ปรัชญาชีวิตจริง บทเรียนจาก ความผิดพลาด ของผมในอดีต ที่อาจถึงขั้นต้องติดคุก
หรือถูกดำเนินคดีได้ แล้วคนที่มีพฤติกรรมเยี่ยงโจรคนนั้น กลับกลายมาเป็นตำรวจ มันเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร
นอกจากที่ผมได้กลับกลายเปลี่ยนชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือ ผมยังเป็นผู้ใหญ่ที่ทำงานอย่างเต็มไปด้วยความรับผิดชอบ ทุกคนไว้วางไจได้ บทความแห่งความผิดพลาด ของผมบทนี้ มีความยาวพอสมควร ผมต้องแบ่งออกเป็น 3 ตอน แต่ขอบอกเลยว่า เป็นอุทธาหรณ์ชั้นดีที่ผมถ่ายทอดให้ทุกท่านได้รู้ว่า อย่าชะล่าใจไป ลูกหลานในปกครองของท่านที่หน้าตาท่าทางเจี๋ยมเจี้ยม ดูเหมือนไร้พิษสงใด ๆ นั่นอาจเป็นภาพที่คุณเห็น ที่แตกต่างไปจากความจริงที่เค้าทำเลยก็ได้
พยายามอ่านให้จบเถอะครับ บทความที่มีประโยชน์อย่างนี้ ไม่ใช่จะหาอ่านได้ง่าย ๆ บทความนี้ เหมาะกับคนที่มีเด็ก หรือ เยาวชนในปกครองได้ลองไปศึกษาดูว่า จะรับมือกับลูกหลานของตัวเองได้ยังไง ไม่ให้เค้าต้องผิดพลาดจนถึงกับต้องออกจากเกมส์ชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย เรื่องเล่าความผิดพลาดจากชีวิตจริงของผม บรรจุอยู่ในบทความนี้รอให้คุณได้มาเก็บเกี่ยว เอาไปใช้เป็นประโยชน์กับตัวเอง ครอบครัว
และคนใกล้ชิด ณ บัดนี้แล้ว
ผมเคยกล่าวไว้ใน บทความ "หลักการอยู่อย่างยิ่งใหญ่ เคล็ดลับการดำเนินชีวิตอย่างเต็มภาคภูมิ" ที่นำเสนอไปก่อนหน้านี้ว่า ปัจจุบัน (ม.ค.2557) ผมมีคุณสมบัติตามหลักการอยู่อย่างยิ่งใหญ่ ตามความหมายเฉพาะของผมครบถ้วน ผมมีมุมมองเห็นตัวเองยิ่งใหญ่ ได้ทำงานที่เหมาะสมกับตัวตน ประกอบอาชีพเป็น ตำรวจ ตามที่ชอบอยากจะเป็นตั้งแต่เด็ก (ตอนเด็ก ๆ ผมชอบปืนมาก เห็นตำรวจพกปืนได้เลยอยากเป็นตำรวจ) แล้วยังมีงานเสริมเป็น นักเขียนบทความ ลงบล็อกของตัวเองตามที่เคยสนใจ หรือชอบมีความสุขกับการทำงานมาก ผมมีสภาพร่างกาย
และจิตใจแข็งแรงมีผลสืบเนื่องมาจากการที่ผม ออกกำลังกาย และ รับประทานอาหาร ครบถ้วนหมวดหมู่มาแต่เด็ก
(ผมกลัวทั้งโรคยอดนิยม และไม่นิยม ที่พร้อมที่จะแวะมาเยี่ยมเยียนเราโดยไม่ได้รับเชิญได้ทุกเมื่อ
ดังนั้น ทุกวิธีการที่จะทำให้เค้าไม่อยากมาเยี่ยมเรา หากทำได้ผมจะทำทันที) หมั่นศึกษาหาความรู้ใหม่
ๆ เพื่อคงสติปัญญาดี ๆ ให้คงอยู่กับเรานาน ๆ ทำงานไปตาม หลักการ และเหตุผล ที่ถูกต้อง
รัก เคารพนับถือ ให้เกียรติ ภาคภูมิใจในตัวเอง และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ และปฏิบัติหน้าที่สำคัญอย่างเคร่งครัด คือ รักษาตัวเองให้อยู่รอดเพื่อชื่นชมชีวิต ไม่ว่าจะทำอะไรสำเร็จ
หรือไม่สำเร็จจากช่วงชีวิตที่ผ่านมา ให้นานตราบเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่คุณรู้มั้ยครับ
แม้ว่าผมซึ่งเดี๋ยวนี้ ประพฤติตัวเหมาะสมไปตามแนวทางการ อยู่อย่างยิ่งใหญ่ ตามความหมายเฉพาะของผมแล้ว
แต่ในอดีตหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ หลายต่อหลายครั้ง ผมเคยทำผิดอย่างที่คิดไปแล้วน่าใจหาย
เพราะการทำผิดหลายครั้งดังกล่าวนั้น มันไม่ใช่ ความผิดพลาดเล็ก ๆ มันมีโทษทางอาญาถึงจำคุกเลยทีเดียว
ถ้าเขาแจ้ง ตำรวจ จับกุมดำเนินคดี อาจเปลี่ยนเส้นทาง ชีวิต ที่ผมมีผมเป็นอยู่ในปัจจุบันไปสู่เส้นทางสายอื่นได้อย่างไม่อาจคาดเดาได้
หมดโอกาสที่จะมีใครมาบอกสำนวนยอดฮิต เวลามีคนพูดข้อเท็จจริงที่คนอื่นเขารู้แล้วแบบผิด
ๆ หรือ ทำอะไรไม่ถูกต้องตามแบบที่คนอื่นเขาทำอย่างถูกต้องว่า “พูดผิดพูดใหม่” หรือ “ทำผิดทำใหม่“
ได้เลยทีเดียว (ไม่สามารถพูด หรือทำใหม่ได้
เพราะเรื่องมันผ่านพ้นนานมาแล้ว นานจนจำแทบไม่ได้ (ยังดีที่แค่แทบจำไม่ได้
ถ้าเป็นแทบจำได้ เรื่องราวต่อจากย่อหน้านี้คงต้องว่างแล้ว)) มาเริ่มต้นย้อนไปสู่ความหลังครั้งอดีต
กับความผิดที่ว่ามากันครับ
ก่อนจะเข้าถึงเนื้อหาเกี่ยวกับ ความผิดพลาด ผมจะเล่าคร่าว ๆ เกี่ยวกับปูมหลังของผมก่อน
เพื่อจะนำมาเป็นฐานพิจารณา การกระทำผิดของผมว่า เพราะเหตุใดผมจึงทำผิด
มีแนวทางไหนที่จะใช้ป้องกันเด็ก หรือ เยาวชนรุ่นหลังไม่ให้บังเอิญหลงทำความผิดอย่างผม
แล้วถ้าเกิดเด็ก หรือเยาวชนบังเอิญหลงผิดไปแล้ว ทำยังไงถึงจะดึงเขากลับมาในแนวทางที่เราต้องการ
ดูรายละเอียดรูปภาพได้ที่ลิงค์
http://www.dhammathai.org/watthai/central/watprapathomchedi.php
ผมเกิดเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2510 ก่อนที่ผมจะเกิดเกือบเดือน ผมจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า (ล้อเล่งง่ะ… จริง ๆ แล้วแม่ผมเล่าให้ฟัง) ช่วงนั้นเป็นช่วงปลายปี 2509 จะมีงานฉลองส่งท้ายปีเก่ากันหลายงาน ทั้งงานคริสตมาส (เป็นงานเฉลิมฉลองวันที่พระเยซูคริสต์ทรงมาบังเกิดในโลกมนุษย์ คนที่นับถือศาสนาคริสต์ทั่วโลก ให้ความสำคัญกับวันนี้มาก) และงานขึ้นปีใหม่ บ้านผมค่อนข้างให้ความสำคัญกับงานเลี้ยงคริสตมาสมาก เพราะนับถือศาสนาคริสต์กันทั้งตระกูล (นับถือมาแต่ครั้งอากงอาม่า (พ่อแม่ของแม่ผม) ) และญาติข้างแม่ของผมทั้งหมด ในงานจะมีเลี้ยงโต๊ะจีนอาหารอร่อย (โต๊ะจีนนครปฐมค่อนข้างขึ้นชื่อ ไว้วางใจฝีมือได้) แล้วผมอยากจะกินโต๊ะจีนงานนี้มาก แม้เวลานั้นผมอยู่ในท้องแม่มาจนครบ 9 เดือน ครบกำหนดคลอดแล้ว แต่ผมก็ยังไม่ยอมออกจากท้องแม่ ลืมตามาดูโลก ยังคงเล่นซ่อนแอบกับแม่ผมอยู่ พอได้กินโต๊ะจีนเรียบร้อยเท่านั้นแหละ ผมเร่งสปีดออกมาดูโลกแม่ผมไปคลอดที่โรงพยาบาลแทบไม่ทัน (อันนี้ใส่ไข่เล็กน้อยถึงปานกลาง ดูได้จากมีงานเลี้ยงปลายเดือนธันวาคม 2509 ผมมาเกิดเอากลางเดือนมกราคม 2510 แม่ผมไม่ได้รีบมาคลอดทันทีที่ทานเลี้ยงจบหรอก พูดให้เวอร์นิหน่อยเอง) อย่างนี้เค้าน่าจะเรียกว่า คนมีวาสนาเกี่ยวกับการกินมาตั้งแต่เกิด ผมกินเก่งมาก ดูตั้งแต่เรื่องกินนมเลยก็ได้ แม่เล่าว่า แม่เลี้ยงพวกผมทั้ง 4 คน (ผมมีพี่น้องทั้งหมด 4 คน อายุห่างกันคนละ 2 ปี พี่สาวเกิด พ.ศ.2508 ถัดมาเป็นผมเกิด พ.ศ.2510 น้องชายอีก 2 คนเกิด พ.ศ.2512 กับ 2514 ตามลำดับ) ด้วยนมแม่ทั้งหมด (อย่าเข้าใจว่าเลี้ยงพวกผมหมดทั้ง 4 คน ในขณะเดียวกัน ลูกคนนะไม่ใช่ลูกแมว) เวลานมคัดเพราะน้ำนมมาก ลูกคนอื่นดูดมักจะไม่หมด บางทีถึงกับต้องปั๊มพ์เก็บใส่ขวดนม แช่ตู้เย็นไว้ให้กินในครั้งต่อไป แต่ถ้าให้ผมกินผมจะดูดจนเกลี้ยง แม่จะรู้สึกโปร่งโล่งสบายทีเดียว สำหรับอาหารอื่น ๆ ผมกินได้ทุกอย่าง ไม่ว่าป่าป๊ากับแม่ (ปัจจุบันป่าป๊าถึงแก่กรรมแล้ว ผมกับพี่น้องเรียกพ่อว่าป่าป๊า เรียกแม่ว่าแม่ ยังงง ๆ อยู่เลยว่าทำไมเรียกพ่อแบบจีน เรียกแม่แบบไทย หาที่มาไม่เจอเหมือนกัน) จะเตรียมอะไรไว้ให้กิน จะเป็นผัก เป็นเนื้อ เป็นปลา ผมกินได้ทั้งนั้น (ในโลกนี้จะหาของที่ผมไม่กินยาก ที่คิดออกตอนนี้ก็คงมีแต่เครื่องบิน กับเรือดำน้ำ) การที่ผมกินเก่งมาตั้งแต่เกิด ทำให้ผมมีงานพิเศษสำคัญ (ไม่มีเงินเดือน และเบี้ยเลี้ยง) ให้ทำตลอดมา คือ งานสู้กับความอ้วน เคยอ้วนแล้วผอม ผอมแล้วอ้วนหลายครั้ง ปัจจุบันอ้วนพอท้วม ๆ (สูง 174 ซ.ม. หนัก 90 ก.ก. เกินมาตรฐาน 10 กว่ากิโล) ผมคิดว่าผมคงต้องสู้กับมันไปอีกนาน เพราะผมเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย
ผมเกิดเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2510 ก่อนที่ผมจะเกิดเกือบเดือน ผมจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า (ล้อเล่งง่ะ… จริง ๆ แล้วแม่ผมเล่าให้ฟัง) ช่วงนั้นเป็นช่วงปลายปี 2509 จะมีงานฉลองส่งท้ายปีเก่ากันหลายงาน ทั้งงานคริสตมาส (เป็นงานเฉลิมฉลองวันที่พระเยซูคริสต์ทรงมาบังเกิดในโลกมนุษย์ คนที่นับถือศาสนาคริสต์ทั่วโลก ให้ความสำคัญกับวันนี้มาก) และงานขึ้นปีใหม่ บ้านผมค่อนข้างให้ความสำคัญกับงานเลี้ยงคริสตมาสมาก เพราะนับถือศาสนาคริสต์กันทั้งตระกูล (นับถือมาแต่ครั้งอากงอาม่า (พ่อแม่ของแม่ผม) ) และญาติข้างแม่ของผมทั้งหมด ในงานจะมีเลี้ยงโต๊ะจีนอาหารอร่อย (โต๊ะจีนนครปฐมค่อนข้างขึ้นชื่อ ไว้วางใจฝีมือได้) แล้วผมอยากจะกินโต๊ะจีนงานนี้มาก แม้เวลานั้นผมอยู่ในท้องแม่มาจนครบ 9 เดือน ครบกำหนดคลอดแล้ว แต่ผมก็ยังไม่ยอมออกจากท้องแม่ ลืมตามาดูโลก ยังคงเล่นซ่อนแอบกับแม่ผมอยู่ พอได้กินโต๊ะจีนเรียบร้อยเท่านั้นแหละ ผมเร่งสปีดออกมาดูโลกแม่ผมไปคลอดที่โรงพยาบาลแทบไม่ทัน (อันนี้ใส่ไข่เล็กน้อยถึงปานกลาง ดูได้จากมีงานเลี้ยงปลายเดือนธันวาคม 2509 ผมมาเกิดเอากลางเดือนมกราคม 2510 แม่ผมไม่ได้รีบมาคลอดทันทีที่ทานเลี้ยงจบหรอก พูดให้เวอร์นิหน่อยเอง) อย่างนี้เค้าน่าจะเรียกว่า คนมีวาสนาเกี่ยวกับการกินมาตั้งแต่เกิด ผมกินเก่งมาก ดูตั้งแต่เรื่องกินนมเลยก็ได้ แม่เล่าว่า แม่เลี้ยงพวกผมทั้ง 4 คน (ผมมีพี่น้องทั้งหมด 4 คน อายุห่างกันคนละ 2 ปี พี่สาวเกิด พ.ศ.2508 ถัดมาเป็นผมเกิด พ.ศ.2510 น้องชายอีก 2 คนเกิด พ.ศ.2512 กับ 2514 ตามลำดับ) ด้วยนมแม่ทั้งหมด (อย่าเข้าใจว่าเลี้ยงพวกผมหมดทั้ง 4 คน ในขณะเดียวกัน ลูกคนนะไม่ใช่ลูกแมว) เวลานมคัดเพราะน้ำนมมาก ลูกคนอื่นดูดมักจะไม่หมด บางทีถึงกับต้องปั๊มพ์เก็บใส่ขวดนม แช่ตู้เย็นไว้ให้กินในครั้งต่อไป แต่ถ้าให้ผมกินผมจะดูดจนเกลี้ยง แม่จะรู้สึกโปร่งโล่งสบายทีเดียว สำหรับอาหารอื่น ๆ ผมกินได้ทุกอย่าง ไม่ว่าป่าป๊ากับแม่ (ปัจจุบันป่าป๊าถึงแก่กรรมแล้ว ผมกับพี่น้องเรียกพ่อว่าป่าป๊า เรียกแม่ว่าแม่ ยังงง ๆ อยู่เลยว่าทำไมเรียกพ่อแบบจีน เรียกแม่แบบไทย หาที่มาไม่เจอเหมือนกัน) จะเตรียมอะไรไว้ให้กิน จะเป็นผัก เป็นเนื้อ เป็นปลา ผมกินได้ทั้งนั้น (ในโลกนี้จะหาของที่ผมไม่กินยาก ที่คิดออกตอนนี้ก็คงมีแต่เครื่องบิน กับเรือดำน้ำ) การที่ผมกินเก่งมาตั้งแต่เกิด ทำให้ผมมีงานพิเศษสำคัญ (ไม่มีเงินเดือน และเบี้ยเลี้ยง) ให้ทำตลอดมา คือ งานสู้กับความอ้วน เคยอ้วนแล้วผอม ผอมแล้วอ้วนหลายครั้ง ปัจจุบันอ้วนพอท้วม ๆ (สูง 174 ซ.ม. หนัก 90 ก.ก. เกินมาตรฐาน 10 กว่ากิโล) ผมคิดว่าผมคงต้องสู้กับมันไปอีกนาน เพราะผมเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย
บ้านผมเป็นบ้านห้องแถวไม้อยู่ในซอยแถวโค้งวัดกลาง
(บ้านผมอยู่วัดกลาง แต่ผมไม่เคยเห็นหรือได้ยินเลยว่า วัดกลางอยู่ตรงไหน ถามแล้วไม่เคยมีใครรู้เลยว่าวัดกลางอยู่ที่ไหน)
ถ.ทหารบก ต.บ่อพลับ อ.เมือง จ.นครปฐม มีชื่อซอยที่เขาใช้เรียกกันอย่างน่ากลัว คือ “ซอยไฟไหม้” ที่มันมีชื่อนี้ก็ด้วยประมาณช่วงที่ผมอายุ
3 – 4 ขวบ ท้ายซอยมีบ้านทอดข้าวเกรียบอยู่ บ้านนั้นเค้าจะใช้กระทะขนาดใหญ่ ใส่น้ำมันมากแทบล้น ทอดข้าวเกรียบปริมาณมาก
การทอดแต่ละครั้ง ไม่ได้ระวังอะไรกันมาก ตามประสาคนบ้านเราที่ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องความปลอดภัย
วันดีคืนดีขณะกำลังทอดข้าวเกรียบอยู่น้ำมันก็ลุกติดไฟขึ้นมาอย่างรุนแรง คนทอดพยายามดับไฟแต่ไม่สามารถดับได้
ไฟเลยลุกลามไหม้ติดบ้านขึ้นมา แล้วอย่างที่บอกบ้านแถวบ้านผมเป็นบ้านไม้เก่าแก่ทั้งนั้น
มีสภาพเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีโดยตัวของมันเอง พอไฟไหม้บ้านทอดข้าวเกรียบได้ ลมกระโชกโหมพัดกระหน่ำ ให้ไฟลุกลามมาติดบ้านทางปากซอย ซึ่งมีบ้านของผมอยู่อย่างรวดเร็ว
ขณะนั้น ผมยังเล็กไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร เท่าที่จำได้ ผมไปเล่นทำกับข้าวกับเพื่อนคน
หรือ สองคนที่ข้างบ้าน จุดไฟกับเศษไม้เล็ก ๆ (อ่านถึงตรงนี้อย่าเข้าใจผิดว่าไฟที่ไหม้บ้านมีเหตุมาจากผมเล่นไฟนะ
คนละเรื่องเดียวกัน) แล้วเอากระทะของเล่นวางข้างบนทำทีเหมือนทำกับข้าว พอเล่นชักเบื่อ
ก็ดับไฟเดินกลับมาที่หน้าบ้าน รู้สึกแปลกใจว่า ทำไมคนแถวบ้านผมเอะอะโวยวายเรื่องอะไรกัน
ตอนนั้นป่าป๊าขับรถเก๋งมาเห็นผมยืนแก้ผ้าอยู่ที่หน้าบ้าน รีบอุ้มผมขึ้นรถไปจากหน้าบ้านทันที
จากวันนั้น ผมต้องย้ายบ้านไปอยู่ บ้านเช่า ที่อยู่ในซอยแยกอีกซอยหนึ่ง ก็เป็นซอยเดียวกัน
กับซอยบ้านเดิมที่ผมเคยอยู่นี่แหละ ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ โตขึ้นถึงรู้ว่า
วันที่ป่าป๊ามาอุ้มผมขึ้นรถอย่างเร็ว เป็นวันที่ไฟไหม้บ้านผมหมดเกลี้ยง ตอนที่ผมเห็นคนเค้าเอะอะโวยวายกัน
เป็นตอนที่เค้าร้องตะโกนหากันขณะขนของหนีไฟจ้าละหวั่นนั่นเอง ป่าป๊าขนของไม่กี่อย่างเท่าที่รู้ก็มีโทรทัศน์เครื่องนึง
ของใช้อีกนิดหน่อย ไปพร้อมกับพี่สาวผมก่อนหน้านี้หนหนึ่ง แต่ต้องย้อนกลับมาอีกทีก็เพราะจะมาหาตัวผมนี่แหละ
พอป่าป๊าเจอผมแกดีใจมาก อุ้มผมตัวปลิวขึ้นรถเก๋งหนีออกจากบริเวณบ้านที่ไฟกำลังไหม้ทันที
แล้วสุดท้ายก็ต้องย้ายไปอยู่ที่ห้องเช่าตามที่บอกมานั่นแหละ พอไฟไหม้บ้าน เค้าต้องใช้เวลาพอสมควรในการสร้างบ้านขึ้นใหม่ในที่ดินเดิม
ผมกับครอบครัวเลยต้องอยู่บ้านเช่านั้นอีกนานทีเดียว กว่าจะได้ย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านเดิมในโฉมใหม่ เป็นตึกแถวสามชั้นครึ่ง
ไฟไหม้ครั้งนั้น ทำเอาป่าป๊าผมจนลงไปเป็นกอง ที่เคยใช้รถเก๋งรู้สึกว่าต้องขาย ตอนหลังเหลือแต่รถเครื่องเก่า
ๆ ไว้ใช้เพียงคันเดียว ไฟที่ไหม้ครั้งนี้นี่แหละ เป็นไฟไหม้ครั้งที่ทำให้ซอยของผม ได้ชื่อที่ไม่อยากได้
และลืมไม่ลง คือ “ซอยไฟไหม้” นับแต่นั้นมา
ผ่านพ้นวีรกรรมตอนเกิดมาได้ไม่นาน ผมก็เข้าโรงเรียนแล้ว ผมเริ่มเรียนเร็วมาก
ป่าป๊าพาผมไปเข้าเรียนชั้นอนุบาล 1 ตั้งแต่อายุ 3 ขวบ ที่โรงเรียนสว่างวิทยา (ด้านหน้าคือคริสตจักรจีนนครปฐม) ตั้งอยู่ใจกลางเมืองนครปฐม
ห่างจากองค์พระปฐมเจดีย์ไม่เท่าไหร่ (พวกผม 4 คน เริ่มเรียนค่อนข้างเร็ว
3 ขวบเข้าโรงเรียนกันหมดแล้ว ทุกคนเรียนกันที่โรงเรียนสว่าง
(ชื่อย่อโรงเรียนที่รู้จักกันทั่วไป) ซึ่งเป็นโรงเรียนที่อยู่ในเครือสภาคริสตจักรแห่งประเทศไทย
เป็นการอุดหนุนคนกันเอง) วันที่ป่าป๊าพาผมไปส่งที่โรงเรียนผมยังจำรายละเอียดได้ค่อนข้างชัดว่า
ผมถูกเอาตัวไปกักไว้ที่ห้องเรียนห้องหนึ่ง (ปัจจุบันรื้อทำใหม่หมดแล้ว) ผมร้องไห้ใหญ่เลย
เห็นพี่สาวเรียนอยู่อีกอาคารหนึ่ง อยากจะไปหาก็ไปไม่ได้ เพราะโดนกักตัวอยู่
คุณสังเกตมั้ยว่า ตอนนั้นผมยังเล็กมากอายุแค่ 3 ขวบเอง แต่จำเหตุการณ์นี้ได้ค่อนข้างชัด
(ความทรงจำนี้แปลก เวลามีความสุข สนุก สบาย จำไม่ค่อยได้ แต่เวลามีความทุกข์ เศร้า
ยากลำบาก มักจะจำได้แม่น) ฉะนั้น คุณผู้ใหญ่ทั้งหลายพึงระมัดระวัง
อย่าชะล่าใจเห็นว่าเด็กเล็ก ๆ ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ หรือจำสิ่งต่าง ๆ
ที่เห็นไม่ได้ ผมขอบอกเลยว่า เรื่องบางเรื่องที่คุณพูดคุณทำ เค้าอาจจะเห็น
อาจจะจดจำ หรือนำเอาสิ่งเหล่านั้นไปคิดมากมายจนอาจมีผลต่อบุคลิกภาพ หรือพฤติกรรมติดตัวไปจนโตเลยก็ได้
ผมขอยกตัวอย่างของผมอีกเรื่องหนึ่งให้ฟัง ครอบครัวที่สามีภรรยาอยู่ด้วยกัน
ต้องมีเรื่องขัดแย้งอย่างแน่นอน (คู่ไหนไม่มีอะไรขัดแย้งกันเลย
ผมว่าน่าจะไม่ใช่ครอบครัวมนุษย์แล้วหละ) ป่าป๊ากับแม่ผมก็เป็นครอบครัวสามีภรรยาธรรมดาคู่หนึ่ง
มีเรื่องขัดแย้งบ้างแต่ไม่บ่อยนัก ป่าป๊าเป็นคนรักครอบครัว เถียงกันมากเข้าป่าป๊ามักจะยอมแพ้
ด้วยแม่ผมจะใช้พลังเสียงสิงโตคำรามในการเอาชนะ ลำพังการเถียงกันปรกติ 2
คน ก็ไม่เป็นไร บังเอิญตอนนั้นผมอายุ 5 – 6 ขวบ
พอจะรู้เข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ บ้างแล้ว กำลังเล่นอยู่นอกบ้าน
ป่าป๊ากับแม่คงไม่เห็นผมอยู่แถวนั้น เลยเถียงกันอย่างมันส์ในอารมณ์
พอผมได้ยินป่าป๊ากับแม่เถียงกันเสียงชักดัง ก็ตกใจ
ได้ยินข้อความที่เถียงกันแล้วไม่สบายใจ แม่ผมท้าป่าป๊าทำนองว่า เอาอย่างนี้มั้ย
ไปหย่ากันเลยมั้ย พรุ่งนี้ไปหย่ากันเลยมั้ย พอป่าป๊าเห็นไม้นี้ มักจะยอมทุกที
หันมาร้องเพลงของแกไปตามเรื่อง แต่คุณรู้มั้ย การได้ยินคำท้าหย่าของแม่ที่บอกกับป่าป๊า
ทำให้ผมคิดเป็นจริงเป็นจัง เข้าใจว่า ถ้าป่าป๊ากับแม่จะหย่ากันจริง ๆ แล้วพวกผมพี่น้องจะอยู่กันยังไง
ผมจะต้องไปอยู่กับใคร พี่น้องของผมจะอยู่กับใคร ร้องห่มร้องไห้อยู่คนเดียวนั่นเอง แล้วพออยู่ลำพังคนเดียว
นึกถึงเรื่องที่ป่าป๊ากับแม่จะหย่ากันเป็นต้องร้องไห้ทุกที คุณเห็นหรือยังครับ
แค่ป่าป๊ากับแม่เถียงกันยังไม่ได้หย่ากันจริง ผมยังร้องไห้ได้ขนาดนี้
ถ้ามันเป็นเรื่องจริง ผมจะร้องไห้ได้ขนาดไหน ขอทีเถอะครับบรรดาผู้ใหญ่ที่มีเด็ก
หรือเยาวชนอยู่ในครอบครัว อย่าเถียงทะเลาะกันให้เขาได้ยินเด็ดขาด เด็กไม่รู้หรอกว่า
คุณเถียงกันเรื่องจริงเรื่องไม่จริง เค้าเข้าใจว่าจริงไปก่อนแล้ว โปรดอย่าทำให้เค้าเข้าใจผิด
หรือเสียใจโดยใช่เหตุเลย
วันแรกที่เข้าโรงเรียน เป็นวันที่ผมร้องไห้เพียงวันเดียว แล้วก็ไม่รู้ว่าร้องไปทำไม
หวนคิดถึงเหตุการณ์ตอนนั้นก็ยังงง ๆ ว่า ผมกลัว ตกใจ
หรือมีเหตุอะไรทำให้ต้องร้องไห้ นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก (เด็กไปโรงเรียนส่วนใหญ่เค้าร้องไห้กัน
ถ้าผมไม่ร้องเดี๋ยวไม่อินเทรนด์) หลังจากวันนั้น
ป่าป๊าก็พาพวกผมไปเรียนหนังสือตามปกติ ไม่มีเหตุการณ์ไหนน่าสนใจเป็นพิเศษ
จากชั้นอนุบาล 1 ขึ้นอนุบาล 2 อนุบาล 3
ต่อไปเรื่อย ๆ ช่วงนี้จดจำอะไรไม่ค่อยได้
น่าจะเป็นช่วงที่ผมมีความสุข สนุก สบาย ไร้ทุกข์กังวลอย่างที่บอก (จะมีช่วงชีวิตช่วงไหนที่มีความสุขเท่ากับตอนเป็นเด็กไม่มีอีกแล้ว ทุกเรื่องเป็นเรื่องใหม่
เรื่องสนุกไปหมด ปัญหาไม่เคยมี อยากได้อะไรแบมือขอก็ได้แล้ว) ผมชอบเล่นกีฬามาก ไม่เล่นอะไรก็ต้องอะไรซักอย่าง
ผมเป็นคนมีพรสวรรค์ในระดับกลาง เล่นกีฬาอะไรก็ตามจะเล่นได้ค่อนข้างดีกว่าคนทั่วไป
แต่ก็ดีกว่าไม่มาก พอไปเจอนักกีฬาโรงเรียนอื่น นักกีฬาจังหวัด
หรือระดับสูงขึ้นไป ม่อยกระรอกกลับมาทุกที ช่วงเรียนชั้นประถม 3 ประถม 4 ผมเริ่มหัดเล่นเซปักตะกร้อแล้ว
ที่โรงเรียนสว่างฯ มีเพื่อน แล้วก็ครูที่ชอบเล่นตะกร้อจะมาเล่นด้วยกันทุกเย็น ตอนเย็นไม่ต้องไปหาผมที่ไหนหรอก
เตะตะกร้ออยู่ที่สนามหญ้าโรงเรียนสว่างนั่นเอง กว่าจะเล่นเสร็จกลับบ้านก็เย็น
หรือมืดไปเลย ป่าป๊าก็ไม่ว่า เพราะเห็นผมชอบกีฬา เรื่องการบ้านเหรอ ไม่สนเลย ไม่ทำที่โรงเรียนตอนเย็นก็เช้า
แม้ผมจะไม่ค่อยสนเรื่องเรียน เรื่องการบ้าน แต่ผมเป็นเด็กแปลก ไม่จำเป็นจริง ๆ
ผมไม่ลอกการบ้านใคร ตุ๊ยส่ง ผิดมั่งถูกมั่งไปตามเรื่อง ไม่รู้เป็นไง
ไม่ชอบลอกของคนอื่น ที่ผมเขียนเรื่องในบล็อกผมยังเขียนเองหมดเลย ไม่ชอบเอาของใครมา
ผมเห็นเพื่อนฝูงที่มันลอกการบ้านจนชินแล้วยังนึกขำเลย ก็ด้วยมันลอกอะไรต่อมิอะไรเป็นประจำ
พออาจารย์ยื่นกระดาษมาให้บอก "เอ้า เขียนประวัติตัวเองส่งครูด้วยนะ เร็ว ๆ
ด้วย" แต่ละคนจับปากกาขึ้นมาเตรียมเขียน หันหน้าไปทางเพื่อนที่แต่ละคนเคยลอก ตั้งท่าเตรียมลอกเต็มที่
เพื่อนที่ถูกลอกบ่อย ๆ ก็งงซิครับ มันคงคิดว่า "เออ
เอามันเข้าไป ประวัติมันเองยังจะลอกกูอีกเหรอวะเนี่ย" ไอ้การลอกจนติดเป็นนิสัยมันทำเอาคนเลิกใช้สมองคิดกันไปเลย
เรื่องกีฬานี่ ขอให้บอกเถอะ ผมชอบจริง ๆ ที่คริสตจักรจีนนครปฐมที่ตั้งอยู่ด้านหน้าโรงเรียนมีศาสนาจารย์คนหนึ่ง
ชื่อ อาจารย์มาระโก (ชื่อตั้งมาจากพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ใหม่ ปัจจุบันถึงแก่กรรมแล้ว
อาจารย์เป็นศาสนาจารย์ประจำคริสตจักรจีนนครปฐม เรียกชื่อที่ชาวบ้านรู้จักกันทั่วไปว่า
โบสถ์จีน อาจารย์มีหน้าที่คอยอบรมสั่งสอนคริสตศาสนิกชนและบุตรหลานให้ยึดมั่นปฏิบัติ
ตามคำสอนของพระเจ้า) สนิทกับผมมาก ผมชอบชวนแกตีปิงปอง แกตีเก่งกว่าผมมาก ตียังไงยังไงผมไม่เคยชนะแกซักที
ก็ถือว่ามีแกนี่แหละ คอยฝึกผมให้ตีปิงปองเก่งขึ้นมา
ส่งผลให้ขณะที่ผมเรียนอยู่โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยศิลปากร
ผมได้ชื่อว่าตีปิงปองเก่งที่สุดในโรงเรียน ถูกส่งไปแข่งกับนักกีฬาโรงเรียนพระปฐมวิทยา
(รู้จักชื่อย่อที่เรียกกันทั่วไปว่าโรงเรียนพระปฐม) ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำจังหวัด
ผมแพ้ไม่เป็นรูปเลย ไอ้เรื่องแพ้ไม่เป็นรูปนี่ คิด ๆ แล้วก็ขำ อย่างที่เคยบอกว่าผมเล่นกีฬาได้ดีหลายอย่าง
แบดมินตันก็เป็นกีฬาอีกอย่างที่ผมตีได้ดีกว่าเพื่อนในโรงเรียนเค้าก็ส่งผมไป
ตีแข่งกับนักแบดโรงเรียนพระปฐมอีกนั่นแหละ (โรงเรียนพระปฐมฯ เน้นด้านกีฬามาก
นักกีฬาเก่ง ๆ เรียนกันอยู่เยอะ) เค้าก็ต้อนผมจนแพ้เกมส์ศูนย์ขาดลอยเหมือนเดิม
(ไม่ได้มีความเกรงอกเกรงใจกันมั่งเล้ย) ผมละงงไปหมด คิดว่า
"เอ๊ะ นี่เราก็มีฝีมือพอตัวเหมือนกัน ทำไมถึงสู้เค้าไม่ได้ถึงขนาดนี้" แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่หรอก
รู้อยู่เสมอว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า คราวนี้มาถึงเรื่องบาสเก็ตบอล
พวกผมไม่มีใครเคยเล่นกันมาก่อน เพิ่งมาหัดเล่นกันทั้งทีม มีผมนี่แหละตัวใหญ่หน่อย แล้วก็ได้หัดเล่นมาก่อนเพื่อนในทีมอยูมั่ง
พอจะเล่นได้ แต่ก็แค่พอจะเล่นได้นะ เรื่องเก่งไม่ต้องพูดถึง อาจารย์ส่งพวกผมเข้าแข่งกีฬาจังหวัดแบบส่งไปให้คนอื่นรู้ว่า
"เฮ้ย โรงเรียนอั๊วยังมีคนอยู่นะโว๊ย"
(อันนี้อาจารย์ไม่ได้คิดผมคิดเองแหละ) ทางโรงเรียนต้องการให้นักเรียนได้ร่วมกิจกรรมกับโรงเรียนอื่นบ้างก็เท่านั้น
ไม่ได้หวังอะไร (จะไปหวังอะไรล่ะ ขนาดกีฬาที่ถนัดยังโดนเค้าต้อน แล้วกีฬาที่เพิ่งหัดแทบทั้งทีมจะไปเหลืออะไร
อย่าไปคิดมาก โรงเรียนสาธิตฯ เน้นการเรียนมากกว่าอยู่แล้ว การกีฬาก็เอาผมนี่แหละเป็นเป้ารับกระสุนแทน)
บาสเก็ตบอลที่ไปลงแข่งก็เป็นลักษณะเดียวกับกีฬาอื่น ๆ นั่นแหละ ไม่มีใครเป็นรองทีมผมแม้แต่ทีมเดียว
(ผมก็ได้อันดับบ๊วยมาครองอย่างน่าภาคภูมิใจไง) เป็นไงครับ ผลงานด้านกีฬาของผมเป็นไงบ้าง
ไม่ได้เรื่องใช่มั้ยครับ แต่ไม่รู้เป็นไงใจมันรัก เล่นมันหมดทุกอย่างที่อยากเล่น มันจะเล่นได้ดีไม่ได้ดีไม่เคยสน
นิสัยชอบกีฬาที่สั่งสมมาแต่เด็กทำให้ผมออกกำลังกายเป็นประจำต่อเนื่องมาตลอด จนถึงปัจจุบัน
ส่งผลดีกับร่างกายยังไม่มีโรคประจำตัวทั้งที่ยอดนิยม และไม่ยอดนิยม นับได้ว่าเป็นโชคดีอย่างหนึ่ง
บ้านผมเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างมีแนวคิดสมัยใหม่ ไม่ยึดติดธรรมเนียมประเพณีเก่า
ๆ ที่ผู้ชายต้องออกทำงานนอกบ้าน ผู้หญิงต้องอยู่เลี้ยงลูกกับบ้านมากนัก
ป่าป๊าเป็นผู้ชายต้องทำงาน (ทำลูกชิ้นหมูลูกชิ้นเนื้อขายปลีก
– ส่ง) อยู่กับบ้าน มีหน้าที่อบรมเลี้ยงดูลูก
ทำอาหารการกินเลี้ยงคนทั้งบ้าน พาพวกผมพี่น้องทั้ง 4 คน
ขึ้นรถเครื่องซ้อน 4 กันไปโรงเรียนตอนเช้า ตอนเย็นก็ไปรับกลับบ้าน
ส่วนแม่เป็นผู้หญิงกลับออกไปทำงานนอกบ้าน แม่รับราชการอยู่ที่กรุงเทพฯ
สมัยนั้นสำนักงานแม่มีชื่อเรียกว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ
(ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น สภาการศึกษา ตั้งอยู่ตรงข้ามสวนรื่นฤดี (กองบัญชาการทหารสูงสุดเก่า) แถว ๆ สวนอ้อย เขตสามเสน กรุงเทพฯ)
ไปกลับทุกวันราชการ เสาร์อาทิตย์วันหยุดนักขัตฤกษ์หยุด แม่เดินทางด้วยรถโดยสารประจำทางกรุงเทพฯ
– นครปฐม ต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด ไปให้ถึงที่ทำงานก่อน
08.30 น. กลับบ้านส่วนใหญ่ก็มืดแล้ว แม่มักจะเอาลูกชิ้นทั้งลูกชิ้นหมู
ลูกชิ้นเนื้อที่ป่าป๊าผมทำ ไปส่งให้กับลูกค้าเป็นรายได้เสริม พอผมอายุได้
10 กว่าขวบ พอจะรู้จักถนนหนทางในกรุงเทพฯ ก็ด้วยอาศัยโอกาสตอนแม่พาผมไปเที่ยวสำนักงาน
สามารถจะแบ่งเบาภาระของแม่ได้ ผมรับหน้าที่ไปส่งลูกชิ้นในวันหยุดซึ่งส่วนใหญ่จะตรงกับวันเสาร์แทนแม่
แล้วแม่ผมจะให้เบี้ยเลี้ยงค่าเหนื่อยกับผม ผมก็จะฝากแม่ไว้นั่นแหละ ผมแทบไม่ค่อยได้ใช้
ผมเก็บตังค์เก่งทีเดียวเชียวแหละ
ครอบครัวของผมมีความสุขตามอัตภาพ ป่าป๊ากับแม่อยู่กันครบ พอจะบอกได้ว่า
เป็นครอบครัวที่อบอุ่นพอควร ฐานะทางครอบครัวก่อนไฟไหม้ค่อนข้างดี พอไฟไหม้ฐานะแย่ลง
ต้องขายรถเก๋งทิ้งเหลือแต่รถเครื่องไว้ใช้ เดิมป่าป๊าทำงานเกี่ยวกับบัญชีมีรายได้ไว้ใช้จ่ายค่อนข้างสบาย
พอบ้านโดนไฟไหม้นี่แหละทรัพย์สินที่มีอยู่หมดเกลี้ยง แถมยังต้องสร้างบ้านใหม่โดยไม่ได้ตั้งใจอีก
หนี้สินงอกงามเหมือนต้นไม้ฤดูฝน รายได้เริ่มไม่พอรายจ่าย ป่าป๊าต้องขวนขวายหาอาชีพใหม่ทำ
ก็มาเริ่มทำลูกชิ้นนี่แหละ ตอนเริ่มต้นล้มลุกคลุกคลานกว่าจะทำจนพอมีลูกค้าก็เลือดตาแทบกระเด็น
ตอนนั้นถือว่าฐานะครอบครัวผมเพียงพอมีพอกิน ไม่จนแล้วก็ไม่รวย บางจังหวะมีหมุนเงินไม่ทัน
ก็ต้องให้พวกผมไปบอกเลื่อนจ่ายค่าเทอมกับทางโรงเรียน ป่าป๊าผมไม่ค่อยยี่หระเรื่องอะไร
ยากดีมีจนไม่เคยบ่นโวยวายให้ใครรู้ ทำงานไปเรื่อย ๆ คนอื่นไม่มีทางเดาฐานะบ้านผมได้ เพราะป่าป๊าไม่เคยไปแสดงความรวยความจนกับใคร
ป่าป๊าเป็นคนสบาย ๆ ไม่เคยเครียดเวลาอารมณ์ครึ้ม ๆ ก็ร้องเพลงมั่ง เต้นจ๊ำตุ่ม ๆ
มั่ง ป่าป๊าร้องเพลงเสียงดีมาก ลูกคงลูกคอระดับนักร้องทีเดียว
ป่าป๊าให้ความสำคัญเรื่องอาหารการกินมาก (คนจีนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการกิน
เจอหน้ากันคำสวัสดีก็มี แต่ไม่สวัสดี ส่วนใหญ่ชอบถามกันว่า "เจี๊ยะบ๋วย" แปลว่า กินหรือยัง) ถือคติ เรื่องกินเรื่องใหญ่เรื่องตายเรื่องเล็ก
ป่าป๊าให้พวกผมกินอย่างเหลือเฟือไม่เคยอด ตังค์ซื้อขนม ขอป่าป๊าเมื่อไหร่ถ้าไม่ใช่ของแพงเกินไป
หรือวันเดียวกันนั้นขอบ่อยเกินแล้ว มักไม่ค่อยพลาด บ่อยครั้งเวลาป่าป๊าว่าง
จะพาพวกผมไปหาอะไรกิน หรือไปเล่นที่สนามเด็กเล่นเสมอ มีวันนึง
คิดถึงแล้วยังใจหายป่าป๊าพาพี่สาว ผม กับน้องคนเล็กที่ตอนนั้นยังต้องอุ้มอยู่ไปเล่นกันที่สนามเด็กเล่นสนามจันทร์
(ปัจจุบันเป็นสวนสัตว์สนามจันทร์ อยู่บริเวณพระราชวังสนามจันทร์
(ที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 6 ) สมัยก่อนเขาทำเป็นสนามเด็กเล่น
และมีสระสำหรับว่ายน้ำ ซึ่งสระว่ายน้ำก็คือบ่อจระเข้ บ่อเต่า ในปัจจุบันนั่นเอง) ป่าป๊าพาพวกผมมาถึงสระน้ำ
ผมอยากลงเล่นน้ำ ตอนนั้นยังว่ายน้ำไม่เป็นเลย ป่าป๊าปล่อยให้ผมลงไปเล่นน้ำก่อน
ขณะเล่นน้ำกำลังสนุก ๆ ผมไม่รู้ว่าบริเวณน้ำตื้นของสระมีพื้นที่อยู่หน่อยเดียวแค่ประมาณ
3 เมตร พอถัดไปจะไปส่วนลึก พอผมค่อย ๆ เล่นกระเถิบจากที่ตื้นไปที่ลึกได้อีกนิดเดียว
เท้าผมเหยียบพื้นสระที่เค้าทำเป็นทางลาดไปสู่ระดับลึกมีตะไคร่น้ำจับลื่นมาก ผมรีบเอามือตะกุยน้ำอย่างแรง
พร้อมกับถีบขาเพื่อให้พ้นจากทางลาดนั้น แต่ด้วยความที่ว่ายน้ำไม่เป็น ตะกุยน้ำถีบขาเท่าไหร่ก็ไม่พ้นทางลาดนั้นขึ้นมาซักที
พอเท้าลงแตะพื้นมันก็ไถลไม่สามารถยันตัวกลับขึ้นมาอยู่ที่ตื้นได้ ท่าทางตอนนั้น เหมือนผมกำลังวิ่งอยู่กับที่แล้วทำท่าตะกุยน้ำอย่างแรงไปด้วย
ป่าป๊าเห็นท่าไม่ดี เห็นผมกำลังจะลื่นไปบริเวณน้ำลึก ปล่อยมือจากตัวน้องชายคนเล็กผมกระโดดลงมาช่วยผมทั้งชุดกางเกงขายาวเสื้อเชิ๊ตนั่นแหละ
ป่าป๊าช่วยผมขึ้นมาได้ แต่น้องชายคนเล็กผมเกือบไม่รอด เพราะป่าป๊าลืมไปว่า
จังหวะที่ปล่อยมือจากน้องชายคนเล็กมาช่วยผม น้องชายคนเล็กจะหล่นลงไปอยู่ในน้ำพอดี ยังดีที่ตอนนั้น
พี่สาวผมยังไม่ได้ลงไปเล่นน้ำกับผม เห็นน้องชายคนเล็กตกลงไปอยู่ในน้ำ เลยช่วยกันอุ้มขึ้นมารอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด
ไม่เกิดเรื่องเศร้าที่ทั้งผมกับป่าป๊าจะต้องเสียใจไปอีกนาน ขอบพระคุณพระเจ้า
พวกผมทั้ง 4 คน ค่อนข้างมีระเบียบวินัยพอควร
ถึงเวลาเรียนต้องไปเรียน ได้เวลาเล่นถึงจะได้เล่นพอ 2 ทุ่ม
จะต้องรีบเข้านอนกันทุกคน ไม่ว่าใครจะง่วง หรือไม่ง่วงก็ต้องเข้านอนตามเวลา พี่สาวกับผมซึ่งเป็นลูกคนโตกับคนที่
2 มีหน้าที่ดูแลงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ คือ
ผลัดกันกวาดถูห้องนอนบนชั้น 2 คนละวัน (บ้านเป็นตึกแถวพักอาศัย
3 ชั้น ชั้น 2 เป็นห้องนอน)
ตัวผมซึ่งเป็นลูกชายคนโต ตัวใหญ่มาแต่เด็ก ต้องรับหน้าที่ส่งลูกชิ้นให้กับลูกค้าของป่าป๊าทุกวัน
ไม่ว่าผมจะไปไหนก็ตาม เวลาประมาณ 15.00 น. ผมต้องกลับมาบ้านไปส่งลูกชิ้นให้กับป่าป๊าก่อนแล้วถึงจะไปไหนต่อไหนได้
ป่าป๊าเลี้ยงพวกผมอิสระมาก
พวกผมอยากจะคิดจะทำอะไรมักจะให้อิสระในการคิด ไม่กำหนดกฎเกณฑ์ว่า
ลูกคนไหนควรจะทำอะไร เป็นอะไร ซึ่งตอนผมเรียนจบชั้นประถม 4 ผมต้องเรียนต่อที่โรงเรียนอื่น
ตอนนั้น ผมยังไม่มีรถจักรยานเลย ไปไหนมาไหนไม่นั่งรถประจำทางก็เดินเอา ผมได้ยินเพื่อนที่เรียนชั้นประถม
4 (ป.4) ด้วยกันพูดถึงโรงเรียนสาธิต
มหาวิทยาลัยศิลปากร ว่าอยู่ตรงนั้นตรงนี้ กำลังรับสมัครนักเรียน ให้ไปสมัครสิ
จะได้เรียนชั้น ป.5 ต่อด้วยกัน พอผมรู้สถานที่ รู้ช่วงเวลารับสมัคร
ผมเดินทางไปสมัครด้วยตัวเองทันที ตอนนั้นมีเพื่อนคนนึงชวนกันไป พอสมัครได้ก็รอวันไปสอบ
ถึงวันสอบผมก็ไปของผมเอง เค้าจะมีการทดสอบด้วยการพูดออกมาทางลำโพงแล้วให้เราเขียนตอบ
ผมจำข้อนี้ได้แม่นเลย เค้าถามว่า 1 ฟุต เท่ากับกี่เซ็นติเมตร
ตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่า 1 ฟุต เท่ากับกี่เซ็นติเมตร
ผมไม่สามารถตอบได้ ต้องกลับมาถึงบ้านแล้วถามคนอื่นถึงรู้ มันก็เป็นธรรมดาของการสอบ
ย่อมทำได้มั่งไม่ได้มั่ง ข้อสอบส่วนที่ผมทำได้ก็พอมีมั่ง การสอบของโรงเรียนเค้ายังมีอีกหลายอย่าง
รวมทั้งสอบสัมภาษณ์ด้วย ผลสอบออกมา ปรากฏว่าผมสอบผ่าน (ตอนกลับบ้านหลังจากสอบเสร็จ
ผมยังนึกว่า ผมน่าจะสอบตก 1 ฟุตเท่ากับ 30 เซ็นติเมตรยังไม่รู้ ทำไมมันฉลาดล้ำลึกอย่างนี้ (ความฉลาดอยู่ลึกยังไม่ยอมโผล่ออกมา))
(โรงเรียนคิดผิดหรือเปล่าไม่รู้ที่รับผมเข้าเรียน) การไปเข้าโรงเรียนสาธิตนี่ผมไม่ต้องปรึกษาใครเลย
ดำเนินการเองทั้งหมด ป่าป๊ากับแม่ทำเพียงสนับสนุนการสอบกับส่งผมไปเรียนแค่นั้น การให้อิสระทางความคิดของป่าป๊ากับแม่ผมก็ดีตรงนี้
ทำให้พวกผมพี่น้อง 4 คน กล้าคิดกล้าตัดสินใจบนพื้นฐานของความมีเหตุผล
ไม่ค่อยผิดเพี้ยนไปจากมาตรฐานอันดีซักเท่าไหร่ พวกผมก็ค่อนข้างจะประพฤติตัวกันเรียบร้อยไม่ค่อยก่อปัญหา
นาน ๆ ที ป่าป๊าถึงจะอบรม ตักเตือน สั่งสอนเวลาที่พวกผมทำสิ่งไม่ถูกต้อง ผมถูกป่าป๊าตีเพียงครั้งเดียว
(ไม่ได้ตีให้เจ็บหรอก ตีให้รู้ว่าตีแค่นั้น) เท่าที่จำได้ คงเป็นผมแกล้งน้องชายคนรองผมจนร้องไห้น่ะแหละ
ส่วนใหญ่ป่าป๊าจะสอนด้วยการพูด ไม่ใช้การตีเป็นหลัก จะเห็นได้ว่า ป่าป๊าผมเป็นหลักคอยดูแลพวกผมไม่ให้นอกลู่นอกทางเกินไปเวลาอยู่บ้าน
ไปโรงเรียนก็มีครูคอยอบรมสั่งสอน แล้วอย่างที่บอก ครอบครัวของผมนับถือศาสนาคริสต์
ประเพณีปฏิบัติจะถือวันอาทิตย์เป็นวันสำคัญ (พระเจ้าใช้เวลาสร้างโลก
6 วัน วันที่ 7 ทรงพักผ่อนไม่ทำกิจการงานใด
คริสตศาสนิกชนจึงถือเป็นแนวปฏิบัติว่า ใน 1 อาทิตย์
พวกตนจะทำงานแค่ 6 วัน เริ่มทำตั้งแต่วันจันทร์ไปสิ้นสุดวันเสาร์
สำหรับวันอาทิตย์อันเปรียบได้กับวันที่ 7 ที่พระเจ้าทรงพักผ่อน
คริสตศาสนิกชนจะไม่ทำกิจการงานใด ๆ พากันไปนมัสการสรรเสริญพระเจ้าโดยพร้อมเพรียงกัน)
ทุกวันอาทิตย์ผมกับพี่น้องทั้ง 4 คน จึงต้องไปประกอบกิจกรรมทางศาสนาที่โบสถ์จีนนครปฐม
(โบสถ์ตั้งอยู่หน้าโรงเรียนสว่างวิทยาที่พวกผมเรียนนั่นเอง) ที่โบสถ์จะมีครูสอนศาสนาเรียกว่า
ศาสนาจารย์ซึ่งสมัยนั้นก็คือ อาจารย์มาระโกที่เคยเล่าให้ฟังมาก่อนนั่นแหละเป็นผู้เทศนาอบรมสั่งสอนสมาชิก
และเด็ก ๆ ลูกหลานของสมาชิกให้ประพฤติปฏิบัติตนตามแนวทางการเป็นคริสตศาสนิกชนที่ดี
เห็นมั้ยครับ ผมมีครอบครัวที่อบอุ่น โรงเรียนก็มาตรฐานดี ประกอบกิจกรรมทางศาสนาต่อเนื่องสม่ำเสมอ
สภาพแวดล้อมที่บ้านก็นับว่าใช้ได้ พ่อแม่ครูอาจารย์ครูสอนศาสนาหมั่นอบรมสั่งสอน ถือว่าผมได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดีทีเดียว
ผมน่าจะเป็นคนดีอย่างไม่ต้องสงสัย เปล่าเลย ผมไม่ได้ดีอย่างที่ควรจะเป็น เคยทำความผิดที่มีโทษทางอาญา
(ลักทรัพย์ กับมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย มีโทษทางอาญาถึงจำคุก แต่ทำผิดขณะเป็นเด็ก
วิธีการปฏิบัติต่อเด็กที่ทำผิดก็คือ ส่งไปรับการอบรมที่สถานพินิจ และคุ้มครองเด็ก
พวกบ้านเมตตา บ้านกรุณาทั้งหลายนั่นเอง) เป็นเรื่องไม่ดีมาก ๆ แต่ผมเห็นประโยชน์หากคุณได้รับฟังเรื่องการทำผิดของผม
ซึ่งผมจะพูดถึงเหตุผล รายละเอียด แนวทางแก้ไขความผิดพลาด เพื่อคุณฟังแล้วจะได้นำไปปรับใช้กับการเลี้ยงดูบุตรหลาน
สิ่งที่ผมทำผิด หากไม่บอกออกไปใครจะเชื่อว่า ผมที่ปัจจุบันเป็นตำรวจเคยมีพฤติกรรมลักษณะเดียวกับโจรไม่มีผิด
ไปลักทรัพย์บ้านท้ายซอย มีปืนเถื่อนในครอบครอง แล้วที่ทำผิดไม่ใช่ทำเพียงครั้งเดียว
ผมลักของเขาหลายครั้งหลายหน เคยมีปืนเถื่อนไว้ในครอบครอง พกพาเอาไปยิงถึง 4
กระบอก (เอาไปคนละคราวกัน) แต่พระเจ้าช่วย
ผมทำผิดตั้งหลายครั้งหลายหน ไม่ถูกจับกุมดำเนินคดี ผู้เสียหายก็ให้อภัย
หรือไม่เอาเรื่องทุกครั้ง มีโอกาสได้เป็นคนดีกับเขา น่าสงสารบางคนยังไม่ทันทำผิด
หรือทำผิดแค่ครั้งเดียวถูกจับติดคุก ไม่มีโอกาสได้กลับเนื้อกลับตัว ผมเลยยังไม่ต้องย้ายสำมะโนครัวเอาคุกตารางมาเป็นบ้านหลังที่สองแทน
ลองมาฟังเรื่องราวความผิดพลาดหนแรกของผมกันเลยครับ
ตอนผมอายุประมาณ 7 – 8 ขวบ ตัวขาวจั๊วะกำลังอ้วนจ้ำม่ำทีเดียว ญาติผู้ใหญ่เห็นผมเป็นต้องหยิกด้วยความหมั่นเขี้ยวทุกทีไป ใครจะเชื่อว่า ไอ้เด็กอ้วนหน้าซื่ออย่างผม จะทำเรื่องงามหน้าขึ้นมาจนได้ ปฐมบทเริ่มเรื่องจากการที่ผมได้เจอเพื่อนคนหนึ่ง ชื่อ ไอ้กล้วย (ชื่อสมมุติ เราพูดสิ่งที่เป็นแง่ลบ อย่าพูดชื่อจริงเค้าดีกว่า เค้าจะว่าเราได้) ปัจจุบันไม่รู้เป็นตายร้ายดีอยู่ที่ไหน ไม่เคยเจอกันอีกเลยตั้งแต่ช่วงหลังเกิดเหตุ หลังเกิดเหตุไม่นานพ่อเค้าก็ย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่น ไอ้กล้วยอายุมากกว่าผมซัก 1 – 2 ปี แต่มันรู้อะไรต่อมิอะไรมากกว่าผมเยอะ ผมใหญ่แต่ตัว ความคิดไม่ค่อยใหญ่ตามตัวเท่าไหร่หรอก ไม่ค่อยรู้ว่าอะไรถูกอะไรควร ใครชวนทำอะไรทำหมด ไอ้กล้วยนี่ผมรู้จักกับมันเพียงผิวเผินเอง เป็นแค่คนเคยเห็นหน้า เพราะพ่อมันมาเช่าบ้านอยู่ปากซอยทางเข้าบ้านผม ผมเลยเห็นไอ้กล้วยอยู่ในบ้านนั้น แต่ไม่เคยพูดคุยคบกันเป็นเพื่อน แต่อยู่ ๆ วันหนึ่ง ไอ้กล้วยดันมาชวนผมไปท้ายซอยแล้วชวนให้ผมปีนขึ้นไปบนชั้น 2 หลังบ้านเค้า บ้านหลังนั้นผมเคยปีนขึ้นไปเล่นมาแล้ว เพราะปีนง่าย เนื่องจากมีกำแพงติดกับหลังบ้านนั้น สามารถใช้เป็นบันได้ปีนขึ้นไปเล่นได้ง่าย แต่วันนั้น ไอ้กล้วยชวนผมปีนขึ้นไป ไม่ใช่ปีนขึ้นไปเล่นตามประสาเด็กแล้ว แต่ตอนแรกยังไม่รู้ว่า มันชวนผมขึ้นไปทำอะไร แต่พอเห็นไอ้กล้วยเปิดประตูหลังบ้านนั้นเข้าไป ผมก็พอจะเดาได้ว่า มันเข้าไปทำอะไร ซักพักหนึ่งมันก็ออกมาแล้วชวนผมลงไปข้างล่าง ไอ้กล้วยแบ่งตังค์ให้ผมส่วนหนึ่งหลายสิบบาท ตอนนั้นก็มากพอสมควรสำหรับเด็กอย่างผม ที่ได้เงินไปโรงเรียนเพียงวันละไม่กี่บาท พอผมได้ตังค์มาจากไอ้กล้วย ผมเอาตังค์ไปซื้อปลากัด (ตอนนั้นเขานิยมเลี้ยงปลากัดกันอยู่ 2 ชนิด คือ ปลากัดจีนมีหางมีครีบยาวเลี้ยงเอาไว้ดูสวยงาม กับปลากัดหม้อมีหางมีครีบกลมสั้นเลี้ยงเอาไว้กัดกัน เด็กแถวบ้านผมชอบเลี้ยงปลากัดหม้อ พวกมันกัดกันมันส์มาก ตอนเด็กไม่ค่อยกลัวเวรกลัวกรรมกัน) มาหลายตัว ที่เหลือเก็บเอาไว้ซื้อขนม ผมชอบเลี้ยงสัตว์มาตั้งแต่เด็ก ผมจับ หรือซื้อสัตว์อะไรมาเลี้ยงก็ตาม สุดท้ายภาระหนักจะไปตกกับป่าป๊าผมทุกที แกก็ไม่เคยบ่น หรือว่าอะไรผมเลย แกเลี้ยงได้ก็ยังคงเลี้ยงไป ถ้าเลี้ยงไม่ได้แกก็เอาไปปล่อย ตอนที่ผมได้ตังค์จากไอ้กล้วยครั้งแรก ตามประสาเด็ก พอมีตังค์ก็อยากจะซื้อของอะไรที่ชอบ ตอนนั้นกำลังชอบเลี้ยงปลากัด ก็เลยไปซื้อปลากัด ป่าป๊าผมยังสงสัยเลยว่า อยู่ ๆ ผมเอาตังค์ที่ไหนมาซื้อปลากัด แต่แกก็คงคิดว่าผมคงขโมยตังค์แกไปซื้อมั้ง (ผมขโมยตังค์แกเป็นประจำ ผมนึกว่าแกไม่รู้ แต่พอผมโตมาผมถึงรู้ว่า ที่จริงแกน่าจะรู้มาตลอดว่าผมขโมยตังค์ แต่แกก็ไม่เคยพูดถึง หรือต่อว่าผมเลย) แกก็เลยไม่ติดใจ
อีก 2 – 3 วันต่อมา
ไอ้กล้วยมาชวนผมไปบ้านนั้นอีก ผมตามไอ้กล้วยไปทันที มันเข้าไปเอาตังค์มาแบ่งกันได้อีก
ผมก็ได้ส่วนแบ่งประมาณเท่าเดิมนั่นแหละคือ 20 – 30 บาท ผมไม่เคยถามไอ้กล้วยเลยว่า มันได้ตังค์ของมันเท่าไหร่
ให้ผมเท่าไหร่ อย่างที่บอก ผมมันเด็กจริง ๆ ไม่ค่อยรู้ประสีประสา
ใครชวนทำอะไรทำหมด ไม่ค่อยรู้ผลดีผลร้ายของการกระทำหรอก พอได้ตังค์มาก็เอาไปซื้อปลากัดอีก
อย่างที่บอก ผมเป็นคนที่ชอบอะไรก็จะหมกมุ่นจริงจังกับเรื่องนั้น ก่อนนอนคอยคิดอย่างตื่นเต้นอยากจะลุกมาดูตอนเช้าว่าพวกมันเป็นยังไงกัน
(แบบนี้เค้าเรียกกันว่าบ้าเห่อ ผมเป็นทุกทีแหละ
เวลามีสัตว์เลี้ยงใหม่ ๆ ของเล่นใหม่ ๆ ) พอตื่นขึ้นมาตอนเช้าต้องรีบมาดูปลากัดก่อนเป็นอันดับแรก
ช้อนลูกน้ำให้กิน แล้วก็คอยดูมันพองใส่กันอย่างเพลิดเพลินเป็นนานสองนาน มีตังค์เมื่อไหร่เป็นซื้อปลากัดอยู่เรื่อย
แต่ไม่ได้ซื้อเยอะ ซื้อทีละตัวสองตัว เท่าที่กำลังทรัพย์จะมี (ตอนนั้นปลากัดหม้อตัวหนึ่งราคาตัวละประมาณ
10 บาท)
ผมกับไอ้กล้วยติดใจ
หาตังค์ได้ง่าย ไอ้กล้วยมาชวนผมไปขโมยตังค์บ้านนั้นอีก ผมก็รีบไปทันที ในครั้งที่ 3
นี้ บ้านที่ถูกขโมยตังค์น่าจะรู้ตัวแล้วว่า ถูกคนมาขโมยตังค์ในบ้าน เค้าปิดหน้าต่างกระจกบานที่อยู่ติดกับประตูแล้วล็อกกลอนข้างในไว้
(เดิมเค้าเปิดหน้าต่างบานนั้นคาไว้ ไม่ได้ล็อก ไอ้กล้วยเอื้อมมือเข้าไปปลดกลอนประตูเพื่อเข้าไปในบ้านเอาตังค์ออกมาได้ง่าย
ๆ ) พอผมกับไอ้กล้วยเห็นหน้าต่างกระจกปิดล็อก ไม่เหมือนกับที่เคยเปิดไว้ครั้งก่อน
ๆ เลยมาคุยกันว่า จะเอายังไง ไอ้กล้วยบอกต้องทุบกระจก ผมก็ยอมตาม เอาก็เอา ไอ้กล้วยลงไปหาเอาก้อนหินก้อนประมาณกำมือปีนขึ้นมาอีกครั้ง
ผมคอยดูลาดเลาว่ามีชาวบ้านแถวท้ายซอยคอยดูพวกผมมั้ย พอเห็นว่า ไม่น่ามีใครสนใจ
ผมส่งสัญญานให้ไอ้กล้วยเอาหินทุบกระจกเปรี้ยงเข้าให้ ครั้งแรกแค่ร้าวยังไม่แตก
ต้องทุบอีกหลายครั้ง ก่อนทุบคอยมองลงไปดูชาวบ้านแถวนั้นว่า มีใครบังเอิญมองมาหรือไม่ทุกครั้ง
พอกระจกแตกเรียบร้อย ไอ้กล้วยล้วงมือเข้าไปปลดกลอนประตู เข้าไปเอาตังค์มาแบ่งกันได้สบาย
ๆ และก็อย่างที่รู้ ผมเอาตังค์ไปทำอะไร ก็เอาตังค์ไปซื้อปลากัดทุกทีแหละ
จบตอน
ปรัชญาชีวิตจริงจากความผิดพลาดของประสบการณ์ชีวิตในอดีต ตอนที่ 1 โปรดติดตามตอนที่ 2 ได้ในเร็ว ๆ นี้
หน้าแรก เกี่ยวกับฉัน กลับสู่ด้านบน
หน้าแรก เกี่ยวกับฉัน กลับสู่ด้านบน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
สวัสดีครับทุกท่าน กรณีที่ท่านติดตามชมบล็อกของผมแล้วต้องการแสดงความคิดเห็น ผมเปิดกว้างสำหรับทุกท่าน ขอความกรุณาแค่แสดงความคิดเห็นให้ตรงกับเนื้อหาของผม กรณีจะแสดงความคิดเห็นที่ไร้สาระ ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาเลย ได้โปรดอย่าทำเลยครับ ผมขี้เกียจลบ ขอบคุณมากครับ
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น