วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2557

เห็นแต่ฝุ่นในตาคนอื่น ซุงในตาตัวเองมองไม่เห็น ตอนที่ 1

          แต่โบร่ำโบราณมา ผู้ใหญ่ หรือผู้ที่มีวัยวุฒิสูงกว่า ชอบยกเอา สุภาษิตคำพังเพย ที่ว่า "สันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก" มาพูดเพื่อให้ผู้รับฟังส่วนใหญ่ที่อ่อนวัยกว่า หรือคนที่อยู่แถว ๆ นั้น ที่สามารถได้ยินไปด้วย จะได้ฉุกคิด และแก้ไข พฤติกรรม ที่มักเป็นไปในทางลบ เช่น ทำงานมีหัวไม่มีท้าย ทำงานหยาบไม่ละเอียด ชอบนินทาว่าร้ายคนอื่น ฯลฯ ให้แก้ไข หรือ พยายามแก้ไข พฤติกรรม ต่าง ๆ ที่ไม่ดีเหล่านั้น ในขณะที่ มันยังไม่ฝังรากลึกจนกลายเป็นสันดานไป (พฤติกรรมไม่ดี ที่ทำแรก ๆ อาจไม่รู้ว่าไม่ดี หรือ คิดว่าไม่เป็นไร ต่อเมื่อทำจนเคยชิน เหมือนเป็นเรื่องปรกตินั่นแหละ นิสัยมันกลายร่างเป็นสันดานไปแล้ว การจะมาปรับเปลี่ยน หรือ ละเลิกการกระทำตามสันดาน จะทำได้ยากมาก) 
          
          จาก ประสบการณ์ชีวิต ที่ผ่านมา 47 ฤดูฝนของผม พอจะได้เห็น นิสัย ของคนมามาก มีสิ่งที่น่าเป็นห่วงอยู่หลายอย่างหลายประการ 

หากปล่อยให้ คงนิสัยไม่ดีต่าง ๆ เหล่านั้นไว้ต่อไป กลัวว่า นิสัย มันจะกลายร่างเป็น สันดาน ที่ยากต่อการขุดฝังทำลายทิ้ง ผลเสียไม่ไปตกกับใครที่ไหนไกลหรอกครับ สังคมที่มีแต่คนสันดานไม่ดี หรือ มีอยู่เยอะ คนที่อยู่ร่วมสังคมทั้งที่สันดานดี สันดานไม่ดีนั่นแหละ คือ ผู้ที่ต้องรับกรรม นิสัยน่าเป็นห่วง ที่ควรรีบแก้ไข ก่อนกลายร่างเป็น สันดาน ไปมีอะไรบ้าง  เชิญติดตามเรื่องแรกมาทางนี้ได้เลยครับ

          1.  คนจำนวนมาก  มักมีนิสัยชอบมองเห็นแต่ ฝุ่นผงที่อยู่ในตาของคนอื่น   ในขณะที่ซุงทั้งท่อน ที่ติดอยู่ที่ตาของตัวเองกลับมองไม่เห็น
          นิสัยดังกล่าวข้างต้น หมายความว่า คนจำนวนมาก มักมองเห็นแต่ คนอื่นเป็นคนผิดอยู่ร่ำไป ในขณะที่ตัวเอง ไม่เคยทำอะไรผิดซักอย่าง จะขอยกตัวอย่างจากเรื่องจริง ในอดีตอันไกลโพ้น ให้ดูซักเรื่องนึง

         ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว สมัยที่ พระเยซู ยังทรงมีพระชนม์อยู่ ขณะที่พระองค์กับบรรดาสาวกเดินทางผ่านไปถึงดินแดนแห่งหนึ่ง ก็เห็นกลุ่มคนออกันอยู่ มีเสียงเอะอะมะเทิ่ง โวยวายลั่นกันไปหมด เลยเข้าไปดูว่า เกิดอะไรขึ้น พอสอบถามคนที่อยู่ในเหตุการณ์ เลยได้รู้ว่า กลุ่มคนที่มารวมกันอยู่นี้ กำลังมีความโกรธแค้นต่อสตรีผู้หนึ่ง ที่เป็นคนนิสัยไม่ดี มี พฤติกรรม สำส่อนทางเพศ หรือ เป็นหญิงที่มีอาชีพค้าประเวณี กลุ่มคนกลุ่มนี้ มีความประสงค์จะลงโทษหญิงนั้น ด้วยการเอาก้อนหินขว้างใส่ให้ตาย ให้สาสมกับความผิด พระเยซู ทรงดำเนินเข้าไปท่ามกลางฝูงชนเหล่านั้น สอบถามไปยังกลุ่มคนทั้งหมดว่า "หญิงนี้มีความผิดเช่นไร ทำไมถึงอยากจะลงโทษหญิงนี้ ด้วยการเอาก้อนหินขว้างให้ตายด้วยเล่า" กลุ่มคนเหล่านั้นตอบพระองค์ว่า "เพราะหญิงนี้มี ความประพฤติไม่ดี มี พฤติกรรม สำส่อนทางเพศ และ ค้าประเวณี เป็นการกระทำที่ชั่วร้าย สมควรที่จะถูกลงโทษ ด้วยการเอาก้อนหินขว้างให้ตาย ให้สาสมกับความผิด" พระเยซู สอบถามไปยังกลุ่มคนเหล่านั้นว่า

"ในบรรดาพวกท่าน ที่มองเห็นว่า หญิงนี้เป็นคนชั่วร้าย สมควรถูกลงโทษ มีใครซักคนบ้างไหม ที่ไม่เคยทำบาปผิดมาก่อนเลยในชีวิต ถ้ามีใครซักคน ที่ไม่เคยทำบาปผิดมาก่อนเลย ค่อยให้คน ๆ นั้นเป็นคนลงโทษ ด้วยการเอาก้อนหิน ขว้างหญิงนั้นให้ตาย" 

ปรากฏว่า กลุ่มคนที่กระเหี้ยนกระหือรือว่า จะลงโทษหญิงนั้น ไม่มีแม้แต่คนเดียว ที่จะกล้าพูดขึ้นมาว่า ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของตน ไม่เคยทำบาปผิดอะไรมาก่อน เลยไม่มีใครกล้าที่จะเอาก้อนหิน ขว้างใส่หญิงนั้น ต่างคนต่างค่อย ๆ แยกย้ายเลี่ยงหนีไปทีละคนสองคนจนหมด พระเยซู จึงเข้าไปปลอบใจหญิงที่เกือบจะโดนก้อนหินขว้างให้ตาย ให้หายกลัว แล้วแนะนำว่า ให้เลิกทำอาชีพค้าประเวณี เพราะเป็นความผิดบาป ที่ไม่ควรกระทำ หญิงนั้นเข้ามาก้มกราบพระบาท ขอบพระทัยพระองค์ ที่ทรงช่วยชีวิตเอาไว้ รับปากกับพระองค์ว่า จะเลิกทำอาชีพค้าประเวณีตลอดไป แล้วก็เดินจากไปตามทางของตน


หญิงถูกหินขว้างให้ตาย

ขอบคุณรูปภาพจากบล็อก : https://yucekabakci.wordpress.com/

          เรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเรื่องจริงที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิล อันเต็มไปด้วยคำสอนเตือนให้มนุษย์ได้ฉุกคิด หรือรู้สำนึกถึงการกระทำของตนว่า จริง ๆ แล้ว มนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ล้วนทำ หรือเคยทำบาปผิดกันมาก่อนทั้งสิ้น ไม่มียกเว้นแม้แต่คนเดียว (คนที่ไม่เคยทำบาปผิดเลย ก็มีเพียงพระเยซูที่ทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ หรือศาสดาของศาสนาต่าง ๆ แต่อย่าลืมว่า ท่านเหล่านี้จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่มนุษย์ ที่ต้องลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เนื่องจากมีภารกิจสำคัญที่กำหนดไว้แต่เดิม ต้องทำให้สำเร็จลุล่วง (พระเยซู ถูกกำหนดให้ต้องลงมาถูกตรึงตายบน ไม้กางเขน เพื่อไถ่โทษบาปผิดทั้งมวลของมนุษยชาติ จึงจำเป็นต้องบังเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อทำภารกิจดังกล่าวให้สำเร็จ) เพื่อเผยแพร่คำสอน แนวคิด แนวทางการดำเนินชีวิต และช่วยให้มนุษย์ มีโอกาสรอดพ้น จากผลของความบาป เมื่อเสร็จภารกิจ จึงกลับคืนสู่สวรรค์) แต่มนุษย์นี่ก็แปลก การกระทำที่ตัวเองทำผิดพลาด มักจะมองไม่เห็น ไม่พยายามที่จะมองให้เห็น หรือ ไม่รับรู้ ทำอะไรพลาดขึ้นมาที จะมองเห็นแต่คนอื่นผิด หรือ โทษแต่คนอื่นร่ำไป ไม่เคยย้อนมาดูตัวเองหรอก เดินไปเตะชามข้าวหล่นแตก โทษคนอื่นในบ้านทันทีว่า "ใครเอาชามมาวางไว้ตรงนี้เนี่ย นี่มันทางเดินนะ ไม่ใช่ที่ไว้ชาม" หรือ กรณีขับรถชนกัน ทั้งสองฝ่ายมักจะพูดคล้ายกันทำนองว่า ฝ่ายของตัวขับรถมาดี ๆ จู่ ๆ อีกฝ่ายก็ขับรถเข้ามาชน (ดูดิ รถมีกันอยู่สองคัน แล้วมันขับระวังกันทั้งสองฝ่าย ไม่มีคนผิดเลย สงสัยตำรวจที่กำลังจะมาตรวจที่เกิดเหตุ กับคนดูล่ะมั้ง ที่เป็นคนผิด) ดูคนที่เตะชามข้าวน่ะ ควรจะโทษคนอื่นมั้ย ชามมันก็วางของมันอยู่ดี ๆ มันก็คงอยากจะเดินหลบคนซุ่มซ่ามอยู่หรอก แต่มันไม่มีขา ก็เลยไม่รู้จะหลบยังไง ในที่สุดก็เป็นไปตามคาด โดนคนซุ่มซ่ามเดินเข้าไปเตะมันแตกจนได้ แล้วเป็นไง โทษคนวางชามก่อนทันที นี่มันอะไรน่ะ เหตุเกิดมาจากตัวเองเดินซุ่มซ่ามไปเตะชามกลับไม่เห็น ไม่รับรู้ซะงั้น คู่กรณีที่รถชนกันก็เหมือนกัน ถ้าขับกันมาดี ๆ ระมัดระวัง แล้วมันจะชนกันมั้ย ฝ่ายที่ขับรถประมาท (การขับรถประมาท คือ การขับรถที่ใช้ความระมัดระวังได้ แต่ไม่ใช้ เข้าซอยแคบ ๆ ควรขับช้า ๆ ไม่สน จะขับเร็วจนไปชนคนอื่นเข้า นี่แหละประมาท ข้างหน้ามีทางร่วมทางแยก ไฟกำลังจะแดง กลัวเสียเวลา ใส่เต็มเหนี่ยว ข้ามแยกไปชนรถชาวบ้าน นี่ก็ประมาท ทั้ง 2 กรณี ผู้ขับขี่สามารถใช้ความระมัดระวังโดยการขับขี่ให้ช้าได้ แต่ก็ไม่ระวัง เมื่อชนคน หรือรถอื่น เกิดบาดเจ็บเสียหาย ย่อมต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างไม่อาจเลี่ยงได้) ย่อมรู้ตัวเองดีที่สุดว่า ตัวขับรถยังไง (มีที่ไม่รู้ว่าตัวขับรถมายังไงก็พวกเมาไง แค่คุณกินเหล้าแล้วขับรถ เค้าก็ตีว่าคุณประมาทตั้งแต่เริ่มขับแล้ว ชนกันเมื่อไหร่ ไม่ต้องไปเถียงใครให้เมื่อยปากเลย) ฝนตก ๆ ดันเหยียบ 160 ดับไฟหน้า พอรถอื่นตัดหน้า หรือเบรคกระทันหันก็โครมเข้าให้ ใครจะไปเบรคทัน แล้วพอชนกันทีไรชอบบอกก่อนเลยว่า "ผม/ดิฉัน ไม่ผิดนะ เนี่ยขับรถมาดี ๆ รถอีกคันขับมาตัดหน้ากระชั้นชิด ก็เลยชนเข้าให้" (คุณจะรู้ตัวบ้างมั้ย การที่คุณขับรถเหยียบ 160 ดับไฟหน้าเกิดเหตุเฉี่ยวชนขึ้น คุณบอกคุณไม่ประมาท แล้วยังไปหาว่า คนอื่นเค้าขับรถตัดหน้ากระชั้นชิดอีก เป็นการไม่รู้สำนึกว่าตัวเองทำผิด แล้วยังใส่ร้ายคนอื่น ที่ไม่ได้ทำผิด อย่างน่าละอายที่สุด แต่อย่างว่า พูดเรื่องรถชน มันมีค่าเสียหายมาเกี่ยวข้อง ถ้ารับผิดง่าย ๆ ต้องจ่ายตังค์ค่าเสียหาย ถ้าผิดเต็ม ๆ คนเดียว อาจจะจ่ายเยอะซะด้วย ในเบื้องต้น เลยต้องเถียงเอาเชิงไว้ก่อนเล็กน้อย ถึงปานกลาง เผื่อเถียงได้ดีชนะจะได้ไม่ต้องเสีย หรือหากจะเสียก็เสียน้อยหน่อย แต่จะบอกให้ ให้คุณให้การเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น แบบพิสดารพันลึก น่าตื่นตาตื่นใจ ซะยิ่งกว่าหนังเรื่องมังกรหยก ผสมอวตาร  พอพนักงานสอบสวนเค้าดูรายละเอียด เรื่องทิศทางการขับขี่ ความเร็ว จุดชน ฯลฯ เค้าก็รู้ความจริงทั้งหมดแล้วว่า คุณ หรือคู่กรณีของคุณ เป็นฝ่ายขับรถประมาท หรือ ประมาทด้วยกันทั้งคู่ (บางทีคุณอาจเคยได้ยินคำว่า "ประมาทร่วม" ผมจะอธิบายข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องเล็กน้อย ความหมายที่ฟัง อาจทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนไปได้ว่า ทั้งสองฝ่ายร่วมกันขับขี่รถด้วย ความประมาท ซึ่งใน ความเป็นจริง ตามสภาพการขับขี่รถ ไม่สามารถร่วมด้วยช่วยกันในการขับขี่อยู่แล้ว การขับรถของทั้งสองฝ่าย เป็นลักษณะต่างคนต่างขับ  การขับขี่รถประมาทของแต่ละฝ่าย จึงเป็นเอกเทศต่อกัน ไม่ได้ร่วมกันขับ และ คำว่า ขับรถประมาท เป็นการขับรถในลักษณะที่ไม่ระมัดระวัง ในภาวะที่สามารถใช้ความระมัดระวังได้ ไม่ได้มีเจตนา หรือ ตั้งใจที่จะก่อเหตุ จึงไม่สามารถร่วมมือกับอีกฝ่าย ขับรถโดยประมาทได้อยู่แล้ว คำว่าประมาทร่วม จึงหมายความถึง การที่ทั้งสองฝ่าย ต่างฝ่ายต่างก็ขับขี่รถกันมา ด้วยความประมาท มาเฉี่ยวชนกันขึ้น เมื่อทั้งสองฝ่าย ต่างก็ประมาทด้วยกันทั้งคู่ ในอุบัติเหตุคราวเดียวกัน ทั้งสองฝ่าย จึงตกอยู่ในฐานะ ผู้ขับขี่รถด้วย ความประมาท เมื่อทั้งคู่ขับรถประมาท อยู่ในเหตุการณ์คราวเดียวกัน ก็เลยเรียกง่าย ๆ เลยว่า ทั้งสองฝ่ายประมาทร่วม ซึ่งไม่ค่อยตรงตาม ความเป็นจริง เท่าไหร่ ใน ความเป็นจริง การประมาทร่วมกันดังกล่าว เป็นการร่วมกันรับผิดชอบ ต่อความเสียหายทั้งมวลที่เกิดจากความประมาทนั้น ใครประมาทมากต้องรับผิดชอบมาก ใครประมาทน้อย ก็รับผิดชอบน้อย) คุณหลอกเค้าไม่ได้หรอก ถ้าเค้าไม่เต็มใจให้หรอก เมื่อเค้าชี้ว่า คุณประมาท คุณก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายอยู่ดี) คนขับรถเฉี่ยวชน ไม่ค่อยรับรู้หรอกว่า การเฉี่ยวชนนั้น ตัวเองเป็นต้นเหตุ หรือ มีส่วนผิดอยู่ด้วย ส่วนใหญ่ชอบโยนความผิด ให้อีกฝ่ายก่อนเป็นอันดับแรก ต่อเมื่อจำนนด้วยหลักฐาน ถึงยอมรับว่าผิด ยินยอมชดใช้ค่าเสียหาย วิธีการที่คุณกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามก่อน อาจจะเพื่อผลทางคดีอย่างนี้ โดยที่คุณก็ค่อนข้างรู้ว่า คุณน่าจะ หรือ มีส่วนในความประมาทนั้น เป็นวิธีการที่ เราเรียกด้วยภาษาทั่วไปว่า "ตะแบง" "แก้ตัวไปน้ำขุ่น ๆ" หรือ "เอาสีข้างเข้าถู" คือ ในความเป็นจริงแล้ว คุณก็ค่อนข้างจะรู้แหละว่า ตนขับรถค่อนข้างประมาท แต่แทนที่คุณจะยอมรับความจริงตรงนั้น คุณก็ไม่ยอม กลัวว่า ถ้าจะให้ยอมรับผิด อาจต้องชดใช้ค่าเสียหายอ้วกแตก ก็เลยต้องตะแบงอย่างที่บอก การที่คุณตะแบงจะมีประโยชน์อะไรมั้ย ผมว่าก็มีบ้างนะ ตรงที่คุณอาจจะเสียตังค์ช้าลงนิด แต่ไอ้เรื่องไม่เสียเลย น่าจะยาก อย่าลืม การที่คุณซึ่งเป็นฝ่ายผิด แล้วคุณบอกคุณไม่ผิด แสดงว่า คุณจะไม่รับผิดชอบ ความเสียหายครั้งนี้ คู่กรณีที่เค้าถูกคุณชน เค้าได้รับบาดเจ็บรถเสียหาย เค้าเสียหายโดยที่เค้าไม่ใช่คนผิดจริง ๆ อยู่ดี ๆ เค้ามาโดนรถคุณชน เค้าต้องจ่ายค่ายาค่าซ่อมรถเอง เค้าจะอยู่เฉย ปล่อยให้คุณรังแกเค้า เค้าจะยอมมั้ย เค้าก็ต้องสู้กับคุณเต็มกำลัง พนักสอบสวนก็เหมือนกัน การที่คุณให้การเค้าขัดกับความจริง เค้าสงสัย เค้าก็ต้องสอบสวนทวนความ หาความจริงมายันให้ได้ โอกาสที่พนักงานสอบสวนจะไม่รู้ความจริงว่า ใครน่าจะเป็นฝ่ายประมาท น่าจะยาก เค้าก็จะต้องชี้ว่า คุณเป็นฝ่ายประมาท ต้องรับผิดชอบ สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ดี กลายเป็นว่า ถ้าคุณยอมรับแต่ต้นตามความจริงว่า คุณเป็นฝ่ายประมาท การโต้เถียงขัดแย้งกัน ระหว่างคู่กรณีก็จะไม่มี อาจมีการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน แต่ก็ตกลงกันได้ง่าย แล้วก็เสียน้อยกว่าที่คุณจะตะแบง จนมีเรื่องของศักดิ์ศรีแทรกเข้ามาจนจบไม่ลงก็ได้



ขับขี่รถยนต์ชนกันโดยประมาท
ขอบคุณรูปภาพโดย : มติชนออนไลน์

          แม้แต่เรื่องหญิงค้าประเวณีที่เกือบจะถูกลงโทษ ทั้งที่ชายที่เป็นผู้ซื้อบริการ เป็นผู้ก่อให้ผู้อื่นกระทำผิด รู้ทั้งรู้ว่า ความต้องการทางเพศของตัว ทำให้ตัวต้องไปซื้อบริการจากหญิง เป็นต้นเหตุก่อให้หญิงทำผิดค้าประเวณีขึ้น แต่ผู้ชายก็จะมองไม่เห็น ไม่พยายามมองให้เห็น หรือ ไม่รับรู้ว่า ความผิดที่หญิงค้าประเวณี ส่วนหนึ่งเป็นความผิดมาจากตัวเองด้วย พอมีการสอบสวนทวนความว่า เรื่องที่เกิดขึ้น ใครสมควรได้รับโทษ ก็โยนความผิดให้หญิงไปเต็ม ๆ คนเดียว คุณลองพิจารณาดูเถอะ ก่อนที่หญิงจะค้าประเวณีได้ จะต้องมีผู้ซื้อก่อน ถ้าไม่มีคนซื้อ หญิงนั้นจะไปค้าประเวณีกับผีทะเลที่ไหนกัน แต่ดูสิครับ คนที่จะถูกลงโทษ ดันเป็นหญิงผู้ค้าประเวณี จะถูกก้อนหินขว้างให้ตายอยู่เพียงคนเดียว แล้วไอ้คนที่ซื้อบริการจากหญิงนั้น ไม่ถูกก้อนหินขว้างด้วยล่ะ ถ้าการกระทำของหญิงนั้นผิด บรรดาผู้ชายทั้งหลายที่เคยใช้บริการหญิงนั้น ผมไม่คิดว่า จะมีเพียงคนหรือสองคนหรอก น่าจะเยอะทีเดียว พวกเค้าจะไม่ผิดไปด้วยเหรอ ทีนี้อาจจะเป็นว่า ดินแดนแห่งนั้น เค้าเข้มงวดกับเฉพาะผู้หญิง ไม่ให้มีพฤติกรรมค้าประเวณี ใครฝ่าฝืน จะต้องถูกลงโทษสถานหนัก ด้วยการเอาก้อนหินขว้างให้ตาย ส่วนผู้ชายผู้ซื้อไม่มีความผิด (ผมดูกฎข้อนี้แล้วแหม่ง ๆ นะ ถ้าไม่อยากให้มีการค้าประเวณี น่าจะห้ามทั้งผู้หญิง และผู้ชาย นี่กลับลงโทษเฉพาะผู้หญิง ผมเลยสรุปว่า กฎข้อนี้ น่าจะออกโดยผู้ชายผู้มีอำนาจเป็นฝ่ายออกแน่ ถ้าผู้หญิงออก กฎไม่น่าเป็นแบบนี้) เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมเชื่อว่า ในกลุ่มคนที่อยากจะลงโทษหญิงนั้น ต้องมีชายที่เคยซื้อบริการหญิงนั้นอยู่ด้วย และเป็นคนยืนยันว่า หญิงนั้นค้าประเวณี โดยไม่สนเลยว่า สิ่งที่ตัวเองบอกออกไป จะส่งผลร้ายอาจทำให้หญิงนั้นตายได้เลยทีเดียว แต่ด้วยธรรมชาติมนุษย์ ไม่เห็นหรอกว่า ตัวเองผู้ซื้อบริการจากหญิง เป็นคนก่อให้หญิงนั้นกระทำผิดเป็นคนเลวด้วย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ น่าจะเป็นเรื่องไม่ชอบมาพากล เรื่องทางเพศเป็นเรื่องลับ อยู่ดี ๆ คงไม่มีใครเอามาพูดกัน มันคงมีเหตุอะไรซักอย่าง ที่ทำให้ชายผู้ใช้บริการจากหญิงต้องพูดขึ้นมาว่า หญิงนั้นค้าประเวณี อาจจะเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด พ้นมลทิน หรือได้ประโยชน์บางอย่างจากการพูดนั้นก็เป็นได้ (ที่ผมสรุปว่าดินแดนแถวนั้น ไม่ลงโทษชายผู้ซื้อบริการ มันมีเหตุผลอยู่ ถ้ามีการลงโทษผู้ชาย เราจะไม่มีทางรู้เลยว่า หญิงนั้นค้าประเวณี เพราะจะไม่มีผู้ชายที่ซื้อบริการจากหญิงนั้น พูดขึ้นมาแม้แต่คนเดียว ขืนพูดก็ถูกลงโทษด้วย ใครจะพูดล่ะ)
          จากตัวอย่างที่หยิบยกมา เห็นได้ชัดเลยใช่มั้ยว่า คนเตะชาม คนขับรถประมาทชนคนกับรถอื่น และชายผู้ซื้อบริการ คือ คนประเภทที่มองเห็นแต่คนอื่นผิด ตัวเองไม่เคยผิดนั่นเอง

          เรามาดูคนทั้งหมดที่เกี่ยวข้องอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนี้ แต่ละฝ่ายคิดเห็นกันยังไงกับความผิด และการลงโทษหญิงที่ค้าประเวณี

          1. หญิงผู้ถูกกล่าวหาว่าค้าประเวณี อาจทำผิดจริง ไม่จริง หรือ ยังไม่ได้พิสูจน์ความผิดให้แน่ชัดก็ตาม ต้องตกอยู่ในฐานะลำบากซะก่อนแล้ว พูดอะไรก็ไม่ออก จะพูดอะไรออกไป นอกจากคนไม่รับฟัง ยังหาว่า "แก้ตัวไปน้ำขุ่น ๆ" เมื่อมีการกล่าวหาว่า มีการกระทำผิดเกิดขึ้น คนฟังมักจะเชื่อไปก่อนแล้วว่า คน ๆ นั้น ทำผิดจริง โดยที่ยังไม่ต้องไปฟังเหตุผลความเป็นจริง เมื่อเชื่อว่าคนเค้าทำผิด ขั้นตอนต่อไป ก็ต้องมาคิดว่า แล้วจะลงโทษกันยังไง สังคมยุคโบราณ พิพากษาลงโทษกันค่อนข้างมั่ว ใครซวย ๆ ถูกกล่าวหา ยังไม่ทันพิสูจน์ความผิดว่าจริงเท็จยังไง ก็อาจจะถูกก้อนหินขว้างตายไปก่อนแล้วก็ได้ การกลั่นแกล้ง การลงโทษ อย่างไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นได้ง่าย (สมัย แม่มด เฟื่องฟู คนถูกกล่าวหาว่าเป็น แม่มด ถูกเผาตายทั้งเป็นกันบานตะไท คุณดูข้อกล่าวหาสิ มั่วดีมั้ย ถ้าปัจจุบันกล่าวหากันแบบนี้ คนกล่าวหาน่ะแหละ โดนเอาตัวไปโรงพยาบาลบ้าก่อนเป็นอันดับแรก) นั่นจึงเป็น เหตุผลในการกำเนิดกระบวนการยุติธรรมขึ้นมา แม้กระบวน การยุติธรรม มันอาจจะไม่ยุติธรรม 100% เต็มก็ตาม แต่อย่างน้อย ๆ ก็ยังมีกรรมการตัดสิน มีกรรมวิธีนำพยานหลักฐานของแต่ละฝ่าย มาสนับสนุนข้อต่อสู้ของฝ่ายตนอย่างชัดเจน ซึ่งก็ดีกว่า ที่จะมาตัดสินกันเองอย่างมหาศาลแหละน่า
          หญิงที่ถูกกล่าวหา คิดยังไงกับความผิดที่ถูกกล่าวหา และโทษที่กำลังจะได้รับ ไม่ต้องสงสัยเลย หญิงคนนี้ ต้องคิดปลงอย่างเดียวว่า "ในเมื่อตัวเองยากจน จะไปทำมาหากินอื่นก็ไม่เป็น เมื่อเค้าจับได้ว่าทำผิด ก็ได้แต่อ้อนวอนขอชีวิต แต่ดูท่าแต่ละคน มันอยากเอาก้อนหินขว้างใส่เราเสียเหลือเกิน วันนี้คงไม่รอดแล้ว ไง ๆ ขอให้ตายไว ๆ หน่อยแล้วกัน จะได้ไม่ต้องทรมาน" หมดหนทาง ไม่มีทางอื่นอีกแล้วที่จะรอด จะวิ่งหนี หรือหันมาสู้ ก็ไม่น่าจะเป็นทางออกที่ดี อาจเร่งให้ตายเร็วขึ้นอีก
          2. ชายผู้เป็นพยานบุคคลยืนยันว่า หญิงดังกล่าวผิด ชายผู้ยืนยันความผิดหญิงนี้ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องมี 1 คน ชายดังกล่าว ต้องเคยซื้อบริการจากหญิงนั้นมาแล้ว จึงสามารถยืนยันได้ว่า หญิงนั้นค้าประเวณี (การค้าประเวณีนี้ เป็นเรื่องที่ทุกสังคมมองเป็นเรื่องไม่ร้ายแรง ไม่ว่าประเทศเจริญแล้ว หรือยังไม่เจริญ ต่างก็มีการค้าประเวณี แทรกตัวอยู่ร่วมสังคมตลอดมาแต่โบราณ เพียงแต่ว่า บางประเทศ มองเป็นเรื่องร้ายแรง ต้องใช้กฎหมายควบคุมบังคับเข้มงวด บางประเทศกลับไม่ผิดกฎหมาย อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับพื้นฐานทางสังคมของแต่ละประเทศ) ผมไม่รู้ว่า ชายผู้ซื้อประเวณีตามเรื่องที่เกิดขึ้น มีความต้องการทางเพศเอง จึงไปซื้อบริการ หรือ ทำแบบเดียวกับที่ตำรวจไปล่อซื้อยาเสพติด ต่างกันตรงที่ งานนี้ ไปล่อซื้อให้หญิงนั้นขายบริการ (การล่อซื้อ หรือการล่อให้คนอื่นกระทำผิด สมัยนั้นไม่น่าจะมี น่าจะเป็นวิธีการ ที่นำมาใช้เมื่อไม่นานมานี้ ถ้าชายซื้อบริการจากหญิง เป็นการล่อซื้อ เพื่อจับกุมปราบปราม ก็ต้องถือว่า ฝ่ายชายไม่มีส่วนทำให้หญิงทำผิด ที่ทำไปเพื่อปราบปราม และ กระทำตามกฎหมายเท่านั้น) ดังนั้น ในเรื่องนี้ ชายน่าจะซื้อบริการ เพราะตัวเอง มีความต้องการทางเพศเอง เพื่อบรรลุความต้องการ เอาเงินไปซื้อบริการจากหญิง ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่า การกระทำของหญิงเป็นความผิดร้ายแรงโทษถึงตาย ผมถือว่า ชายคนนี้ ควรรับผิดชอบ ต่อการกระทำผิดของหญิงนั้นด้วย เมื่อหญิงค้าประเวณีผิด ชายผู้ซื้อ ก็คือคนสนับสนุนให้เค้าทำผิดนั่นเอง แต่ในเรื่องที่เกิดขึ้น ชายคนดังกล่าว หรืออาจจะหลายคน ที่กล่าวหาหญิงว่า กระทำผิด ไม่สนใจ ไม่รับรู้ว่า ตัวเองมีส่วนในการทำผิด ของหญิงเลยแม้แต่น้อย มีหน้ามาเล่าว่า หญิงนั้นค้าประเวณีเป็นความผิด สมควรถูกลงโทษ โดยอาจจะเตรียมก้อนหินไว้ในมือเตรียมขว้างด้วยก็เป็นได้ ชายคนนี้ หรือกลุ่มนี้ ถือเป็นคน หรือ กลุ่มคนอันตรายที่สุด รู้ทั้งรู้ว่า ถ้าตัวเองไปซื้อบริการจากหญิง เมื่อสังคมรับรู้ หญิงนั้นต้องรับโทษ ถูกก้อนหินขว้างถึงตาย แต่ก็ไม่สน เมื่อตัวมีความต้องการทางเพศ ขอให้ตัวเองเสร็จสมอารมณ์หมายก็พอ ใครจะเป็นจะตายก็ช่าง ไม่สำนึกเสียใจเลยแม้แต่น้อย เมื่อเกิดเหตุร้าย มีการสอบสวนทวนความว่า ใครผิดใครไม่ผิด เพื่อให้ตัวเองรอด หรือ อาจได้ประโยชน์บางอย่าง บางประการ กล้าพูดในสิ่งที่ทำให้คนอื่นรับโทษถึงตาย การอยู่ใกล้คนเหล่านี้ ต้องระมัดระวังให้มาก เพื่อเอาตัวรอด หรือ เพื่อประโยชน์ของตัวเอง เค้าพร้อมจะให้ร้ายคนอื่นได้ทุกเมื่อ
          3. พวกแขกมุง คนทั้งโลกเนี่ย คุณเชื่อผมเหอะ อยากรู้อยากเห็นด้วยกันทั้งโลกแหละ ไม่เฉพาะบ้านเราหรอก เพียงแต่ของเราน่ะ มันค่อนข้างเยอะ จนใครต่อใคร หรือเรากันเองนี่แหละ ให้เกียรติยกย่องเรียกว่า "ไทยมุง" รถชนกันบนถนนฝั่งตรงข้าม รถฝั่งนี้ไม่ได้เกี่ยวเลย ดันติดไปกับเขาด้วย ไอ้เราก็นึกว่า รถมันคงชนกระเด็นข้ามฝั่งมา รถมันเลยติดทั้ง 2 ฝั่ง ไหนได้ ฝั่งนู้นน่ะชนจริง ฝั่งนี้น่ะติดเพราะจอดดู ให้ตายเถอะพระเจ้าจอร์ช
          คนทางตะวันออกกลางเนี่ย ผมขอเหมาเรียกว่า "คนแขก" ทั้งหมดละกัน ผมดูแต่ละคน หน้าตาคล้ายกันหมด ไม่รู้จะแยกคนไหนเป็นคนไหนยังไงจริง ๆ คนแขกเค้าก็ชอบมุงเหมือนเราน่ะแหละ ยิ่งเรื่องที่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายเช่นนี้ด้วยแล้ว เรตติ้งย่อมพุ่งกระฉูด บรรดาแฟนคลับ จะหลั่งไหลมาดูอย่างเนืองแน่น พอมีการกล่าวหาว่า ทำผิดกันแบบนี้ คนที่เข้ามามุงดูส่วนใหญ่ จะรับฟังเรื่องราวจากกลุ่มคนที่มุงอยู่ก่อน รายละเอียดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด จะมาพร้อมกับข้อวิเคราะห์วิจารณ์ ข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ คนเมื่อฟังข้อมูลด้านเดียว ไม่ได้ฟังข้อมูลจากอีกฝ่าย ส่วนใหญ่แล้ว ฝ่ายที่ไม่ได้พูดจะถูกสับเละเป็นโจ๊ก ถ้าประกอบกับคุณเป็นคนหูเบา หรือ แม้จะหูหนัก แต่ยังไม่คุ้นเคยกับการกล่าวหา การแก้ข้อกล่าวหาของทั้งสองฝ่าย หรือไม่ชำนาญในเรื่องวิเคราะห์หา เหตุผล คุณอาจถูกดึงให้เชื่อไปก่อน โดยไม่ทันคิดเรื่อง เหตุผลความน่าจะเป็น กลุ่มคนที่เข้ามาดู และรับฟังเรื่องราวนี้ก็เช่นกัน มักจะเชื่อกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่มุงดูอยู่ก่อน เล่าให้ฟังแล้วก็เชื่อเลยว่า หญิงที่ถูกกล่าวหาว่าค้าประเวณีน่ะ ทำผิดจริงชัวร์ ไม่มั่วนิ่ม (ผมเคยเป็นพนักงานสอบสวน เป็นฝ่ายที่ต้องอยู่ตรงกลาง ระหว่างคู่กรณีทั้งสองฝ่ายมาพักนึง แต่ละฝ่ายต่างก็ว่า อีกฝ่ายนึงเลวอย่างนั้นเลวอย่างนี้ ถ้าคุณเป็น คนหูเบา หรือ ไม่ชำนาญการวิเคราะห์หาเหตุและผล (เรื่องทุกเรื่องต้องมีเหตุผล มีเหตุก่อนแล้วจึงมีผล เรื่องไม่มีเหตุผล ผลเกิดก่อนเหตุ น่าเชื่อว่าไม่เป็นเรื่องจริง) โอกาสที่เราจะเชื่อฝ่ายแรก ที่มาพูดมีสูง เพราะเค้าเป็นฝ่ายเดียว ที่มาเล่าเรื่องให้ฟัง ตามความคิดของคนทั่วไป จะค่อนไปทางเชื่อว่า คนทุกคน มักพูดความจริง แต่ยังก่อนครับ อย่าเพิ่งเชื่ออย่างนั้นมากนัก ในบางสถานการณ์ ยิ่งเมื่อเรื่องราวเกิดเป็นคดีความกันขึ้น การพูดความจริง อาจย้ายนิวาสถานผู้พูดเข้าไปอยู่มุ้งสายบัวอย่างง่ายดาย ดังนั้น ศีลข้อมุสาวาทาเวรมณี อาจถูกพับเก็บเข้ากระเป๋าชั่วคราวก่อนก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้ ผมต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า อย่าเพิ่งเชื่อที่เค้าพูดมา ให้ยึดวิชาฟังหูไว้หูเป็นหลักก่อนเป็นอันดับแรก (อยากให้ทุกคนใช้วิชานี้กันมาก ๆ ทุกวันนี้ เจ้ากรมข่าวลือ เค้าขยันทำงาน ปล่อยข่าวออกมาที ได้ผลเป็นกอบเป็นกำ เขย่าขวัญกันไปทั้งบ้านทั้งเมือง ก็เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้วิชานี้นั่นเอง) อย่าเพิ่งไปเชื่อ ที่เค้าเล่ามาทั้งหมด ไม่งั้นคุณอาจจะต้องเสียใจภายหลัง เพราะคุณอาจเชื่อสิ่งผิด ๆ ที่ไม่มีความจริง ผสมอยู่เลยก็ได้ คุณลองฟังเรื่องจริงนี่ดู แล้วคุณจะรู้ว่า วิชาฟังหูไว้หูนั้นดียังไง


ฟังหูไว้หู

ขอบคุณรูปภาพจาก ;  https://www.trendsmap.com/

          ผมเคยรับฟัง คู่กรณีฝ่ายแรก มากล่าวหา คู่กรณีอีกฝ่ายว่า ทำนั่นไม่ดี ทำนี่ไม่ดี ผมยังเกือบเชื่อเลยว่า คู่กรณีฝ่ายหลังน่าจะทำไม่ดีจริง พอผมหมายเรียกฝ่ายหลังมา ฝ่ายหลังได้โอกาสต่อว่าฝ่ายแรกมั่ง เอาซิครับ ฝ่ายหลังเล่าเรื่องมา อย่างกับหนังคนละม้วนกัน ผมซึ่งตอนแรกคิดว่า ฝ่ายหลังน่าจะมีพฤติกรรมไม่ค่อยดี ไหนได้ฝ่ายแรกน่ะแหละ เลวล้วน ๆ เลย หากินทางทรงเจ้าเข้าผี หลอกต้มชาวบ้านทั่วไปมาตลอด ฝ่ายหลังแท้ที่จริงก็คือ ลูกค้าที่มาใช้บริการนั่นเอง ฝ่ายหลังให้ฝ่ายแรกช่วยเกี่ยวกับพิธีกรรมต่าง ๆ ตามความเชื่อ ฝ่ายแรกก็ทำให้ รับประกันมั่นเหมาะว่า จะได้ผลจริง ฝ่ายหลังก็เชื่อใจ จ่ายเงินจ่ายทองให้หลายกะตังค์อยู่ ผ่านไปซักพัก สิ่งที่ฝ่ายแรกรับประกันว่า ทำพิธีแล้ว จะได้ผลอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่เห็นเป็นจริงตามนั้น พอนานเข้า เริ่มรู้แล้วว่า ฝ่ายแรกทำไม่ได้จริงอย่างที่พูด ที่แท้ก็หลอกต้มคนกินไปวัน ๆ ฝ่ายหลังก็เลยค่อนข้างห่าง ๆ ไป ฝ่ายแรกเคยได้ตังค์จากฝ่ายหลังเยอะ ๆ พอหลัง ๆ มา เห็นฝ่ายหลังตีตัวออกห่าง ไม่ค่อยยอมมาให้หลอกอีก เลยหาเรื่องแจ้งความตำรวจ ให้ดำเนินคดีฝ่ายหลังซะเลย เผื่อขู่ให้กลัวได้ จะได้เรียกร้องตังค์อีกเป็นช็อตสุดท้ายก่อนลาจาก ปรากฏว่า ฝ่ายหลังพอรู้เรื่องว่า ฝ่ายแรกแจ้งความดำเนินคดีตน แปลงร่างกลายเป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อนทันที แจ้งความเรอะ แจ้งก็แจ้งไปดิ ไม่สน จะขอสู้กันให้ถึงที่สุดซักตั้งเถอะน่า ถูกหลอกเสียตังค์มาเยอะแล้ว จะไม่ยอมเสียตังค์ให้อีกแม้แต่สตางค์แดงเดียว แจ้งความกลับ ให้ดำเนินคดีฝ่ายแรกด้วย ผลสรุปออกมาเสมอกัน ฝ่ายหลังได้ไป 2 คดี ฝ่ายแรกก็ได้ไป 2 คดีเช่นกัน (ฝ่ายหลังถูกกล่าวหาด้วยเรื่อง เอาของโสโครกไปสาดใส่บ้านเค้า เป็นคดีลหุโทษ (คดีที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 1,000 บาท) เวลาถูกดำเนินคดี ถูกดำเนินคดีคนเดียว ถูกศาลสั่งปรับเงินเล็กน้อย โทษจำคุกไม่มี ฝ่ายแรก อุตส่าห์ปั้นเรื่องมาใส่ร้ายเค้า คิดว่า แจ้งความก่อนได้เปรียบ ไหนได้ ตัวเองถูกแจ้งความกลับ โดนกล่าวหาเป็นคดีฉ้อโกง (เป็นคดีอยู่ในอำนาจของศาลแขวง มีโทษสูงกว่าคดีลหุโทษ มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ) ถูกจับดำเนินคดีกันยกครัวสามคนพ่อแม่ลูก ศาลสั่งปรับเงินไปเล็กน้อย โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้) เป็นไงครับ ไปหาว่า คนอื่นเค้าทำผิดอย่างนั้นผิดอย่างนี้ โดยไม่ได้มองตัวเอง พอเค้าย้อนเอามั่ง ซวยหนักกว่าเค้าอีก
          จะเล่าขยายความเรื่องตัวพ่อ ซึ่งเป็นหัวโจกของคู่กรณีฝ่ายแรก ผู้เป็นคนเปิดเรื่องให้ฟัง เดิมที แกชอบมาป้วนเปี้ยนแถวโรงพัก เที่ยวเล่าให้ตำรวจฟังว่า คนนั้นเลวอย่างนั้น คนนี้ไม่ดีอย่างนี้ เจอตำรวจอื่นเค้าไม่ใส่ใจ นึกว่า คงจะเป็นคนแก่หลง ๆ เพี้ยน ๆ ละมั้ง เล่าเรื่องให้ใครฟัง เค้าก็ฟังมั่งไม่ฟังมั่งไปตามเรื่อง แล้วก็นิ่ง ไม่ได้ไปทำอะไรต่อ ทีนี้แกคงถึงคราวเฮง ดันมาเล่าให้ผมฟัง ผมมันทนเห็นคนแก่ถูกรังแกไม่ได้ รีบดำเนินการให้เลย ไหนได้ เรื่องกลับตาลปัตร อย่างที่เล่ามาน่ะแหละ หลัง ๆ ได้ข่าวว่าขยาดโรงพักน่าดู ไม่กล้าโผล่มาเดินให้เห็นในรัศมี 100 เมตรอีกเลย เป็นไงครับ ถ้าคุณได้เห็นลักษณะตัวพ่อของฝ่ายแรก แกจะมาพร้อมท่าทางน่าสงสาร อายุก็มาก เล่าเรื่องกล่าวหาคนอื่นได้อย่างไม่กระพริบตา ถ้าคุณไม่ฟังหูไว้หู คุณไม่หลงเชื่อแกไปเต็มเปาแล้วเรอะ
          วกกลับมาเรื่องหญิงค้าประเวณี กำลังจะถูกลงโทษ การกล่าวหากันเป็นการกล่าวหาด้วยคำพูด ยังไม่มีการพิสูจน์ยืนยันอะไรกันจริง ๆ แล้วเรื่องที่กล่าวหามีคนที่รู้จริง และ แน่ใจว่า หญิงนั้นทำผิดหรือไม่ ก็มีเพียงชายกับหญิงคู่กรณีเท่านั้นแหละ ที่รู้ และมั่นใจ หรือ อาจจะมีรู้อีก ก็พวกชายที่เคยซื้อบริการ คนอื่นมากมายที่รายล้อมอยู่ล่ะ แน่ใจแค่ไหนว่า หญิงนั่นค้าประเวณี เรื่องที่กล่าวหากัน ยังไม่ได้รับการพิสูจน์เลยว่า หญิงนั้นผิดจริง (เป็นสมัยนี้ คงต้องให้ แผนกนิติวิทยาศาสตร์อันโด่งดัง ทำการตรวจสอบ อาจต้องตรวจดีเอ็นเอ ตรวจร่อยรอย ตรวจเส้นขน เส้นผม ฯลฯ) สมัยนั้น ก็คงจะพิสูจน์กันด้วยการสังเกต การจับผิด การจับเท็จ การทรมาน (คนถูกทรมาน เมื่อไหร่ก็ต้องรับผิด ถูกถอดเล็บ บีบขมับ ดีดไข่ ฯลฯ ถ้าไม่รับผิดก็บ้าแล้ว) หรือ วิธีการคาดเดา (พูดง่าย ๆ ก็มั่วนั่นเอง) สรุปไปเลยว่า เรื่องที่ถูกกล่าวหาเป็นเรื่องจริง (มีคำกล่าวที่สรุปว่า เรื่องต่าง ๆ เป็นเรื่องจริง ทั้งที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ เป็นเรื่องอันตรายมาก หากคนส่วนใหญ่คิดอย่างนี้ คือคำว่า "ไม่มีมูลหมาไม่ขี้" คือ เรื่องอะไรก็ตามที่กล่าวหากัน พอฟังปุ๊บ เชื่อก่อนแล้วว่า น่าจะจริง ถ้าไม่จริงแล้ว อยู่ดี ๆ ใครเค้าจะมากล่าวหากัน ไม่กลัวบาปกลัวกรรมรึไง นี่ คิดอย่างนี้โคตะระอันตรายเลย คุณอาจทำสวนเจตนารมณ์ ที่เค้าคิดใช้กฎหมายมาอำนวยให้เกิดความยุติธรรม กับสังคมขึ้นมาเลย ที่ว่า "ปล่อยคนผิดสิบคน ดีกว่า จับคนไม่ผิดเพียงคนเดียว" (ปล่อยคนที่ทำความผิดจริง ๆ 10 คนไป ยังดีกว่าที่จะจับคนที่ไม่ได้ทำผิด มาดำเนินคดีแม้เพียงคนเดียว) ส่วนของคุณก็จะเป็นว่า "จับคนไม่ผิดสิบคน ดีกว่าปล่อยคนผิดไปเพียงคนเดียว" (จับคนที่ไม่ได้ทำผิด 10 คน ดีกว่าที่จะปล่อยคนทำผิดไปเพียง 1 คน) หลักการของคุณ จะทำให้บรรดาแพะจำนวนมาก ต้องเดือดร้อน อาจถึงกับสูญพันธุ์ไปเลย ดังนั้นถ้าคุณเป็นห่วงแพะอยู่บ้าง ให้พยายามรับฟังเรื่องราว วิเคราะห์ด้วยเหตุ และ ผล ถ้าสามารถพิสูจน์ความจริงได้ ให้พิสูจน์ก่อน โลกเราเดี๋ยวนี้ มันสับสนวุ่นวาย ความจริง อาจไม่เหมือนสิ่งที่เห็น หรือ ที่ได้ยิน การจะเชื่อ หรือ ไม่เชื่อในสิ่งใด ขอให้ยึดหลักเหตุ และ ผล อย่าสรุปไปก่อน อย่างเรื่องที่ผมเล่ามา เราอาจจะต้องเสียใจภายหลังก็เป็นได้
          พูดมาซะยืดยาว ก็เพื่อจะโน้มน้าวให้เห็นความจริงว่า เรื่องที่กล่าวหาหญิงว่า ค้าประเวณีน่ะ ยังไม่มีการพิสูจน์อะไรกันเลย ก็เตรียมเอาก้อนหินขว้างกันซะแล้ว การจะพิสูจน์ให้รู้ความจริง เรื่องค้าประเวณี ต้องพิสูจน์ให้ได้ความว่า พยานหลักฐานทางชีววิทยาของฝ่ายหนึ่ง เก็บได้จากอีกฝ่ายหนึ่ง เก็บเส้นผม เส้นขน ของฝ่ายชาย ได้จากตัวฝ่ายหญิง หรือ เก็บเส้นผม เส้นขน ของฝ่ายหญิงได้จากตัวฝ่ายชาย ถึงจะเชื่อได้อย่างแน่ชัดว่า ทั้งสองฝ่ายมีการร่วมประเวณีกันจริง เมื่อสองฝ่าย มีการร่วมประเวณีกัน
          โปรดติดตาม "เห็นแต่ฝุ่นในตาคนอื่น ซุงในตาตัวเองมองไม่เห็น" ตอนสุดท้ายตอนที่ 2 ได้ในเร็ว ๆ นี้



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สวัสดีครับทุกท่าน กรณีที่ท่านติดตามชมบล็อกของผมแล้วต้องการแสดงความคิดเห็น ผมเปิดกว้างสำหรับทุกท่าน ขอความกรุณาแค่แสดงความคิดเห็นให้ตรงกับเนื้อหาของผม กรณีจะแสดงความคิดเห็นที่ไร้สาระ ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาเลย ได้โปรดอย่าทำเลยครับ ผมขี้เกียจลบ ขอบคุณมากครับ

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น