วันอังคารที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2557

ปรัชญาชีวิตจริงจากความผิดพลาดของประสบการณ์ชีวิตในอดีต บทวิเคราะห์ ตอนที่ 2


          จากปรัชญาชีวิตจริงจากความผิดพลาดของประสบการณ์ชีวิตในอดีต บทวิเคราะห์ ตอนที่ 1 ที่ผ่านมา ผมได้วิเคราะห์ไว้ว่า ความผิดพลาดของผมที่เกิดขึ้น น่าจะมีสาเหตุสืบเนื่องมาจากอะไร เช่น เกิดจากความคิดที่ผิดของตัวเองใช่หรือไม่ เกิดจากความไม่รู้ หรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือไม่ หรือความไม่รู้จักพอ หรือมีความเลวเป็นสันดาน ฯลฯ มาถึงบทวิเคราะห์ตอนที่ 2 นี่ ผมก็ยังคงวิเคราะห์เรื่องสาเหตุว่ายังมีต่อไปอีกหรือไม่ แล้วผมจะสรุปให้เห็นกันอย่างชัดเจนว่า ความผิดพลาดทั้งหมดของผมน่าจะเกิดมาจากสาเหตุอะไรกันแน่ และมีข้อเสนอแนะอย่างไร ที่จะใช้ในการเลี้ยงดูเด็ก หรือเยาวชนที่อยู่ในปกครอง ไม่ให้เกิดความผิดพลาดมากมายอย่างเดียวกับผม มาติดตามชมบทวิเคราะห์ ตอนที่ 2 นี้กันได้เลยครับ
          ในบทวิเคราะห์ตอนที่ 1 ผมพูดมาถึงเรื่องการดำเนินคดีกับเด็ก หรือเยาวชน จะต้องดำเนินการแตกต่างกับการดำเนินคดีกับผู้ใหญ่ มีขั้นตอนต้องดำเนินการมากมาย ต้องแจ้งบุคคลผู้มีหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด มาร่วมฟังการสอบสวน ต้องถ่ายวิดีโอบันทึกการสอบสวนไว้เป็นหลักฐาน ต้องส่งตัวเด็ก หรือเยาวชนไปสถานพินิจภายใน 24 ชั่วโมง ฯลฯ โดยถ้าจับผู้ใหญ่ 
ไม่ต้องทำกระบวนการตามที่กล่าวมาทั้งหมด ลองคิดดูซิว่า จับเด็ก หรือเยาวชนกับจับผู้ใหญ่ ภาระเพิ่มมากกว่ากันขนาดนี้ ถ้าเราเลือกได้เราจะเลือกจับใคร คนที่สมองเป็นปรกติดีต้องเลือกที่จะจับผู้ใหญ่อยู่แล้ว คราวนี้เมื่อดำเนินคดีกับเด็ก หรือเยาวชนแล้วมันยุ่งยาก อาชญากรเค้าก็รู้ เค้าก็จะใช้เด็กนี่แหละ เป็นเครื่องมือในการทำผิด เพราะรู้อยู่แล้วว่าตำรวจไม่อยากจับ หรือหากจับไปแล้ว ก็เหมือนมีอำนาจต่อรองสำคัญ เค้ารู้อยู่แล้วว่า ถ้าไม่ใช่คดีสำคัญเป็นที่ติดตามของสื่อมวลชน ยังไงตำรวจก็ต้องปล่อยอยู่แล้ว คงไม่มีใครอยากทำงานเยอะ ๆ แล้วไม่ได้อะไร หรือได้ไม่คุ้มหรอก) แค่เค้าใช้เด็ก หรือเยาวชนทำผิดยังไม่พอ เค้าอาจพุ่งเป้าหมายไปที่เด็ก หรือเยาวชนเป็นผู้ซื้อ หรือใช้บริการ เป็นลูกค้าเสพยาเสพติด เป็นลูกค้ารับซื้อของโจร ฯลฯ เลยก็ได้ เมื่อเด็ก หรือเยาวชนมีโอกาสมากที่จะตกเป็นเครื่องมือ หรือเป้าหมายการกระทำผิดของอาชญากรเช่นนี้ ผม (ในขณะนั้น) ก็คือเด็ก หรือเยาวชนคนนึง มีหรือจะรอดจากวงจรอุบาทว์นี้ไปได้ง่าย ๆ
          ครอบครัวผมโชคดีที่อยู่ในสังคมสิ่งแวดล้อมที่ดี บ้านที่อยู่ก่อนไฟไหม้ บ้านเช่าที่ไปอยู่หลังไฟไหม้ และบ้านใหม่ที่สร้างแทนบ้านที่ถูกไฟไหม้ อยู่ท่ามกลางชุมชนคนกลุ่มเดิม ที่ล้วนแล้วแต่เป็นคนทำมาหากิน ไม่ขายของก็มีธุรกิจต่าง ๆ ไปตามทางของตัว ไม่มีใครหัวเสคิดรวยทางลัดด้วยการประกอบอาชญากรรม (จริง ๆ แล้วจะบอกไม่มีเลยก็ไม่ถูก บ้านติดกันกับผมเลยมีผู้ใหญ่คนนึง อย่าไปพูดชื่อเค้าเลยครับ เป็นเรื่องไม่ค่อยดี แล้วเค้าก็ถึงแก่กรรมไปแล้วด้วย ผมรู้จักแกก็ด้วยแกชอบโชว์เปิบพิสดารให้ดู สิ่งที่แกเปิบเป็นสิ่งที่คนชอบบริโภคอาหารแปลก ๆ เท่านั้นที่จะเปิบได้ แต่สำหรับคนธรรมดาทั่วไปน่าจะเปิบยากหรือไม่กล้า สำหรับผมแล้ว ผมถือว่าแกเปิบพิสดารมาก ผมที่ว่าแน่กินอะไร ๆ ได้สารพัดยังไม่กล้าลองเลย เค้าเปิบอะไรหรือครับ ลูกหนูตัวแดง ๆ ไง ถ้าผู้ใหญ่คนนี้ค้นบ้านเจอลูกหนูตัวแดง ๆ มาได้เมื่อไหร่ พวกผมที่เป็นเด็ก ๆ อยู่แถวบ้านแก จะได้รับแจ้งการโชว์รอบพิเศษ พอเด็กมาพร้อมหน้ากันเยอะแล้ว แกจะเอามือจับหางลูกหนูหิ้วขึ้นมาตัวนึง จุ่มลงไปในแก้วเหล้าที่แกเตรียมไว้ จากนั้นก็หย่อนกร๊วบกลืนหายลงไปในคอ ลูกหนูมีกี่ตัวแกก็ทำวิธีการเดียวกันจนเกลี้ยง เด็ก ๆ พวกผมที่ดูรู้สึกทึ่งมาก ไม่มีใครปรบมือกันซักคน คงจะประหลาดใจจนทำอะไรไม่ถูก หรือบางคนอาจจะอยากอ้วกล่ะมั้ง ตัวผมเนี่ยะงงมาก แค่จับลูกหนูพวกนี้ยังไม่กล้าจับ อย่าว่าแต่กินเข้าไปเลย ผู้ใหญ่คนที่เล่าให้ฟัง ผมเห็นแกเป็นครั้งคราว ไม่รู้ว่าแกทำอาชีพอะไรหรอก ได้ฟังมาว่า แกไปรับจ้างขับรถมั่ง รับจ้างทำอย่างอื่นมั่ง ไม่ค่อยรู้เรื่องแกเท่าไหร่ วันดีคืนดี คนแถวบ้านผมพูดถึงแกกันให้แซดเลยว่า ผู้ใหญ่คนนั้น ไปปล้นคนอื่นเค้าแล้วหนีไม่รอดถูกตำรวจยิงตาย นับได้ว่าผู้ใหญ่คนนี้เป็นอาชญากรที่อยู่ใกล้ตัวผมที่สุดคนหนึ่ง) ค้ายาเสพติด หากินกับอบายมุข ฯลฯ บรรดาเด็ก หรือเยาวชนที่อยู่แถวบ้านผม ก็เลยรอดไม่ถูกชักจูงเข้าไปในวงการอาชญากรรม (จะมีก็เรื่องบังเอิญบ้า ๆ อย่างผมนี่แหละ ที่ไอ้กล้วยซึ่งไม่ได้รู้จักสนิทสนมซักเท่าไหร่ ดันทะลึ่งมาชวนให้ไปลักตังค์เค้า รอบ ๆ บ้านไม่เห็นมีใครริเป็นขโมยขโจรกันซักคน) ไม่เป็นเป้าหมายที่อาชญากรหวังเอาเป็นเหยื่อ หรือเป็นลูกค้า ดังนั้น สังคมสิ่งแวดล้อมบ้านผม ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ผมทำผิดเรื่องลักของ หรือเรื่องอื่นใด

เปิบพิสดารลูกหนูตัวแดง ๆ
เปิบพิสดารลูกหนูตัวแดง ๆ
ต้องการดูรายละเอียดรูปภาพไปที่ http://bit.ly/1dKUfy3
          9. ความยากจนขัดสนเป็นสาเหตุทำให้ผมทำผิดหรือไม่
          ความยากจนขัดสน เป็นสถานการณ์ที่ผู้ที่ต้องประสบคิดตอบโต้ได้ต่างวิธีกันไป หากแบ่งกลุ่มคนที่ประสบภาวะยากจนขัดสนคร่าว ๆ จะได้ 2 กลุ่ม กลุ่มแรก คิดไม่ถูกหลักเหตุและผล คิดว่า ความยากจนขัดสนเป็นความโชคร้าย เกิดจากกรรมเก่าที่ทำมา ต้องมารับใช้กรรมในชาตินี้ ยอมรับชะตากรรมว่า ตัวเองไม่ว่าจะทำความดียังไง ขยันยังไง ก็ต้องเผชิญกับความยากจนขัดสนถาวรตลอดไป ไม่มีทางหลุดรอดไปได้ แล้วนั่งรอนอนรอเทวดามาโปรด วันที่ 1 กับวันที่ 16 ขอฝันตรง ๆ 3 ตัวบน 2 ตัวล่าง ไม่ต้องกลับ จะได้รวยลืมตาอ้าปากได้ซะที ระหว่างนี้ มีเล่นอะไร กู้นอกระบบ กู้รอบทิศ ไม่คำนึงว่าจะมีปัญญาหามาใช้เค้าได้หรือไม่ ถ้าบังเอิญมีหนทางใดที่คิดว่า อาจจะทำให้ลืมตาอ้าปากได้ แม้เป็นการทำผิดกฎหมายร้ายแรง คนกลุ่มแรกพร้อมทำทันที เพราะคิดอยู่เสมอว่า ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ทำผิดเพิ่มขึ้นอีกซักอย่าง 2 อย่างจะเป็นไรไป คนกลุ่มแรกนี้เป็นกลุ่มที่ทำความผิดต่าง ๆ เช่น ค้ายาเสพติด ลักทรัพย์ รับจ้างฆ่า ฯลฯ ตามแต่แวดวงที่เกี่ยวข้องกับตัวจะชักนำไป หรือความถนัด คนกลุ่มนี้คิดถึงแต่ก้าวเดินที่จะพบในช่วงสั้น ๆ ข้างหน้า ไม่ได้มองยาวต่อไปถึงผลบั้นปลาย ธรรมดาของคนทำความผิด ช่วงแรก ๆ มีความระมัดระวัง กลัวคนรู้เห็น พอทำบ่อยเข้า ความเคยชิน ความย่ามใจว่า ทำผิดแล้วไม่เห็นมีใครจับได้ ทำให้เกิดความชะล่าใจ แล้วการทำผิดหลายครั้งหลายหน คนที่รับรู้การกระทำนั้นก็มากขึ้นทุกขณะ คนที่รู้บางคนก็นิ่งเฉย บางคนรู้สึกว่า การกระทำของคุณนำความเดือดร้อนมาสู่สังคม เค้าทนไม่ได้ เค้าก็แจ้งตำรวจมาจับกุมคุณไปดำเนินคดี รับใช้กรรมทันตาที่เห็นกันในชาตินี้ ไม่ต้องรอนาน คนคิดผิดเหล่านี้ต้องชดใช้กรรมแทบทั้ง 100 % ทีเดียว มีที่หลุดรอดไปได้เล็กน้อยก็พวกม่องเท่งล่วงหน้าสบายไปก่อนนั่นเอง สำหรับคนอีกกลุ่มคือ กลุ่มที่ 2 นั้น คิดอีกแบบนึง คิดแบบมีเหตุผล คิดว่า คนเราเลือกเกิดไม่ได้ คนที่เกิดในครอบครัวยากจนขัดสน จะมีเงินทองใช้จ่ายสบาย ๆ คงเป็นไปได้ยาก คนพวกนี้อาจคิดเหมือนกับกลุ่มแรกว่า เป็นความโชคร้าย เป็นกรรมเก่าที่ทำมา ทำให้ตัวต้องเกิดมาในครอบครัวยากจนขัดสน แต่ไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา คิดว่า ถ้าขยันทำมาหากิน ค่อยเก็บหอมรอมริบ ซักวันนึงจะลืมตาอ้าปากได้ มีงานอะไรให้ทำทำ ไม่เลือกงาน เพราะคนเกิดมาขัดสนจะให้มีการศึกษาดีเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว หลบไม่พ้นต้องทำงานขายแรงกาย จะไปหวังงานสบายผลตอบแทนเยอะ ๆ คงเป็นไปไม่ได้ ทำไปเก็บไป ค่อย ๆ ก่อร่างสร้างฐานะให้ดีขึ้น อย่างที่เราเห็นข่าวในสังคมที่คนสร้างตัวขึ้นมาจากครอบครัวยากจนขัดสน จนประสบความสำเร็จร่ำรวยขึ้น แต่ที่กล่าวมา ผมขอบอกเลยว่า น้อยคนจริง ๆ ที่จะทำได้ คนที่มีสภาวะแวดล้อมยากจนขัดสนแต่แรก มันจะมีปัจจัยคอยฉุดดึงไม่ให้เจริญมาพร้อมกันหมดหลายอย่าง สภาพแวดล้อมที่โตมา ก็จะเต็มไปด้วยอาชญากรรม เพื่อนฝูงก็มีพื้นฐานยากจนขัดสน ชวนกันทำผิดเท่าที่ทำได้ อย่าว่าแต่จะร่ำรวยขึ้นมา แค่เอาตัวรอดคุกผมก็ว่าเก่งแล้ว ดังนั้น ความยากจนขัดสน เป็นต้นเหตุสำคัญอันนึง ที่นำพาคนที่ต้องประสบ ให้ดิ้นรนต่อสู้จนอาจถลำไปทำสิ่งผิด ๆ ขึ้นมา
          ครอบครัวผม แม้ไม่ใช่ครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย แต่ต้องถือว่าไม่ใช่ครอบครัวยากจนขัดสน ถึงแม้จะถูกไฟไหม้บ้านไปครั้งนึง ป่าป๊ากับแม่ผมก็ดิ้นรนต่อสู้จนผ่านมันไปได้ ป่าป๊ากับแม่ช่วยกันคนละไม้คนละมือ หารายได้มาจุนเจือครอบครัว ป่าป๊าต้องบุกเบิกทำอาชีพผลิตลูกชิ้น แม่ต้องรับราชการ มีรายได้สามารถดูแลพวกผมได้เป็นอย่างดี มีการพาออกไปเล่น ไปหาของกินนอกบ้านออกบ่อย เวลาพวกผมอยากซื้อขนม ส่วนใหญ่ถ้ามีเหตุผลพอ ก็จะให้ตังค์ไปซื้อไม่เคยขัด ดังนั้น ความยากจนขัดสน ไม่ใช่สาเหตุทำให้ผมต้องไปลักตังค์ ลักของ หรือทำความผิดอื่นใด
          โดยสรุปสาเหตุที่ทำให้ผม หรือเด็ก หรือเยาวชนอื่น ๆ หลงทำผิด หลายสิ่งหลายอย่างทั้งเรื่อง ลักทรัพย์ ค้ายาเสพติด หรือกระทำผิดทางเพศ ฯลฯ คือ
          1. ตัวของเด็ก หรือเยาวชนเอง
               1.1. มีความคิดที่ผิด คิดได้ไม่ละเอียด รอบคอบ ถูกต้อง เป็นเหตุเป็นผล เมื่อคิดผิดอย่าหวังว่าการกระทำซึ่งเป็นกระบวนการต่อจากการคิด จะถูกไปได้ มันก็จะก่อให้เกิดการทำผิดสิ่งต่าง ๆ มากมายไปหมด เท่าที่ความคิดมันจะคืบคลานไปถึง จากตัวอย่างเรื่องจริงของผมที่หยิบยกมา ผมคิดว่า ลักของเค้าแล้วเราไม่ต้องเสียตังค์ซื้อ เค้าไม่น่าจะรู้เห็นทำอะไรเราได้ คุณก็รู้อยู่ว่า เป็นจริงอย่างที่คิดมั้ย โดนจับได้แทบทุกครั้ง คิดว่าทำระเบิดขวด ซื้อปืนเถื่อนมาเก็บไว้ยิงเล่นสนุก ๆ ไม่น่าจะเป็นอะไร เก็บไว้ดี ๆ ก็ไม่มีใครรู้ แล้วเป็นไง โดนแก๊ประเบิดซะแทบตาบอดหูหนวก ถูกป่าป๊าเอาปืนไปทิ้งน้ำ คิดว่าเล่นการพนันเก่งแล้วจะมีรายได้อยู่อย่างสบาย โทษที ตังค์เติงหมดแทบจะแย่งข้าวหมารับประทานก็เคย
               1.2. ความไม่รู้ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ สามารถชักนำให้ทำผิดได้ การกระทำต่าง ๆ เด็ก หรือเยาวชนอาจไม่รู้เลยว่ามันเป็นเรื่องที่ผิด ด้วยไม่เคยพบเห็นเรียนรู้ หรือบางเรื่องรู้ว่าเป็นเรื่องไม่ดี แต่ก็รู้เพียงผิวเผิน ไม่รู้หรอกว่ามันไม่ดียังไง ไม่รู้หรอกว่า การลักของทำให้ตนเองเสื่อมเสียชื่อเสียง ไม่เป็นที่ไว้ใจของคนทั่วไป แล้วอาจถูกจับดำเนินคดี ส่งตัวไปอบรมที่สถานพินิจ และคุ้มครองเด็ก ไม่รู้หรอกว่า การมีปืน มีระเบิด อาจทำให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตตนเอง และผู้อื่น และอาจถูกดำเนินคดีอีกเช่นกัน แล้วเรื่องเล่นการพนัน ถ้ายังคลุกเล่นอยู่ อย่าหวังว่าจะลืมตาอ้าปากได้ ชีวิตก็จะต้องจมอยู่กับหนี้สินรุงรังไปจนกว่าจะเลิก หรือม่องเท่งไปนั่นแหละ
               1.3. ความต้องการที่ไม่เคยพอ ความโลภ ความชอบ หรือความหลงใหลคลั่งไคล้ของเด็ก ตอนเด็ก ๆ เวลาอยากได้อะไร อยากซื้ออะไร อยากไปเที่ยวที่ไหน มันโลภอยากได้อยากซื้ออยากเที่ยวไปหมด ใครจะมาขวางก็ไม่ยอม ไม่รู้หรอกว่า พ่อแม่ผู้ปกครองมีภาระต้องนำตังค์ไปใช้จ่ายธุระจำเป็น ไม่มีเหลือเยอะพอจะใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายได้ แล้วพ่อแม่ผู้ปกครองก็ต้องการฝึกวินัยการใช้จ่ายให้กับลูกหลาน ให้ใช้จ่ายอย่างมีวินัย โตไปจะได้ไม่ลำบาก เมื่อความโลภ ความอยากแบบเด็ก ๆ ไม่ได้รับการตอบสนอง ก็เลยทำให้เกิดพฤติกรรมผิด ๆ เช่นการลักของขึ้นมาอย่างผม
               1.4. มีความเลวสันดานเป็นโจรติดตัวมาตั้งแต่เกิด คนที่เกิดมาเป็นโจรแบบนี้มีน้อยมากในสังคม แต่มีน้อยไม่ใช่ไม่มี ถ้าคน ๆ นั้น เกิดมามีสภาพเป็นโจรตั้งแต่เกิดแบบนี้จริง ๆ จะน่ากลัวมาก เพราะเค้าจะทำผิดได้โดยไม่รู้สึกผิดชอบชั่วดี ถ้าฆ่าคนก็ฆ่าได้โดยไม่กระพริบตา
          2. คนที่แวดล้อมรอบตัวเด็ก หรือเยาวชน
               2.1. พ่อแม่ผู้ปกครอง ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงเด็ก หรือความรู้ที่เกี่ยวข้องอันจำเป็นต่อการเลี้ยงดู ทำให้เลี้ยงเด็กโดยเว้นระยะห่างไม่เหมาะสม เมื่อเด็กได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างไม่ถูกต้องครบถ้วน เข้มงวด หรือปล่อยปละผิดธรรมดาเช่นนี้ มีโอกาสที่เด็ก หรือเยาวชนจะมีพฤติกรรมติดตัวผิดเพี้ยนไปจากความต้องการของสังคมได้สูง
               2.2. ครูบาอาจารย์เป็นผู้มีหน้าที่โดยตรง ในการอบรมสั่งสอนเด็ก หรือเยาวชน ให้เด็ก หรือเยาวชนมีความรู้ ความคิด ความประพฤติดีเป็นไปตามความต้องการของสังคมส่วนรวม ถ้าครูบาอาจารย์ไม่ยึดมั่นต่อหน้าที่ ไม่เคร่งครัดจริงจัง ต่อการถ่ายทอดวิชาความรู้ ความคิดดี ๆ แก่เด็ก หรือเยาวชน เด็ก หรือเยาวชนจะขาดความรู้ที่เหมาะสม มีความคิดไม่ถูกต้องครบถ้วนมีเหตุมีผล จนก่อความผิดได้มากมายสารพัดอย่าง ตามแต่โอกาสจะอำนวยทีเดียว
               2.3. เพื่อนชักจูง ทำให้เกรงใจ กลัวว่า ถ้าหลบเลี่ยง พยายามบ่ายเบี่ยงไม่ยอมทำตามสิ่งที่กลุ่มเพื่อนต้องการ เพื่อนจะรู้สึกไม่ดี เพื่อนจะหาว่ากลัว ปอดแหก ไม่กล้า เกิดการต่อต้านไม่ยอมรับจากกลุ่มเพื่อน เลยต้องทำผิดไม่ว่าจะอยาก หรือไม่อยากทำก็ตาม
          3. สิ่งแวดล้อมที่เด็ก หรือเยาวชนอาศัยอยู่
               3.1. สังคม สิ่งแวดล้อม คือสิ่งที่เด็ก หรือเยาวชนต้องอยู่ และเกี่ยวข้องด้วยตั้งแต่เกิดจนโต การอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี คนแวดล้อมก็ไม่ดี การถูกดึงเข้าสู่วงการร่วมเป็นหนึ่งในขบวนการทำผิดต่าง ๆ ย่อมเป็นไปโดยง่าย
               3.2. ความยากจนขัดสน เมื่อมันมาตีสนิทกับคุณ มันจะนำพาปัจจัยฉุดรั้งความเจริญมาลดแลกแจกแถมให้ครบเซ็ต โอกาสดิ้นหลุดจากแวดวงแห่งความยากจนขัดสนนั้นแสนยาก คนเราส่วนใหญ่ เมื่อจะเป็นคนดีตามที่สังคมต้องการยากนัก มักจะโดดไปในทางตรงข้ามให้รู้แล้วรู้รอดไปซะเลย
          เมื่อรู้ถึงสาเหตทั้งหมดที่ผม และเด็ก หรือเยาวชนอื่น ๆ ก้าวถลำทำผิดไปแล้ว แนวทางการป้องกันไม่ให้เด็ก หรือเยาวชนรุ่นหลังทำผิด ทำได้ด้วยการมุ่งไปแก้ที่ต้นเหตุ เมื่อเด็ก หรือเยาวชนคิดไม่ถูกต้อง ครบถ้วน มีเหตุมีผล ก็ต้องพยายามเติมความคิดที่ถูกต้อง ครบถ้วน มีเหตุมีผลเข้าไป เมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองขาดความรู้เฉพาะ ความรู้ทั่วไป เกี่ยวกับการเลี้ยงเด็ก หรือเยาวชน ก็ต้องพยายามขวนขวายศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม หรือกรณีสิ่งแวดล้อม เพื่อนฝูงของเด็ก หรือเยาวชน น่าจะทำให้เด็ก หรือเยาวชนหลงทำผิดได้ง่าย ก็ต้องพยายามหาทางไม่ให้เด็ก หรือเยาวชน มีโอกาสเข้าไปวนเวียนอยู่ในสิ่งแวดล้อมอย่างนั้น ไม่มีโอกาสเข้าไปคลุกคลีตีโมงกับเพื่อนที่ความประพฤติไม่ค่อยดีได้ง่าย ๆ ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็แล้วแต่สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเด็ก หรือเยาวชน เป็นกรณี ๆ ไป เมื่อรู้ว่า ต้นเหตุน่าจะเกิดจากอะไร ก็มุ่งตรงไปแก้ที่จุดนั้น ปัญหาที่เกิด หรือกำลังจะเกิด ก็จะเบาบาง หรือหมดไป และอาจมีวิธีการเสริมให้การป้องกันมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นอีกดังวิธีการ ต่อไปนี้
 
ถูกดำเนินคดีเมื่อทำการค้ายาเสพติด
ถูกดำเนินคดีเมื่อทำการค้ายาเสพติด
ต้องการดูรายละเอียดรูปภาพไปที่ http://bit.ly/1nfvQqE
          แนวทางการป้องกันไม่ให้เด็กหรือเยาวชนหลงผิด
          1. ให้พ่อแม่ผู้ปกครองระลึกอยู่เสมอว่า เด็ก หรือเยาวชนมีอายุน้อย อ่อนด้อยประสบการณ์ ความรู้ด้านต่าง ๆ อันจำเป็นต่อการใช้ชีวิตก็มีน้อย เมื่อจะต้องคิดตัดสินใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยตัวเอง กรณีพ่อแม่ผู้ปกครองไม่อยู่ด้วย (พ่อแม่ผู้ปกครองไม่ได้ผูกตัวติดกับเด็ก หรือเยาวชน เด็ก หรือเยาวชนจะได้มีที่ปรึกษาอยู่ตลอดเวลา) โอกาสทำสิ่งที่ผิดย่อมมีสูง ดูตัวอย่างจากผมสิ ทำความผิดสารพัด ความผิดขนาดมีโทษจำคุกยังกล้าทำ ความผิดเล็กน้อยที่ผมไม่สามารถสาธยายได้หมดอีกเพียบ (แอบตกปลาในบ่อเค้ามั่ง เอาหนังสะติ๊กยิงกระจกหน้าต่าง หรือหลังคาบ้านเค้ามั่ง ฯลฯ) เมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองไม่สามารถผูกติดไปดูแลเด็ก หรือเยาวชนได้ตลอดเวลาอย่างนี้ ก็ต้องทำให้เค้ามีความคิดติดตัวไปอย่างถูกต้องให้มากที่สุด (เท่าที่สังเกต ผมคิดผิดเลยทำให้ทำผิด ถ้าคิดถูกซะแต่ต้น ผมอาจจะไม่ทำผิด หรือทำผิดน้อยลงก็เป็นได้) เป็นอาวุธในการต่อสู้เอาตัวรอดจากสังคมอันโหดร้าย
          การติดอาวุธทางปัญญาแก่เด็ก หรือเยาวชน อย่าเน้นเพียงความรู้ทางวิชาการอย่างเดียว ความรู้ทั่วไปด้านต่าง ๆ ตลอดจนการเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ชีวิต ก็เป็นสิ่งจำเป็นต้องให้เรียนรู้ไว้ (วิชาชีวิตนี้ไม่มีสอน เด็ก หรือเยาวชนจะเรียนรู้ได้ก็ต้องได้รับการเสียสละถ่ายทอดให้ฟังจากผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ จากรุ่นส่งต่ออีกรุ่น) และอย่าใช้วิธีการถ่ายทอดเด็ก หรือเยาวชนเพียงวิธีใดวิธีหนึ่ง จนเกิดสภาพจำเจ และเบื่อหน่าย การถ่ายทอดให้เด็ก หรือเยาวชน ได้รับสิ่งดี ๆ เกิดสติปัญญา หลักความคิดถูกต้อง ครบถ้วน มีเหตุมีผล วิธีการหนึ่งที่ดีมาก เด็ก หรือเยาวชนเต็มใจ เรียนรู้ทำตามไปโดยไม่รู้ตัว และหลักการ แนวคิด วิธีการต่าง ๆ จะติดตัวเค้าไปได้ตลอดชีวิต วิธีการนั้นก็คือ การเป็นตัวอย่างชีวิตที่ดีให้แก่เด็ก หรือเยาวชน ได้เห็นจริง ๆ ในชีวิตประจำวัน เด็ก หรือเยาวชนจะซึมซับ คุ้นเคยกับพฤติกรรมของพ่อแม่ผู้ปกครองที่อยู่ใกล้ชิด รับการถ่ายทอดความคิด สติปัญญา ความรู้ต่าง ๆ การเอาตัวรอด จดจำได้ติดตัว สามารถนำไปใช้ประโยชน์จริงกับชีวิต จะเห็นความจริงในเรื่องนี้ว่า ถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองเป็นต้นแบบที่ดีให้แก่ลูกหลาน เด็ก หรือเยาวชนในปกครอง จะเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ มีหลักคิดถูกต้อง ครบถ้วน มีเหตุมีผล แต่ถ้าเป็นไปในทางตรงกันข้าม เด็ก หรือเยาวชนในปกครอง จะมีจุดจบคาดเดาไม่ได้ยิ่งกว่าละครหักมุม 180 องศา ทุกเรื่องที่เคยปรากฏ
          ทางด้านการศึกษาเล่าเรียน ให้ส่งเสียลูกหลานเข้าเรียนตามสมควรแก่ฐานะ และความเหมาะสม ถ้าฐานะพ่อแม่ผู้ปกครองไม่ดีเท่าไหร่ ก็อย่าถึงกับทุ่มเทส่งลูกเรียนโรงเรียนมีชื่อจนถึงกับต้องกู้หนี้ยืมสินมา อาจเกิดปัญหาในระยะยาว เมื่อไม่มีทุนรอนที่จะส่งเรียนต่อไป ลูกหลานอาจต้องออกจากโรงเรียนเป็นที่น่าเสียดาย ควรส่งเรียนเท่าที่ฐานะพอจะส่งเสียได้ ไม่ก่อภาระมากเกินไป แล้วในเรื่องความเหมาะสม ถ้าต้องเลือกโรงเรียนที่อยู่ใกล้บ้าน กับโรงเรียนดังที่อยู่ไกล ก็แล้วแต่ว่าครอบครัวของคุณจะเหมาะกับอย่างไหนกว่ากัน ถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองต้องไปทำงานทางเดียวกับโรงเรียนดังที่อยู่ไกล เด็ก หรือเยาวชนเรียนที่โรงเรียนนั้นก็อาจจะเหมาะสมกว่า ทั้งการเดินทางก็ไม่มีปัญหา ชื่อเสียง ผลงานของโรงเรียนก็ดีกว่า โอกาสที่เด็ก หรือเยาวชนจะเรียนได้ดีก็จะมีสูงกว่า แต่ถ้าโรงเรียนดังอยู่ไกล เด็ก หรือเยาวชนต้องเดินทางไกล ใช้เวลามาก หรืออาจต้องเช่าหอพักอยู่ ก็อาจไม่เหมาะสมกับลูกหลาน ส่งเรียนโรงเรียนใกล้บ้านก็อาจเหมาะกว่า  ก็แล้วแต่ความเหมาะสมของแต่ละครอบครัว ที่ไม่เหมือนกัน  เท่าที่ผมสังเกตมา โรงเรียนมีส่วนกับการเรียนของเด็ก หรือเยาวชนบ้าง แต่ไม่มากเท่าตัวเด็ก หรือเยาวชนเอง ถ้าเด็กหัวดี เรียนเก่ง จะเรียนโรงเรียนมีชื่อ ไม่มีชื่อก็เรียนดีวันยังค่ำ แต่ถ้าเด็กหัวไม่ดี ไม่ขยัน ดันส่งเรียนโรงเรียนมีชื่อเสียง เรียนไม่เท่าไหร่ก็อาจถูกเชิญไปเรียนที่อื่น เพราะไม่สามารถเรียนให้ทันเพื่อนได้ก็ได้ เหมือนเราทำร้ายเด็ก หรือเยาวชน ดังนั้น ขอให้พิจารณาเรื่องความเหมาะสมเป็นประเด็นสำคัญในการเลือกที่เรียนด้วย
          ขอเสนอแนะว่า ถ้าเป็นเรื่องถ่ายทอดความรู้ทุกสิ่งอย่างแก่เด็ก หรือเยาวชนแล้ว พ่อแม่ผู้ปกครองควรทุ่มทุนสร้างให้เยอะเท่าที่จะสามารถเลยทีเดียว (เอาเท่าที่สามารถนะ ถ้าเกินความสามารถ หรือขนาดต้องทุ่มหมดหน้าตัก เหลือเพียงกางเกงลิงตัวเดียวล่ะก็ ขอกรุณาอย่าทำ เดี๋ยวเด็ก หรือเยาวชนจะเรียนไม่จบฉิบ) อย่าไปคิดเสียดาย เพราะถ้าเด็ก หรือเยาวชนมีความคิดที่ถูกต้อง รอบคอบ ครบถ้วน มีเหตุมีผล พ่อแม่ผู้ปกครองแทบจะเลิกกังวลกับอนาคตของเค้าไปได้เลย

โรงเรียนของเราน่าอยู่
โรงเรียนของเราน่าอยู่
ต้องการดูรายละเอียดรูปภาพไปที่ http://www.thaigoodview.com/node/105886
          2. ให้ความสำคัญกับคนทุกรุ่น
          เด็ก หรือเยาวชนเมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่สร้างครอบครัวเอง ย่อมต้องรับอิทธิพลส่วนมากมาจากพ่อแม่ผู้ปกครองในครอบครัวเดิม ถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองที่เป็นผู้เลี้ยงดูอบรมเด็ก หรือเยาวชนมีคุณสมบัติประจำตัว ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็ก และอย่างอื่นที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม น่าจะเลี้ยงดูเด็ก หรือเยาวชน โตขึ้นมาตรงตามความต้องการของตน และสังคม ถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองขาดคุณสมบัติ มีคุณสมบัติไม่เหมาะสม ขาดความรู้ด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง การเลี้ยงเด็กให้ได้ผลตามแนวทางที่ตน และสังคมต้องการน่าจะทำได้ยาก หรือทำไม่ได้เลย ดังนั้น ก่อนจะทำให้เด็ก หรือเยาวชน ประพฤติตนไปตามแนวทางที่สังคมต้องการ เราต้องมาเริ่มกันตั้งแต่ผู้ใหญ่รุ่นพ่อแม่ผู้ปกครองเสียก่อน ทีนี้การจะทำให้คนรุ่นพ่อแม่ผู้ปกครองนี่มีคุณสมบัติ และความรู้เกี่ยวกับการอบรมเลี้ยงดูเด็ก และที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม มันก็ต้องขึ้นกับคนรุ่นก่อนรุ่นพ่อแม่ผู้ปกครองไปอีก มันจึงเป็นปัญหาลูกโซ่ต่อเนื่องกันมาแต่ต้น ถ้าคนรุ่นก่อนเป็นคนไม่ค่อยเหมาะสม มันก็จะส่งผลไปยังรุ่นต่อไป และท้ายที่สุดก็มาถึงรุ่นเด็ก หรือเยาวชนปัจจุบันที่จะได้รับผลจากคนรุ่นพ่อแม่ผู้ปกครองของตนเป็นสำคัญ
          จากความสำคัญดังกล่าวมา พ่อแม่ผู้ปกครองคงไม่ต้องย้อนเวลาหาอดีต กลับไปแก้ไขสิ่งต่าง ๆ แล้วถึงมาอบรมเด็ก หรือเยาวชน พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถทำได้ทันที ด้วยการหมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็ก และความรู้ด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอยู่เสมอ เพื่อนำความรู้ที่ได้มาปรับปรุงคุณสมบัติประจำตัว ให้เหมาะสมกับการอบรมเลี้ยงดูลูกหลาน และสามารถเป็นแบบอย่างอันดีให้แก่ลูกหลานเอาไปเป็นตัวอย่างต่อไป  พ่อแม่ผู้ปกครองควรรักษาบรรยากาศในครอบครัวให้เป็นไปอย่างอบอุ่น ไม่สร้างปัญหาความแตกแยกภายในครอบครัว มุ่งมั่นเสริมสร้างทำให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ตามแนวทางที่ตน และสังคมต้องการ และควรบอกสิ่งสำคัญตามที่กล่าวมา ให้ระลึกไว้อยู่เสมอว่า คนทุกรุ่น และทุกคนในครอบครัว มีผลอย่างมากที่จะทำให้เด็ก หรือเยาวชนรุ่นต่อไป ประสบความสำเร็จ หรือล้มเหลว ทุกคนจึงมีหน้าที่รักษาตนให้เป็นคนมีหลักการ และเหตุผลอย่างถูกต้อง อันจะส่งผลดีต่อไปยังเด็ก หรือเยาวชนรุ่นต่อไปและต่อไป
          3. เดินทางสายกลาง ที่ผมบอกแล้วว่า การเลี้ยงดูเด็ก หรือเยาวชน จะเลี้ยงอย่างใกล้ชิด เป็นห่วงมากตลอดเวลาไม่ได้ จะปล่อยปละละเลยมากก็ไม่ได้ จะต้องอบรมเลี้ยงดูเว้นระยะห่างให้พอดี เปรียบก็เหมือนการเลือกเดินทางสายกลาง ระหว่างความเข้มงวดกับการปล่อยปละ แล้วตรงไหนล่ะคือตรงกลาง นี่แหละคือสุดยอดของปัญหาการเลี้ยงดูเด็ก หรือเยาวชน เราจะดูแลเค้าให้พอดีได้ยังไง
          พ่อแม่ผู้ปกครองรู้ดีว่า ไม่อาจปฏิเสธได้เลย เวลาเลี้ยงลูกหลานแล้วโตขึ้นมาประกอบไปด้วยคุณงามความเลว ไม่มีความดีปน (เห้.. ไม่มีตะกวดปน) ว่า เราไม่ใช่คนต้องรับผิดชอบ พ่อแม่ผู้ปกครอง คือ ผู้มีอาชีพเลี้ยงเด็กโดยปริยาย อาชีพเลี้ยงเด็กนี่เป็นงานหนักหนาสาหัสขนานแท้ ไม่มีผลตอบแทนเป็นเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง แถมยังต้องทุ่มงบประมาณการอบรมเลี้ยงดูเข้าไปมากมายมหาศาล โดยยังไม่สามารถคาดเดาอะไรได้เลยว่า ลูกเต้าที่เป็นผลผลิตจะเติบโตขึ้นมาเป็นคนดี มีผลตอบแทนคุ้มค่ากับการลงทุนลงแรงที่ได้ทำไปมากน้อยเท่าไหร่ มีศาสตร์ และศิลป์มากมายในการที่จะเลี้ยงดูเด็กให้ได้ดี เค้าต้องเรียนรู้กันตั้งแต่ระดับต้น ๆ ต่อเนื่องกันไปจนจบปริญญาเอก ก็ยังศึกษาไม่จบไม่สิ้น แต่คนที่จะมาเป็นพ่อแม่ผู้ปกครองบางคู่บางคน อาจยังไม่เคยเป็นคนเลี้ยงดูเด็ก หรือเยาวชนแม้เพียงสมัครเล่น การศึกษาก็ไม่ได้เรียนเป็นชิ้นเป็นอัน ดันต้องมาประกอบอาชีพเลี้ยงเด็กก็เพราะอยากจะสร้างครอบครัว อยากมีลูกหลานไว้สืบสกุล หรือเรียกใช้ได้ยามเจ็บป่วยแก่เฒ่า พ่อแม่ผู้ปกครองที่ยังไม่เคยผ่านแม้กระทั่งการเลี้ยงดูเด็ก หรือเยาวชนแบบสมัครเล่น ที่ต้องโดดลงไปประกอบอาชีพเลี้ยงเด็กจำเป็น ย่อมขาดทักษะความรู้สำคัญที่จำเป็นต่อการเลี้ยงดูเด็ก หรือเยาวชนให้ได้ดีอย่างเหมาะสม ทั้งที่ความเป็นจริง พ่อแม่ทุกคู่ทุกคน ควรจะมีในระดับมืออาชีพทีเดียวที่จะทำให้เลี้ยงดูเด็ก หรือเยาวชนได้ดี ที่พูดมานี่ไม่ได้หมายความว่า บรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องไปเรียนปริญญาเอก หรือเรียนรู้จากผู้มีประสบการณ์ จนสำเร็จครบถ้วนเสียก่อนแล้วถึงจะมาเลี้ยงดูเด็ก หรือเยาวชน คงไม่ทันการณ์แน่ ในเบื้องต้น ขอเพียงให้พ่อแม่ผู้ปกครองมือใหม่ทั้งหลายพยายามขวนขวายศึกษาหาความรู้ที่จำเป็นในการเลี้ยงดูเด็ก จากสื่อต่าง ๆ หรือจากผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์การเลี้ยงลูกที่ดีอย่างสม่ำเสมอ เราก็จะค่อย ๆ เพิ่มคุณสมบัติดี ๆ ให้ตัวเองได้มีความรู้ วิธีการดี ๆ เอามาเป็นอาวุธสำคัญ สำหรับใช้ในการเลี้ยงลูกให้ได้ดีต่อไป ค่อย ๆ เรียนรู้ ค่อย ๆ อบรมดูแลเด็กไป พัฒนาไปทีละขั้น ก็จะทำให้เลี้ยงดูเด็ก หรือเยาวชนได้อย่างเหมาะสมเอง
          การอบรมเลี้ยงดูเด็ก หรือเยาวชนวิธีการนึงที่ใช้ได้ผลดี สมาชิกในครอบครัวจะมีทัศนคติที่ดีต่อกัน บรรยากาศในครอบครัวสบาย ๆ ไม่ตึงเครียด วิธีการนั้นก็คือ การปกครองแบบเพื่อนกับเพื่อน (เดิมเราคุ้นเคยการปกครองแบบพ่อกับลูก เจ้านายกับบ่าวไพร่ ฯลฯ การปกครองแทบทุกอย่าง เน้นการปกครองจากบนลงล่าง ผู้มีอำนาจเหนือปกครองผู้ด้อยกว่า แม้การปกครองแบบพ่อกับลูก ที่เราถือว่า เป็นการปกครองที่ความใกล้ชิดทางสายเลือด และปฏิสัมพันธ์ที่มีต่อกัน น่าจะทำให้การปกครองแบบพ่อกับลูกเป็นการปกครองที่ดีที่สุด แต่ความจริงไม่เป็นอย่างนั้น ด้วยวัยวุฒิ และคุณวุฒิ พ่อแม่ผู้ปกครองถือว่า เด็ก หรือเยาวชนอายุยังน้อย ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาไม่เท่าไหร่ น่าที่จะมีความคิดสติปัญญาไม่ดีพอจะนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ เด็ก หรือเยาวชนไม่ค่อยมีสิทธิมีเสียงต่อการปกครอง ทั้ง ๆ ที่ตนเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงทีเดียวในฐานะผู้ถูกปกครอง ทุกรูปแบบการปกครอง ผู้เหนือกว่า เป็นฝ่ายกำหนดกฎเกณฑ์ลงมาปกครองผู้ต่ำกว่าทั้งนั้น การปกครองแบบเพื่อนกับเพื่อน จึงเป็นการปกครองแบบประยุกต์ เปรียบได้กับผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครองมีระดับเสมอกัน มีสิทธิมีเสียงในการเสนอความต้องการ เจรจา ปรึกษาหารือ เรื่องต่าง ๆ ในครอบครัวได้เท่าเทียมกัน แต่ระบบนี้ก็ไม่ใช่จะทำกันได้ง่าย ๆ เนื่องจาก วัยวุฒิ คุณวุฒิ มุมมอง ฯลฯ ของผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครองแตกต่างกันมาก ต้องมีความพยายามในการปรับเปลี่ยนให้สื่อถึงกัน และสามารถเข้าใจกันได้ จึงจะปกครองระบบนี้ได้) การปกครองแบบเพื่อนกับเพื่อนนี้ ได้มาจากการสังเกตการปกครองครอบครัวอื่น ๆ กับครอบครัวผมเอง เราจะพบความจริงว่า พ่อแม่ผู้ปกครองกับเด็ก หรือเยาวชน ไม่จำเป็นที่จะต้องอบรมสั่งสอนกันแบบผู้เหนือกว่าอบรมสั่งสอนผู้ต่ำกว่าเสมอไป ใช่ จังหวะที่เด็ก หรือเยาวชนยังเล็ก หรือขณะภาวะทางสติปัญญาอารมณ์ ยังไม่มั่นคงหนักแน่นเพียงพอ การอบรมสั่งสอนอาจต้องใช้กฎระเบียบ ข้อบังคับค่อนข้างมาก กำหนดลงไปให้เด็ก หรือเยาวชนกระทำตามไปเลย เพื่อสะดวก และประหยัดเวลาในการอบรมสั่งสอน เพราะเด็ก หรือเยาวชนยังคิดได้ไม่ละเอียด รอบคอบ ครบถ้วน มีเหตุมีผลเพียงพอ ที่จะเรียกร้องสิ่งต่าง ๆ ตามความต้องการของตน แต่เมื่อเด็ก หรือเยาวชนเริ่มมีภาวะทางความคิดสติปัญญา อารมณ์ใจคอหนักแน่นเพียงพอในระดับใกล้เคียงกับผู้ใหญ่แล้วล่ะ เค้าจะมีความคิดละเอียด รอบคอบ ครบถ้วน มีเหตุผลมากขึ้น และรู้ความต้องการของตัวพอที่จะเรียกร้องได้ การที่เราจะใช้กฎข้อบังคับ การลงโทษ อำนาจที่เหนือกว่า ในการอบรมสั่งสอนอย่างเดียวก็จะเริ่มไม่เหมาะสม การที่จะอบรมเลี้ยงดูเด็ก หรือเยาวชน ในฐานะผู้ปกครองกับผู้อยู่ใต้อำนาจปกครองเพียงอย่างเดียว อาจได้ผลไม่เป็นไปตามความต้องการของผู้ใหญ่ เพราะถูกต่อต้าน หรือดื้อเงียบก็เป็นได้ การปกครองแบบเพื่อนกับเพื่อนนี้ จะมาเติมเต็มการปกครองระบบอื่นให้ดียิ่งขึ้น พ่อแม่ผู้ปกครอง เคยชินต่อการอบรมสั่งสอนลูกหลานตอนเค้าเป็นเด็ก ขณะนั้นเค้าจำเป็นต้องพึ่งพาผู้ใหญ่ ไม่สามารถปกครองตัวเองอยู่โดยลำพังได้ พ่อแม่ผู้ปกครองก็จะเคยชินกับการอบรมสั่งสอนแบบนั้น เด็ก หรือเยาวชน โตขึ้นขนาดไหน พ่อแม่ผู้ปกครองก็ยังคงเห็นเค้าเป็นเด็ก คอยจ้ำจี้จ้ำไชอบรมสั่งสอนเค้าในลักษณะเดิม อย่าลืม เด็ก หรือเยาวชน ไม่ว่าชาย หรือหญิง เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น วัยแห่งความเปลี่ยนแปลง จะมีช่วงเวลาหนึ่ง เค้าจะเลี่ยงไม่อยากใกล้ชิดผู้ใหญ่ ไปไหนมาไหนกับพ่อแม่ผู้ปกครองก็จะอาย ไม่อยากเข้ามาเดินด้วยใกล้ ๆ เพราะรู้สึกเขิน หากจะมีใครมองว่า โตแล้วยังต้องมีพ่อแม่ผู้ปกครองมาคุมเหมือนลูกแหง่อีก แต่เค้าก็จะเป็นของ เค้าเพียงช่วงระยะเวลาเดียว หลังจากโตขึ้นอีกหน่อย ก็จะกลับสนิทสนมกับพ่อแม่ผู้ปกครองเหมือนเดิมตามปรกติ และเมื่อเค้าโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เค้าก็จะมีความรู้สึกนึกคิด สติปัญญา ความมีเหตุมีผลของตัวเองในเรื่องต่าง ๆ มากขึ้น พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องรู้ และทำความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ให้ดี ภาวะเมื่อเด็ก หรือเยาวชนปรับตัวเข้าสู่วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ การอบรมเลี้ยงดูพวกเค้าจะต้องเปลี่ยนไป จะมาอบรมเลี้ยงดูเหมือนเค้าเป็นเด็ก หรือเยาวชนอยู่ไม่ได้แล้ว คนเมื่อเริ่มโต จะเริ่มมีตัวตน อัตตา ความนึกคิด ความต้องการของตนเอง  ถ้าพ่อแม่ผู้ปกครอง ยังอบรมสั่งสอนแบบเด็ก หรือเยาวชนอยู่อีก จะไม่เหมาะสม อาจเกิดผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามความต้องการได้
          สมาชิกในครอบครัว มีปฏิสัมพันธ์ในลักษณะเพื่อนจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ละฝ่ายไม่เข้าไปสั่งการ ควบคุม ลงโทษกัน เพื่อนจะไว้ใจเพื่อน เชื่อว่าเพื่อนเข้าใจ เห็นใจ เป็นพวกเดียวกัน พร้อมที่จะช่วยกันได้เสมอ (เด็ก หรือเยาวชนจำนวนมาก ไม่กล้าปรึกษาหารือเรื่องต่าง ๆ กับพ่อแม่ผู้ปกครอง เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองไม่มีความเป็นเพื่อน คอยแต่จะสั่ง เข้มงวดกวดขัน การเข้มงวดกวดขันแต่พอดี จะเกิดประโยชน์ แต่ถ้ายิ่งเข้มงวดกวดขันมากขึ้นเท่าไหร่ ให้รู้เถอะว่า คุณกำลังผลักให้เด็กออกห่างจากคุณไปหาอะไรก็ได้ที่เค้าไว้ใจ ไม่คอยเข้มงวดกับเค้าตลอดเวลาอย่างคุณ) สามารถปรึกษาหารือกันได้ตลอดเวลา ทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเล็กน้อย หรือใหญ่โตเพียงใด สิ่งสำคัญที่สุดของการปกครองแบบเพื่อนกับเพื่อนนี้ ก็คือ ผู้ปกครองกับผู้ใต้ปกครองต้องรับฟังซึ่งกัน และกัน (การปกครองแบบอื่น อาจจะไม่มีตรงนี้ ผู้เหนือกว่า จะใช้อำนาจความเป็นพ่อแม่ผู้ปกครอง สั่ง หรือบังคับเอากับเด็ก หรือเยาวชน ไม่รับฟังข้อเรียกร้อง ถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองไม่ชอบ ไม่พอใจ ขอให้ผู้ที่เป็นพ่อแม่ผู้ปกครองคำนึงให้มากในจุดนี้ ถ้าเราเข้มงวดกวดขันลูกหลานมาก ไม่ว่าคุณจะเข้มงวดเล่น เข้มงวดจริง คุณรู้มั้ย บรรยากาศในครอบครัวอันอึมครึมได้เกิดขึ้นแล้ว ขณะที่คุณกับเด็กหรือเยาวชนอยู่ด้วยกัน คุณจะไม่เห็นบรรยากาศที่ลูกหลานถามโน่นถามนี่ หัวเราะต่อกระซิก หยอกล้อกันเลย เวลาอยู่พร้อมหน้ากัน คุณจะพบกับความเงียบสนิทระหว่างสมาชิก คุณถามคำ เค้าตอบคุณคำ  อยู่กันเหมือนมีรังสีอำมหิตกระจายรายล้อมอยู่รอบตัว ภาวะการณ์อย่างนี้ ผมบอกได้เลยว่า ลูกหลานคุณกำลังจะหนีห่างไปจากคุณ คุณจะไม่ใช่ตัวช่วยสุดท้ายของเค้า ในขณะที่เค้าจะหันไปหาไปพึ่งพิงในขณะที่เค้ามีปัญหาอีกต่อไป เค้าจะหันไปพึ่งใครก็ได้ในโลก ที่พร้อมจะรับฟังปัญหาของเค้า (ไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือเค้าหรอก บางทีแค่รับฟังเค้าเค้าก็พอใจ มีทางได้ระบายความอึดอัดคับข้องใจแล้ว) เราจะเห็นเด็ก หรือเยาวชนจำนวนมาก ที่เค้ามาสามัคคีชุมนุมรวมอยู่ด้วยกัน โดยปราศจากการรู้เห็นของผู้ใหญ่ ก็เพราะเค้าไม่สบายใจเมื่ออยู่กับพ่อแม่ผู้ปกครองนั่นเอง (ผมขอยกตัวอย่างอันสะเทือนใจคล้ายแบบนี้เรื่องนึง ตอนนั้นผมอยู่ กองกำกับการสวัสดิภาพเด็ก และเยาวชน มีหน้าที่ต้องคอยควบคุมตรวจสอบเด็ก หรือเยาวชน ที่ประพฤติตนไม่เหมาะสม ผมได้รับแจ้งจากชายกลางคนคนหนึ่งว่า มีเด็ก หรือเยาวชนกลุ่มหนึ่ง มั่วสุมกันลำพังที่บ้านเช่าหลังนึงแถบพระโขนง โดยมีเด็กหญิงคนนึงที่เป็นลูกสาวมั่วสุมอยู่ด้วย ช่วยไปตรวจสอบให้ที ผมกับลูกน้องในชุดสายตรวจ รีบเดินทางไปตรวจสอบ พอไปถึงบ้านตามที่เค้าแจ้ง เห็นเด็กอายุประมาณ 15 - 16 ขวบ 4 คน เป็นชาย 1 คน หญิง 3 คน อยู่อาศัยรวมกันในบ้านหลังนั้น สอบถามแต่ละคนต่างก็หนีออกจากบ้านมากันทั้งนั้น ไม่ได้ประกอบอาชีพอะไร ใครพอมีเงินก็เจียดมาให้เพื่อนได้กินได้ใช้ ที่ต้องหนีออกจากบ้าน เพราะอยู่กับพ่อแม่ผู้ปกครองแล้วไม่สบายใจ ชอบดุด่าเฆี่ยนตีโดยไม่มีเหตุผลเป็นประจำ เมื่อผมกับพวกตรวจสอบเจอเด็กพฤติกรรมไม่เหมาะสมมั่วสุมกันเพียงลำพังอย่างนี้ ก็ต้องเรียกผู้ปกครองมารับทราบพฤติกรรมของเด็ก หรือเยาวชน แล้วแนะนำให้เอาใจใส่ลูกหลานให้ใกล้ชิดกว่านี้ ลูกหลานจะได้ไม่หนีออกจากบ้านอีก แล้วจึงให้รับกลับบ้านไป เด็ก 3 คน ขอกลับไปอยู่กับพ่อแม่ผู้ปกครองที่มารับตามปรกติ แต่เด็กหญิงคนนึงที่เหลือ บอกกับพวกผมว่า ไม่อยากกลับไปอยู่กับพ่อแม่ผู้ปกครองอีก เพราะพ่อชอบดุด่าทุบตีโดยไม่มีเหตุผล พวกผมเมื่อรับทราบข้อมูลจากเด็กแบบนั้นก็บอกกับเด็กว่า ถ้าไม่อยู่กับพ่อแม่ต้องไปอยู่สถานแรกรับเด็กหญิงบ้านพญาไทนะ พูดคล้ายกับขู่นิด ๆ ผมคิดว่าถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากอยู่สถานสงเคราะห์หรอก สำหรับเด็กหญิงคนนี้ ยังไม่บรรลุนิติภาวะ อันจะถือเป็นผู้ใหญ่ตามกฎหมาย ถ้าไม่อยู่กับพ่อแม่ ก็จะต้องรับการสงเคราะห์เข้าไปอยู่สถานรับเลี้ยงเด็ก หรือเยาวชน ไม่สามารถปล่อยให้เค้าอยู่ตามลำพัง หรือเป็นไปตามยถากรรมได้ แล้วการเป็นเด็กหญิงอย่างนี้ ผมคิดว่าไง ๆ อยู่กับพ่อแม่ผู้ปกครอง น่าจะปลอดภัยกับตัวเด็กมากกว่า ขณะนั่งรถพาพ่อกับเด็กหญิงกลับหน่วยงาน ได้แวะเข้าไปที่สถานแรกรับเด็กหญิงบ้านพญาไท อยากให้เด็กหญิงได้เห็นสถานที่แล้วอาจจะเปลี่ยนใจ ไม่อยากอยู่สถานสงเคราะห์แล้วกลับไปอยู่กับพ่อแม่ก็ได้ พอพาเข้าไปในสถานแรกรับเด็กหญิง ได้ดูสถานที่ กฎระเบียบในการอยู่ ที่เด็กหญิงต้องอยู่ในบังคับไม่อาจไปไหนมาไหนได้อิสระเหมือนเดิม ผมคิดว่าเด็กหญิงเห็นกฎระเบียบแล้ว น่าจะไม่อยากอยู่เลยสอบถามอีกทีว่า จะยอมกลับไปอยู่กับพ่อแม่ผู้ปกครองมั้ย พ่อแม่เค้าอบรมสั่งสอนเราก็ด้วยความรักอยากให้เราได้ดี ถ้าอยู่สถานสงเคราะห์มีกฎระเบียบมากมายแบบนี้ลำบากนะ จะไปไหนมาไหนตามใจแบบเดิมอีกก็ไม่ได้ เด็กหญิงนั้นรับฟัง แต่ก็ยังไม่อยากกลับไปอยู่บ้านอยู่ดี พ่อของเด็กเข้ามาพูดอยากให้ลูกสาวกลับไปอยู่บ้านตามเดิม จะปรับเปลี่ยนไม่ลงโทษมาก แต่เด็กหญิงก็ต้องปรับปรุงพฤติกรรมให้ดีขึ้น เท่าที่เด็กหญิงหนีออกจากบ้านมานี้ไม่ถูกต้อง ถ้าขอโทษพ่อเพียงคำเดียวก็ไม่ต้องอยู่สถานสงเคราะห์ กลับไปอยู่บ้านตามเดิมได้ พวกผมกับพ่อของเด็กหญิงช่วยกันพูดโน้มน้าว ยกแม่น้ำทุกสายมาพูดยังไง ๆ เด็กหญิงก็ยังยืนกรานเหมือนเดิม ในท้ายที่สุด พวกผมใช้เวลาเกลี้ยกล่อมมามากแล้ว รู้สึกว่า ถ้ายืดเยื้อต่อไป จะเป็นการเสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ ๆ  ผมยื่นคำขาดครั้งสุดท้าย ผมคิดว่า เด็กหญิงน่าจะรู้สึกลำบากใจในการที่จะต้องอยู่สถานสงเคราะห์นะ ใจนึงคงอยากกลับบ้าน เพียงติดอยู่หน่อยที่ต้องขอโทษพ่อนี่แหละ เดี๋ยวก็คงจะยอมกลับเองเมื่อคิดได้แล้ว แหมผมก็ต้องปิดการขายเหมือนกันนะ ใช้เวลาเรื่องเดียว คุยกันทั้งวันไม่จบเดี๋ยวจะหาว่า ไม่มีงานอื่นทำอีกแล้วหรือไง
          จบตอน ปรัชญาชีวิตจริงจากความผิดพลาดของประสบการณ์ชีวิตในอดีต บทวิเคราะห์ ตอนที่ 2 ตอนต่อไปจะเป็นบทวิเคราะห์ตอนที่ 3 ซึ่งจะเป็นตอนสุดท้ายของบทความเรื่อง ปรัชญาชีวิตจริงจากความผิดพลาดของประสบการณ์ชีวิตในอดีต ซึ่งคุณสามารถติดตามได้ในเร็ว ๆ นี้

          หน้าแรก          เกี่ยวกับฉัน          กลับสู่ด้านบน


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สวัสดีครับทุกท่าน กรณีที่ท่านติดตามชมบล็อกของผมแล้วต้องการแสดงความคิดเห็น ผมเปิดกว้างสำหรับทุกท่าน ขอความกรุณาแค่แสดงความคิดเห็นให้ตรงกับเนื้อหาของผม กรณีจะแสดงความคิดเห็นที่ไร้สาระ ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาเลย ได้โปรดอย่าทำเลยครับ ผมขี้เกียจลบ ขอบคุณมากครับ

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น