตใจ ฐานะ ทรัพย์สินเงินทอง การเลี้ยงดูจะต่างกับพวกแรกอย่างมาก (ไม่ใช่เหมาว่า พวกมีลูกโดยบังเอิญจะเลี้ยงลูกไม่ดีทั้งหมด แต่ผมคิดว่า ส่วนใหญ่น่าจะเลี้ยงดูอย่างขาด ๆ เกิน ๆ เพราะเริ่มต้นก็ไม่ได้อยากมีอยู่แล้ว) พ่อแม่อบรมเลี้ยงดูลูกดี หรือไม่ดียังไง สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นจะติดตัวลูกหลานไปจนโต เกาะติดเป็นพฤติกรรมประจำตัวของเด็กไป เด็กที่เป็นที่ต้องการของพ่อแม่จะได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาดี โอกาสที่เด็กจะทำผิด หรือมีพฤติการณ์ไม่เป็นไปตามที่ต้องการของสังคมน่าจะน้อยกว่าเด็กที่ถูกอบรม เลี้ยงดูมาไม่ดี
          อีกเรื่องนึงที่สำคัญมาก อาจถือว่าขึ้นอยู่กับโชควาสนาของเด็ก หรือเยาวชนเลยทีเดียว คือ พ่อแม่ผู้ปกครองเป็นผู้มีสิทธิ์ขาดในการปกครอง อบรมเลี้ยงดูเด็ก หรือเยาวชน ถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองมีภาวะทางกาย จิตใจ สติปัญญาปรกติ เลี้ยงดูเด็ก หรือเยาวชนไปตามธรรมดาได้เช่นเดียวกับที่พ่อแม่ผู้ปกครองทั่วไปพึงกระทำ ไม่ได้ทำอะไรเกินเลยขอบเขตของกฎหมายในทางที่ทำให้เด็ก หรือเยาวชนเกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย หรือเสรีภาพ ฯลฯ ใคร หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการสงเคราะห์เด็ก ก็ไม่สามารถแย่งอำนาจปกครองเลี้ยงดูเด็ก หรือเยาวชนไปได้ ในความเป็นจริงของชีวิต คนเป็นพ่อแม่ผู้ปกครองไม่ใช่จะปรกติเหมือนกันหมด คุณสมบัติของแต่ละคนแต่ละคู่ย่อมแตกต่างกัน พ่อแม่ผู้ปกครองบางคนบางคู่สุขภาพกาย สุขภาพจิต พื้นนิสัยดี ภาวะความเป็นอยู่ของครอบครัวดี ปัญหาครอบครัวน้อย ปัญหาการเลี้ยงดูเด็ก หรือเยาวชนก็จะน้อย แต่ถ้าเกิดพ่อแม่ผู้ปกครองเกิดมีปัญหาสุขภาพกาย สุขภาพจิต พื้นนิสัยไม่ดี ภาวะความเป็นอยู่ของครอบครัวไม่ดี ปัญหารุมเร้าสารพัด ปัญหาการเลี้ยงดูเด็ก หรือเยาวชนย่อมมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว เราอาจมองเห็นชัด ๆ ว่า ถ้าให้เด็กอยู่กับคนอื่น เด็กจะได้รับการอบรมเลี้ยงดูที่ดีกว่า แต่มีใครสามารถเข้าไปยุ่งก้าวก่ายแย่งการปกครองเด็ก หรือเยาวชนมาได้มั้ย ไม่ได้แน่ ๆ ตราบเท่าที่พ่อแม่ผู้ปกครองยังสามารถอบรมเลี้ยงดูเด็ก หรือเยาวชนอยู่ได้ โดยไม่ถึงกับน่าจะเป็นอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ คุณภาพชีวิต ฯลฯ ก็ต้องปล่อยให้กล้อมแกล้มเลี้ยงดูกันไปตามมีตามเกิด มีกินมั่งไม่มีกินมั่ง เติบโตขึ้นมาอย่างแร้นแค้นขาดซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีก็ต้องทน ๆ กันไป (เจ้าหน้าที่รัฐจะเข้าไปแย่งอำนาจการปกครองเด็ก หรือเยาวชนได้ ต้องเป็นกรณีพ่อแม่ผู้ปกครองเลี้ยงเองไม่ได้ หรือหากให้เด็กอยู่กับพ่อแม่ผู้ปกครอง เด็กอาจจะเป็นอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ คุณภาพชีวิต ฯลฯ) นี่ไงครับที่ผมบอกว่า เด็ก หรือเยาวชนเกิดมาในครอบครัวที่ค่อนข้างดี กับค่อนข้างไม่ดี ขึ้นอยู่กับโชควาสนาของเด็กเลยทีเดียว เมื่อแรกเริ่มชีวิตอยู่ในครอบครัวที่เลี้ยงดูปลูกฝังอุปนิสัยดี ๆ ให้ โอกาสเติบโตเป็นคนคิดดีทำดีก็มาก ถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองทำไปในลักษณะตรงข้าม ไม่เป็นตัวอย่างที่ดี ไม่ปลูกฝังอุปนิสัยดี ๆ ให้ โอกาสที่เด็ก หรือเยาวชนจะเติบโตขึ้นเป็นคนมีปัญหาก็สูง โดยที่เด็กไม่มีโอกาสเลือกเองเลยแม้แต่น้อย
          คุณต้องเชื่ออย่างผมแน่ว่า พ่อแม่ผู้ปกครองที่ต้องเลี้ยงดูบุตรหลาน ควรมีความรู้ในเรื่องการเลี้ยงเด็ก หรือเยาวชนพอสมควร ต้องรักษาระยะห่างในการเลี้ยงดูด้วยความพอดี ไม่เข้มงวด หรือปล่อยปละจนเกินไป ซึ่งความยากของการอบรมเลี้ยงดูเด็กมันก็อยู่ตรงนี้แหละ ใครจะรู้ระยะห่างในการเลี้ยงเด็ก หรือเยาวชนที่พอดีมันอยู่ตรงจุดไหน มันไม่มีอะไรบ่งชี้ให้รู้ได้เลย สิ่งเหล่านี้เวลาพูดมันง่าย แต่เวลาทำไม่ง่าย พ่อแม่ผู้ปกครองที่จะมีความรู้ในเรื่องการเลี้ยงเด็ก รู้ว่าจะต้องอบรมเลี้ยงดูเด็กยังไง ใช้จิตวิทยากับเด็กยังไง เด็กต้องมีโภชนาการอย่างไร ฯลฯ จะต้องผ่านประสบการณ์จริงในการเลี้ยงดู คอยสังเกตจดจำ ลองผิดลองถูก สอบถามจากผู้มีประสบการณ์ ถึงจะพอรู้ว่าระยะห่างในการเลี้ยงดูเด็ก หรือเยาวชนที่เหมาะสม น่าจะอยู่ตรงจุดไหน และบังเอิญถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองเชาวน์ไวไหวพริบไม่ดี การจะรู้จุดเลี้ยงดูเด็กอย่างเหมาะสม ก็อาจต้องใช้เวลาเรียนรู้มากขึ้นไปอีก ในจำนวนพ่อแม่ผู้ปกครองที่ต้องอบรมเลี้ยงดูเด็ก หรือเยาวชนจริงทั้งหมด พ่อแม่ผู้ปกครองที่มีความรู้ครบถ้วน เหมาะสมต่อการอบรมเลี้ยงดูเด็กจะมีซักกี่เปอร์เซ็นต์ ผมว่าน่าจะน้อยนะ คนแต่ละคนไม่ว่าหญิงหรือชาย ต่างเติบโตเพียงลำพัง ใช้ชีวิต แก้ปัญหา เอาตัวของตัวเองให้รอดเท่านั้น ไม่ได้หวังว่าจะต้องมาเลี้ยงดูเด็กที่มาเข้าร่วมทีมเดียวกันอีกคนหนึ่ง ความคิดอยากมีลูกหลานไว้สืบสกุล ไม่น่าจะมีใครคิดไว้ล่วงหน้า ส่วนใหญ่มันจะเกิดขึ้นเมื่อผู้หญิงผู้ชายจับคู่อยู่กินกันเป็นทางการแล้ว ความคิดอยากมีลูกไว้สืบสกุลถึงค่อย ๆ โผล่ออกมา ไม่มีใครหรอกเตรียมการอยากมีลูกโดยไปศึกษาวิชาการอบรมเลี้ยงดูเด็กล่วงหน้าก่อน สังคมปรกติแค่ดิ้นรนปากกัดตีนถีบสู้สภาพสังคมก็แย่แล้ว จะไปเรียนรู้วิธีการเลี้ยงเด็กอย่างเหมาะสมคงลำบาก แล้วยังมาประกอบกับปัจจัยเฉพาะตัวของพ่อแม่ผู้ปกครอง เช่น สภาพร่างกาย จิตใจ ฐานะ ระดับการศึกษา ฯลฯ ที่แต่ละคนก็มีแตกต่างกันไป พ่อแม่ผู้ปกครองบางคนมีคุณสมบัติเหมาะสมในการเลี้ยงดูเด็ก หรือเยาวชน บางคนก็ไม่เหมาะ เด็กหรือเยาวชนในบ้านเรา จึงถูกเลี้ยงดูอยู่กับพ่อแม่ผู้ปกครองที่ไม่มีความรู้ในการเลี้ยงเด็กอย่างเหมาะสมกันมาก เมื่อต้นแบบไม่เป็นตัวอย่างที่ดี เด็กหรือเยาวชนที่ผลิตออกมาจากแบบเหล่านั้นจะดีคงยาก
          ในส่วนของผม นับว่าโชคดีมาก ป่าป๊ากับแม่ผมเป็นคู่ที่สัมพันธ์กันอย่างเป็นทางการ แต่งงานอยู่กินกันจริงอยากมีลูกหลานไว้สืบสกุลด้วยความตั้งใจ ถ้าคุณสังเกตจากบท ปรัชญาชีวิตจริงจากความผิดพลาดของประสบการณ์ชีวิตในอดีต ตอนที่ 1 จะเห็นว่า ป่าป๊ากับแม่ผมวางแผนครอบครัวได้ดีทีเดียว พวกผม 4 คน อายุห่างกันคนละ 2 ปี พอมีน้องสุดท้องคนที่ 4 แม่ผมก็คุมกำเนิดไว้เลย ป่าป๊ากับแม่มีสภาวะร่างกายจิตใจดี มีความรู้ในการเลี้ยงดูพวกผมอย่างเหมาะสม แม้ฐานะครอบครัวจะไม่ดีมาก แต่ป่าป๊ากับแม่ก็ช่วยกันทำกิน ป่าป๊าเห็นว่าเงินทองร่อยหรอจากที่ต้องสร้างบ้านที่ถูกไฟไหม้ใหม่ หนี้สินเพิ่มมาก ถ้าไม่มีรายได้จะแย่ แกจึงต้องเริ่มทำลูกชิ้นขายส่ง - ปลีก หารายได้มาใช้จ่ายในครอบครัว แม่ก็ต้องไปรับราชการที่กรุงเทพฯ ดังนั้นบ้านผมนับได้ว่า มีพ่อแม่อยู่กันครบ เลี้ยงดูพวกผมด้วยความรักความเอาใจใส่อย่างเต็มที่ มีการอบรมสั่งสอนพวกผมด้วยตัวเอง ส่งไปให้อาจารย์ที่โรงเรียน และศาสนาจารย์ที่โบสถ์ช่วยอบรมสั่งสอนอีกทางหนึ่ง ประกอบการเป็นตัวอย่างชีวิตจริงให้พวกผมได้เห็น ได้รู้จักกับการประกอบอาชีพที่สุจริต ไม่สร้างปัญหาความเดือดร้อนให้ใคร ช่วยเหลือคนอื่นเท่าที่ช่วยได้ ถือได้ว่าผมโชคดีมากที่มีพ่อแม่ผู้ปกครองดี มีความรู้เหมาะสม เป็นแบบอย่างให้เจริญรอยตามได้
          การทำผิดของผม ทั้งเรื่องลักของ ซื้อปืน ทำระเบิด เล่นการพนัน ถ้าจะบอกว่า พ่อแม่ผู้ปกครองมีส่วนผิดในการที่ไม่อบรมสั่งสอนผมอย่างใกล้ชิดเพียงพอ ปล่อยปละละเลย ไม่สั่งสอนว่าการทำผิดต่าง ๆ เหล่านั้นมันไม่ดี ไม่ควรทำ สิ่งบ่งชี้ที่จะบอกได้ว่าพ่อแม่ผู้ปกครองเลี้ยงดูผมผิดพลาด ผมต้องไม่รู้ว่าการกระทำต่าง ๆ ของผมมันผิด แต่ในความเป็นจริง ผมรู้ทุกการกระทำแหละว่าผิด ป่าป๊ากับแม่คอยสอนคอยเตือนผมอยู่เรื่อย แต่ปรากฏว่า ป่าป๊ากับแม่ไม่ได้อยู่กับผมตลอดเวลานี่ เวลาผมเดี่ยวไมโครโฟนนี่แหละตัวปัญหาเลย ความคิดเป็นเด็กแบบผิด ๆ โผล่ขึ้นมาให้ทำผิดไป ต่อให้เทวดาก็คงห้ามไม่ได้
          ในส่วนของผมขอบอกเลยว่า ป่าป๊ากับแม่ผมอบรมเลี้ยงดูสั่งสอนผมเต็มที่แล้ว ตัวผมเองนี่แหละเป็นตัวทำผิดตัวจริงเสียงจริง
          6. ครูบาอาจารย์ไม่สั่งสอน ใช่สาเหตุที่ทำให้ผมทำผิดหรือไม่
          ครูบาอาจารย์เป็นคนสำคัญอีกคนหนึ่ง นอกเหนือจากพ่อแม่ผู้ปกครอง ที่จะทำให้เด็กหรือเยาวชนมีความรู้ ความคิดอย่างถูกต้องครบถ้วน มีเหตุมีผล ในส่วนของผมจริง ๆ แล้ว มีความได้เปรียบเด็กอื่น เพราะนอกจากผมจะมีครูบาอาจารย์ที่โรงเรียน ที่ล้วนแต่เป็นบุคคลตัวอย่างที่ดี มีความประพฤติปฏิบัติงานดีเป็นตัวอย่างชีวิตจริงในตัว คอยสั่งสอนทางวิชาการ จริยธรรม ศีลธรรม ความรู้ทั่วไป ฯลฯ ที่ผมได้รับซึมซับได้เป็นอย่างดีแล้ว ผมยังมีศาสนาจารย์ที่คริสตจักรจีนนครปฐม คอยอบรมสั่งสอนให้ประพฤติตนดีตามลัทธิศาสนาที่นับถือสำทับอีกทีหนึ่ง
          ในเรื่องครูบาอาจารย์นี่ก็เหมือนกับเรื่องพ่อแม่ผู้ปกครอง ท่านอบรมสั่งสอนขัดเกลาผมมาอย่างดี แต่ตัวผมเองนี่แหละ ริเริ่มก่อกำเนิดความผิดต่าง ๆ สารพัดด้วยความสามารถตัวเองล้วน ๆ
          7. เพื่อน เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมทำผิดหรือไม่
          เด็ก หรือเยาวชน มีความต้องการทำ เล่น เรียนรู้ สิ่งต่าง ๆ อย่างสนใจ เพราะทุกสิ่ง ล้วนเป็นสิ่งใหม่ กระตุ้นให้อยากรู้อยากเห็นตลอดเวลา ทีนี้ไอ้ความที่ไม่เคยพบเคยเจอ ไม่เคยผ่านประสบการณ์ในสิ่งที่จะทำ โอกาสเลือกวิธีการ แนวทางการทำแบบผิด ๆ มีสูง การปรึกษาผู้ใหญ่ดูเหมือนไม่ใช่ทางเลือกที่เด็กส่วนใหญ่จะเลือกมากนัก เพื่อนจึงมักเป็นทางออกของปัญหาทุกอย่าง เพื่อนมีโอกาสดึงเพื่อนไปทำผิดได้ง่ายมาก เด็ก หรือเยาวชนถือว่าเพื่อนเป็นคนสำคัญ การยอมรับจากเพื่อน เป็นสิ่งที่เด็ก หรือเยาวชนถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ถ้าเพื่อนในกลุ่มต้องการให้เด็ก หรือเยาวชนทำอะไร แล้วเด็ก หรือเยาวชนไม่ทำ อาจเพราะไม่กล้า ไม่อยากทำ หรือด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม อาจเป็นเหตุให้เกิดการไม่ยอมรับจากเพื่อน ๆ เด็ก หรือเยาวชนจะรับไม่ได้ กลัวไม่มีใครคบหา เมื่อเพื่อนชักชวนกันทำผิดจะสังเกตได้ว่า เด็กมักจะทำผิดตาม ๆ กัน ไม่มีใครห้ามใคร เพราะการห้าม เสี่ยงต่อการที่เพื่อนจะหาว่า ขี้ขลาด ปอดแหก ฯลฯ แล้วเลิกคบกับเด็กหรือเยาวชนที่ห้าม เด็ก หรือเยาวชนที่ห้ามต้องออกจากกลุ่มไป เด็ก หรือเยาวชนไม่อาจรับได้ ส่วนใหญ่เมื่อกลุ่มเพื่อนทำผิด จึงมักจะทำผิดกันทั้งกลุ่ม
นักเรียนตีกัน การรัก และช่วยเพื่อนแบบผิด ๆ
นักเรียนตีกัน การรัก และช่วยเพื่อนแบบผิด ๆ
ต้องการดูรายละเอียดรูปภาพ ดูได้ที่ http://bit.ly/1fVQgf8
         ในส่วนของผม เพื่อนคือไอ้กล้วย ชักชวนไปลักตังค์บ้านท้ายซอย รู้ดีว่าผิด แต่ก็เกรงใจเพื่อนอุตส่าห์มาชวน ถ้าไม่ไปร่วมลักตังค์กับเค้ากลัวจะถูกหาว่าปอดแหก ประกอบกับความโลภอยากได้ตังค์มาซื้อปลากัดหม้ออีก ดังนั้นเพื่อนเป็นสาเหตุสำคัญอันนึง ที่ทำให้ผมลักตังค์ หรือลักของเค้า
          8. สังคม สิ่งแวดล้อม คือสิ่งที่ผมต้องอยู่ และเกี่ยวข้องด้วยตั้งแต่เกิดจนโต ใช่สาเหตุที่ทำให้ผมทำผิดหรือไม่
          สังคมสิ่งแวดล้อมเป็นที่ที่เด็กหรือเยาวชนอยู่ เป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่ง ที่มีผลต่อพฤติกรรมของเด็ก หรือเยาวชน ถ้าเค้าอยู่ในสังคมที่แวดล้อมเต็มไปด้วยอบายมุข ยาเสพติด อาชญากรรม ฯลฯ เด็กหรือเยาวชนจะไม่เข้าไปสัมผัส หรือยุ่งเกี่ยวด้วยคงยาก เพราะเด็ก หรือเยาวชนนี่แหละ เป็นเครื่องมือลำดับต้น ๆ ที่อาชญากรจะหยิบมาใช้ อาจจะใช้ให้เด็ก หรือเยาวชนขายยาเสพติด ขายหนังโป๊ ลักทรัพย์ ฯลฯ แล้วแต่ว่าอาชญากรคนนั้นเค้าถนัด หรือประกอบมิจฉาชีพอะไร เค้าก็จะใช้เด็ก หรือเยาวชนไปทำอย่างนั้น (เด็ก หรือเยาวชนทำผิดกฎหมาย วิธีปฏิบัติต่อเด็ก หรือเยาวชนแตกต่างจากผู้ใหญ่ ตำรวจผู้จับกุม พนักงานสอบสวนมีกระบวนการต้องปฏิบัติกับเด็ก หรือเยาวชนมากกว่าปฏิบัติกับผู้ใหญ่เยอะมาก
          จบตอน ปรัชญาชีวิตจริงจากความผิดพลาดของประสบการณ์ชีวิตในอดีต บทวิเคราะห์ ตอนที่ 1 ตอนต่อไปจะเป็นบทวิเคราะห์ตอนที่ 2 ซึ่งจะติดตามได้ในเร็ว ๆ นี้

          หน้าแรก          เกี่ยวกับฉัน          กลับสู่ด้านบน


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สวัสดีครับทุกท่าน กรณีที่ท่านติดตามชมบล็อกของผมแล้วต้องการแสดงความคิดเห็น ผมเปิดกว้างสำหรับทุกท่าน ขอความกรุณาแค่แสดงความคิดเห็นให้ตรงกับเนื้อหาของผม กรณีจะแสดงความคิดเห็นที่ไร้สาระ ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาเลย ได้โปรดอย่าทำเลยครับ ผมขี้เกียจลบ ขอบคุณมากครับ

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น