วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2556

หลักการอยู่อย่างยิ่งใหญ่ เคล็ดลับการดำเนินชีวิตอย่างเต็มภาคภูมิ ตอนที่ 1

หลักการอยู่อย่างยิ่งใหญ่ เคล็ดลับสำคัญสำหรับชีวิต ไม่ว่าคน ๆ นั้น จะธรรมดา ไม่สวย ไม่หล่อ ไม่รวย ไม่เก่ง ขอให้ยึดมั่นในหลักการ นำสิ่งที่แนะนำไปปรับใช้ จะภาคภูมิใจเป็นที่สุด       



สิ่งต่าง ๆ ที่แนะนำเอาไว้ในเนื้อหาของบทความนี้ มีความสำคัญมาก หากได้คิดได้ทำตาม หรือปรับใช้ในสิ่งที่เห็นว่าเหมาะสมที่สุดกับคุณ ครอบครัว หรือคนใกล้ชิด การดำเนินชีวิตของคุณ ครอบครัว หรือคนใกล้ชิด จะสามารถอยู่บนโลกอันเต็มไปด้วยการแก่งแย่งแข่งขัน ชิงดีชิงเด่นกันได้อย่างเต็มภาคภูมิ ความรู้สึกต่ำต้อย ไม่สามารถ หรือทำไม่ได้ที่แว๊บขึ้นมาในบางครั้งบางคราว จะหายไปจากคุณอย่างแน่นอน มาติดตามสาระสำคัญอันเป็นประโยชน์ได้เลยครับ


          ก่อนที่จะทยอยเขียนเรื่องของผมให้อ่านกัน คงต้องบอกกันก่อนว่า บล็อกนี้ เป็นบล็อกแรกที่ผมจัดทำขึ้นโดยซื้อหาตำรามาอ่าน แล้วก็ลองทำตาม ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการจัดทำบล็อก เว็บไซต์มาก่อน มีเพียงความอยากเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ๆ จาก ประสบการณ์ชีวิต และ เห็นว่าเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น น่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่ได้รับรู้รับฟัง แต่ด้วยความสามารถ โอกาส หน้าที่การงาน และ เรื่องที่จะเล่า ไม่อำนวยให้ผมเล่าเรื่อง หรือแสดงเรื่องราวต่าง ๆ ที่กล่าวมาด้วยวิธีการพูดเล่าเรื่อง ซึ่งตามปรกติแล้ว เวลาผมพูดกับสมาชิกในครอบครัว เพื่อนฝูง คนไม่รู้จักที่พบกันโดยบังเอิญ ผมจะพูดได้ดี คล่องแคล่ว สามารถพูดได้เป็นฉาก ๆ หา เหตุผล ยกมาอ้างอิง พูดได้ตามเสต็ป มีคำนำ เนื้อเรื่อง สรุป ชัดเจนแจ่มแจ๋ว แต่ปรากฏว่า เวลาผมพูดต่อที่ประชุมชน มีคนฟังมาก ๆ ผมพูดได้ไม่ค่อยดี จะพูดว่า ห่วยแตกก็ว่าได้ ผมเคยฝึกฝน การเป็นวิทยากรที่ดี หลายครั้ง เพราะเห็นเจ้านาย นักพูด นักปาฐกถา หลาย ๆ คน ประสบความสำเร็จในการพูด มีทรัพย์สินเงินทองมั่นคง ก็เลยอยากเอาอย่างมั่ง ทดลองไปเป็นวิทยากรดู การพูดในฐานะวิทยากร ไม่เหมือนกับเวลาที่เราพูดกับคนในครอบครัว เพื่อนฝูง หรือ คนไม่รู้จักที่พบกันโดยบังเอิญตามที่กล่าวมาแล้ว มันยากกว่ากันมาก คนไม่เคยฝึกฝน หรือ มีประสบการณ์ในการพูดบ่อย ๆ จะพูดให้ดีได้ยาก (หลายคนคงเคยมีประสบการณ์อย่างที่ผมบอกมาแล้ว คงไม่ปฏิเสธนะครับว่า มันยากพอดู กว่าจะพูดจนเก่ง มีคนฟังมากมาย ถึงขนาดบางทีต้องเสียเงินเข้ามาฟัง) ก่อนจะพูดเตรียมการมาเป็นอย่างดี กะจะควบคุมความตื่นเต้นให้ได้ หายใจลึก ๆ ยาว ๆ ตามสูตร กำหนดจะพูดเรื่องนั้นก่อน เรื่องนี้ทีหลัง เอาเข้าจริง หัวใจเต้นแรงแทบกระดอนออกมานอกอก ขาที่เคยยืนได้ตามปรกติ ดันอยากจะเต้นแร๊ปทั้งที่ไม่ได้เปิดเพลง กล่าวคำนำไปตามเนื้อหาที่จดใส่กระดาษ เหมือนกับการอ่านเอาเรื่องตอนเป็นเด็กนักเรียนเล็ก ๆ เนื้อเรื่องที่อยากจะพูดก็ลืมพูด ลำดับเรื่องมั่ว อุตส่าห์เตรียมมุกมาหวังจะให้คนฟังฮากลิ้ง กลายเป็นเราปล่อยมุกออกไป มีเราหัวเราะอยู่คนเดียว คนทั้งห้องนั่งเงียบกริ๊บ (คงนึกว่า มันพูดอะไรของมันวะ ไม่เห็นรู้เรื่อง) นั่นจึงเป็นสาเหตุ ที่ผมเลือกวิธีการเล่าเรื่องด้วยการเขียน น่าจะเป็นวิธีการที่ผมถนัด และเหมาะกว่าวิธีอื่น แต่การเขียนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกเช่นกัน (หรือใครว่าง่าย ถ้าคุณคิดว่าง่าย ตอนนี้คุณคงเป็น นักเขียน ไปแล้วหล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า) ทั้งที่ผมมีความคิดอยากเขียนหนังสือมานานแล้ว แต่พอคิดจะเขียน มันติดขัดไปหมด ติดตั้งแต่จะเริ่มเขียนเรื่องอะไรดี ใช้อะไรเขียน (สมัยที่ผมเริ่มคิดจะเขียนหนังสือ เป็นช่วงประมาณปี 2540 ตอนนั้น เป็นช่วงเริ่มต้นในการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัว ราคายังแพงมาก ผมยังใช้พิมพ์ดีดกระเป๋าหิ้วอยู่เลย) เขียนเสร็จแล้วจะส่งไปพิมพ์ที่ไหน เราจะเป็นคนออกทุน หรือ สำนักพิมพ์ออกทุน เรื่องของเราจะขายได้หรือไม่ ถ้าเขียนเสร็จแล้ว เราเอาไปเสนอสำนักพิมพ์ เราจะกล้าไปไหม และ สารพัดปัญหาอีกมากมายมหาศาล ความรู้เรื่องวงการหนังสือของผมเป็นศูนย์ อุปสรรคใหญ่ยิ่งที่สุดของการเขียนก็คือ ความคิดที่ว่า เขียนแล้วจะมีคนอ่านไหม จะประสบความสำเร็จไหม เราไม่เคยอยู่ในวงการ หรือ เข้าไปคลุกใน ชุมชนนักเขียน หนังสือเลย เคยแต่อ่านหนังสือตามที่ชอบ ไม่รู้ว่าเวลาจะเขียนหนังสือขายต้องทำยังไง จินตนาการ ไม่ออก ความคิดแง่ลบที่คิดว่า เขียนออกมาแล้วคงไม่มีคนอ่าน ไม่มีคนซื้อ มันใหญ่ คล้ายกับความคิดของคนจำนวนมาก เวลาเริ่มคิดจะทำอะไรใหม่ ๆ จะคิดมากมายว่า ทำอย่างนั้น อย่างนี้แล้วจะทำได้มั้ย สำเร็จมั้ย จะร่ำรวยมั้ย คิดไปคิดมาหลายตลบ พอคิดมากเข้า ความคิดที่ว่า ทำไม่ได้ ทำไม่สำเร็จเริ่มขยายตัวใหญ่ขึ้น กลายเป็นความคิดว่า อย่าไปทำมันเลย บดบังยุติความคิดริเริ่มโครงการใหม่ ๆ ให้เลือนหายไป ความคิดที่ขัดขวางไม่ให้เราริเริ่มทำอะไรใหม่ ๆ อย่างนี้มันคิดง่ายมาก เราจะหาเหตุผลได้ร้อยแปดพันประการ มาสนับสนุนการที่เราจะไม่ทำได้เพียบ ตั้งแต่แรกเริ่มเลยทีเดียว เราจะทำอะไร ทำยังไง อุปสรรคขัดขวางเต็มไปหมด ด้วยว่าเป็นเรื่องใหม่ เราไม่เคยทำ หรือ ทำสำเร็จมาก่อน จะนึกภาพ หรือคิดคำนวณว่า ทำแล้วจะได้ผลอย่างนั้นอย่างนี้ ก็นึกไม่ออก พออุปสรรคที่คิดไว้มีเยอะ เลยพาลยกเลิกอย่าไปทำมันเลย มันลำบาก ไม่น่าจะประสบความสำเร็จ หรือ ร่ำรวยอะไรกับเขาหรอก อยู่เฉย ๆ ดีกว่า ง่ายดี แล้วเราก็นิ่งไป ไม่ทำจริง ๆ โครงการเขียนหนังสือของผม ที่ยังไม่ได้เริ่มต้นด้วยเหตุดังกล่าวก็เป็นส่วนหนึ่ง นี่แหละคือตัวอย่างของผม ล้มตั้งแต่ยังไม่ได้ยืน เจ๊งตั้งแต่ยังไม่ได้ลงทุน ซึ่งผมก็เป็นอย่างที่คนหลาย ๆ คนเป็น แต่ผมยังมีความแตกต่างจากคนหลายคน ที่คิดแพ้แต่เริ่มต้น แล้วก็ยุติความคิดนั้นไปเลย ผมยังมีใจที่อยากเขียนอยู่ตลอด การเขียนหนังสือ ไม่เคยล้มเลิกไปจากหัวของผมเลย  ปัจจุบัน  ปี 2554 เทคโนโลยีก้าวหน้า คนไม่เคยมีความรู้ทางเขียนบล็อก เขียนเว็บไซต์ สามารถโดดเข้ามาเขียนบล็อก เขียนเว็บไซต์กันยกใหญ่ ผมไปหาเจอหนังสือเกี่ยวกับการเขียนบล็อก โปรโมตบล็อกให้เป็นที่รู้จักในท้องตลาด ผมรู้ทันทีว่า เรื่องราวของผม มีโอกาสที่จะได้ถ่ายทอดให้ชาวโลกรับรู้ ได้ประโยชน์เกิดขึ้นแล้ว ผมจะเป็นเจ้าของบล็อก จะเขียนเรื่องอะไรก็ได้ ตามที่อยากจะเขียน (โดยที่ไม่ต้องย้ายตัวเองเข้าไปอยู่ในคุก) จะเขียนเรื่องที่เป็นประโยชน์กับทุกคน มีอิสระในการเขียนเท่าที่ไม่ไปรบกวนสิทธิประโยชน์ อันพึงมีพึงได้ของใครเขา ผมจัดทำบล็อกนี้ ผมต้องการฝึกงานเขียนของผมส่วนหนึ่ง อยากจะรู้ว่า งานของผมพอจะมีคนสนใจอยากอ่านบ้างมั้ย และ ต้องการให้เกิดประโยชน์กับผู้ชมให้มากที่สุด ไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ หากผมจะหวังสิ่งตอบแทนอย่างหนึ่งอย่างใด ก็คงจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ผลตอบแทนการโฆษณาทางอินเตอร์เน็ตให้กับบริษัทกูเกิล อเมซอน หรือบริษัทอื่น ๆ ที่แบ่งรายได้ให้กับสมาชิก ที่ร่วมทำการโฆษณาสินค้าครบตามหลักเกณฑ์ และ เงื่อนไขของเขา หรือหากมีสินค้าที่ดี มีประโยชน์ เคยใช้เอง คนใกล้ชิดใช้ ผ่านการพิสูจน์รับรองแล้วว่าดีจริง ก็อาจ ขายสินค้า เหล่านั้น ด้วยราคาที่เหมาะสม ไม่หลอกลวงเรื่องคุณภาพ ปริมาณ หรือราคา (ปัจจุบันมีสินค้าโฆษณาเยอะมาก ของอย่างเดียวกันมีไม่รู้กี่ยี่ห้อเลือกไม่ถูก ของบางอย่าง บางยี่ห้อคุณภาพ ปริมาณ และราคา ไม่เป็นไปตามที่โฆษณา หลอกลวงกันชัด ๆ ถ้าจะมีสินค้าโฆษณาในบล็อกนี้ ต้องพิสูจน์ว่าใช้ดี ไม่หลอกกัน จึงจะยอมให้โฆษณาได้) นี่แหละจึงเป็นที่มาของบล็อก อยู่อย่างยิ่งใหญ่ ได้โอกาสมาปรากฏอยู่ต่อหน้าท่านในขณะนี้ บล็อกนี้ ผมตั้งใจว่าจะเขียนเรื่องราวด้วยตัวเองทั้งหมด เน้นเรื่องที่มีสาระเป็นประโยชน์กับคนส่วนใหญ่จริง ๆ (บล็อก หรือเว็บไซต์ที่เน้นความบันเทิง ความสนุกสนาน มีเยอะแล้ว ขอเป็นบล็อกสาระดีมีประโยชน์มี ข้อคิดดี ๆ ในการใช้ชีวิต จริง ๆ สักบล็อกหนึ่ง) แต่มันติดปัญหาตรงที่ว่า ผมเพิ่งเริ่มเขียน ความชำนาญความแคล่วคล่องว่องไวน้อย กว่าจะเขียนบทความตอนหนึ่ง ๆ เสร็จ ต้องใช้เวลามากพอสมควรทีเดียว หากคุณต้องรอติดตามผลงานของผมนาน หรือ เกิดผิดพลาด ขาดตกบกพร่องประการใด ต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้

          หลักการ อยู่อย่างยิ่งใหญ่ นั้น แบ่งออกได้เป็น 2 แบบ 
            หลักการ อยู่อย่างยิ่งใหญ่แบบแรก เป็นการอยู่อย่างยิ่งใหญ่จริง ๆ ของผู้ยิ่งใหญ่ตามธรรมชาติที่มีทั้งสัตว์ และ มนุษย์ (ตามที่ผมจะยกตัวอย่างให้ดูต่อไป) 
             หลักการ อยู่อย่างยิ่งใหญ่แบบที่ 2 เป็นการอยู่อย่างยิ่งใหญ่ตามความหมายเฉพาะของผม เป็นหลักการ ดี ๆ เหมาะสมสำหรับคนทุกคน ที่ไม่เคยมีใครเป็นรอง (อย่างงคำนี้นะ ส่วนใหญ่คนในโลกเรานี่ เวลาพูดถึงตัวเองว่า ทำนั่นทำนี่เจ๋งมั้ย เก่งมั้ย ส่วนใหญ่จะบอกอย่างอวดนิด ๆ ว่า  "ผม หรือชั้นไม่เคยเป็นรองใคร" มันก็หมายความว่า "ผม หรือชั้นเป็นที่ 1 มาโดยตลอด" คนพวกนี้เราคงไม่ต้องไปห่วงเค้าหรอก เค้าคงเอาตัวรอดได้ดีอยู่แล้ว แต่ในสังคมไม่ได้มีแต่คนเก่ง มีคนอีกมาก ที่เป็นคนแบบที่ไม่เคยมีใครเป็นรอง ก็เค้าเป็นคนที่โหล่มาตลอด แล้วยังจะมีใครเป็นรองเค้าอีกหละ) ผมเล่นคำไปอย่างนั้นแหละ จริง ๆ แล้ว หลักการ อยู่อย่างยิ่งใหญ่ ก็เหมาะกับคนทุกคน ผมจะไปเลือกที่รักมักที่ชังได้ไง   

          หลักการ อยู่อย่างยิ่งใหญ่ ของผม แบ่งเป็น บทความ ทั้งหมด 3 ตอน อธิบายรายละเอียดหลักการ อยู่อย่างยิ่งใหญ่ ทั้ง 2 แบบ ให้ดูกันอย่างชัด ๆ ว่า หลักการ อยู่อย่างยิ่งใหญ่ แต่ละแบบ เราควรจะต้องมี คุณสมบัติ และ ต้องทำยังไง การอยู่อย่างยิ่งใหญ่ตามธรรมชาตินั้น ผมไม่กล้าบอกวิธีดำเนินการให้คุณได้ อยู่อย่างยิ่งใหญ่ อย่างนั้น เพราะมันยาก มีโอกาสความเป็นไปไม่ได้สูง แต่สำหรับ การอยู่อย่างยิ่งใหญ่ ตามความหมายเฉพาะของผม ผมรับประกันว่า ทำได้อย่างง่ายดายทุกคน เอาหล่ะ เรามาเริ่มการ อยู่อย่างยิ่งใหญ่ แบบแรกกันเลยดีกว่า ผมยกเอาตัวอย่างของ ผู้ยิ่งใหญ่ ที่มีอยู่กันตามธรรมชาติเป็นสัตว์ 3 ชนิด และ มนุษย์ 3 ท่านมาให้ดูกัน เพื่อเราจะมาพิจารณากันดูได้ว่า ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ มีคุณสมบัติ และ ทำอย่างไรจึงมีชื่อเสียงเกียรติภูมิอันยิ่งใหญ่
          คุณดู สัตว์ผู้ยิ่งใหญ่ ชนิด ที่ผมนำมาแสดงให้ดูซิครับ

นกอินทรีย์ หรือพญาอินทรีย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งท้องฟ้า
ดูรายละเอียดรูปภาพได้ที่ลิงค์ http://bit.ly/1j0IJQb

สิงโต หรือพญาสิงโต ผู้ยิ่งใหญ่แห่งป่า
                     
ดูรายละเอียดรูปภาพได้ที่ลิงค์ http://bit.ly/1jqAkFl


ฉลามขาว ผู้ยิ่งใหญ่แห่งท้องทะเล
ดูรายละเอียดรูปภาพได้ที่ ลิ้งค์ : https://bit.ly/2P2H4OM
          สัตว์แต่ละชนิดล้วนมีความสามารถ รูปร่างล่ำสันแข็งแรง เขี้ยวเล็บแหลมคม พละกำลังเหลือเฟือ ฝีมือการล่าเหยื่อเฉียบขาด ลองดูภาพสัตว์ทั้ง 3 ชนิดนี้ แล้ว จินตนาการ ดูว่า ขณะที่ สัตว์ทั้ง 3 ชนิดใช้ชีวิตอยู่ในถิ่นของมัน มันมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร ทำไมสัตว์ต่าง ๆ หรือ แม้กระทั่งมนุษย์จึงเห็นพ้องต้องกันว่าสัตว์เหล่านี้ยิ่งใหญ่
          นกอินทรีย์ หรือ พญาอินทรีย์ ชอบใช้ชีวิตในทุ่งกว้าง ป่าโปร่ง เพราะสะดวกต่อการล่าเหยื่อเป็นที่สุด ขณะที่มันกำลังบินล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าสูงลิบลิ่ว ยามเรามองไปที่มัน เราแทบแยกไม่ออกว่า สิ่งที่บินอยู่นั้นเป็นนกอะไร ด้วยมีขนาดให้เห็นเล็กนิดเดียว บางครั้งต้องเดาเอาว่าเป็น นกอินทรีย์ เหยี่ยว หรือ อีแร้ง เดาแล้วก็ไม่รู้ว่า สิ่งที่เดาจะถูกหรือผิด ถ้าสิ่งที่บินนั้น ไม่ได้บินลงมาต่ำจนเราสามารถสังเกตแยกแยะได้ การบินสูงของ นกอินทรีย์ นั้นไม่ได้เป็นอุปสรรคกับการมองเห็นของมัน สายตาของมันดีมากเป็นพิเศษ สามารถมองเห็นสิ่งมีชีวิต แม้จะตัวเล็กในระยะไกลได้ดี เหล่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยเหล่านั้น ไม่ว่าจะอาศัยอยู่บนพื้นดิน พงหญ้า หรือ แม้กระทั่งปลาที่ลอยตัวบริเวณผิวน้ำ หากปรากฏตัวอยู่ ยากจะหลบรอดสายตาแหลมคมของ นกอินทรีย์ พ้น ตัวไหนไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับนักล่าแห่งเวหา หาอาหารกินเพลิน อย่างขาดความระวัง ชีวิตอันน้อยนิด มักจะปลิดปลิวก่อนเวลาอันควรเสมอ ดังนั้น สัตว์น้อยใหญ่ ที่มีประสบการณ์รู้ถึงความร้ายกาจของ นกอินทรีย์ แล้ว เพียงเห็นเงา หรือ เห็นสิ่งที่น่าสงสัยว่า จะเป็น นกอินทรีย์ กำลังออกล่าเหยื่อ จะหลบเข้าที่กำบัง เพื่อรักษาชีวิตให้ยืนยาวทันที
          สิงโต หรือ พญาสิงโต เป็นนักล่าที่สัตว์ทุกชนิดเกรงกลัว ด้วยพลังการล่าอันแข็งแกร่ง และถนัดการล่าเป็นทีม ถิ่นที่อยู่ของ สิงโต จะไม่มีสัตว์ชนิดใดกรายเข้าใกล้ กลิ่นสาป และ เสียงของ สิงโตสามารถสะกดสัตว์อื่น ให้กลัวหัวหดหลบหนี หรือ เข้าหาที่กำบังเป็นทิวแถว เพียงแค่มันเดินผ่านไปในป่าเฉย ๆ ยังไม่ต้องทำอะไร ทางเดินนั้น จะเงียบสนิทเหมือนป่าช้าทีเดียว
          ฉลามขาว มีความดุร้าย กระหายเลือดเป็นที่ขึ้นชื่อ การปรากฏตัวของมัน นำพาสัตว์น้ำน้อยใหญ่หลีกลี้หนีตายจ้าละหวั่น หากสัตว์น้ำ หรือสิ่งมีชีวิตอะไรก็ตาม ที่บังเอิญอยู่ในทะเลแล้วปล่อยสารเคมีบางอย่างออกจากตัว หรือ มีอาการบาดเจ็บมีเลือดไหล ถ้าบริเวณนั้นมี ฉลามขาว อยู่ ฉลามขาว มีประสาทรับกลิ่นที่ดีมาก มันจะมุ่งมายังต้นกำเนิดกลิ่นอย่างรวดเร็ว สัตว์น้ำ หรือ สิ่งมีชีวิตนั้น ๆ ต้องถูกโจมตีฉีกทึ้งอย่างดุร้ายแน่นอน
           ทีนี้ เราพอจะรู้คร่าว ๆ แล้วว่า สัตว์ทั้ง 3 ชนิด ที่มีชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่มายาวนาน ใช้ชีวิตยังไง แล้วมันมีคุณสมบัติทั่วไปอะไรบ้าง ที่ทำให้สัตว์ต่าง ๆ แม้กระทั่งมนุษย์ ผู้ที่มั่นใจว่า ตนเองเหนือกว่าสัตว์ทุกชนิดในโลก ยังต้องเกรงกลัว หากจะต้องเข้าไปกรายใกล้สัตว์เหล่านี้
          คุณสมบัติทั่วไปที่ สัตว์นักล่า เหล่านี้ต้องมี คือ
          ร่างกายล่ำสันใหญ่โต เขี้ยวเล็บแหลมคม และพลังที่แข็งแกร่ง การมีร่างกายล่ำสันใหญ่โต เขี้ยวเล็บแหลมคม และพลังที่แข็งแกร่ง ทำให้ความสามารถ ในการล่าเหยื่อสำเร็จมีโอกาสสูง วิ่งไล่เหยื่อได้เร็ว การทำร้ายเหยื่อจนหยุด ไม่สามารถหันมาต่อสู้ หรือ วิ่งหนี ทำได้ดีมีประสิทธิภาพ คุณสมบัติข้อนี้สำคัญ และ จำเป็นอย่างที่สุดที่ทำให้สัตว์นักล่า เหล่านี้ สามารถดำรงชีวิต และ รักษาเผ่าพันธุ์ ให้อยู่รอดปลอดภัยในธรรมชาติอันโหดร้ายได้ การล่าที่ผิดพลาดบ่อย จะทำให้ชีวิตของมัน และเผ่าพันธุ์ของมัน ต้องล้มหายตายจากไปตามกฎธรรมชาติอันแน่นอน (ผู้แข็งแรงเท่านั้นที่จะอยู่รอด) สัตว์จะออกล่าต่อเมื่อหิว หิวครั้งหนึ่ง ออกล่าครั้งหนึ่ง จะล่ามาก ๆ เก็บไว้ก็ไม่ได้ เนื้อจะเน่าเสีย และอีกอย่าง สัตว์กินซาก (พวกนกแร้ง หมาป่าไฮยีน่า ฯลฯ) มักเข้ามาคอยต่อแถว ร่วมด้วยช่วยกินอยู่แล้ว การจะเก็บเหยื่อไว้ แทบไม่มีโอกาส ความเสี่ยงของการที่จะล่าเหยื่อ ไม่ได้เกิดขึ้นได้ทุกมื้อ บางช่วงบางฤดู อาจล่าหาอาหารไม่ได้ หลายมื้อติดกันก็มี เมื่อเดิมพันการล่า คือความอยู่รอดของตน และ เผ่าพันธุ์ การล่าที่ได้ผลสำเร็จอย่างมาก จึงเป็นสิ่งที่สัตว์นักล่า เหล่านี้ต้องการมากที่สุด ธรรมชาติจึงมอบอาวุธติดตัวที่สำคัญ และ จำเป็นที่สุดให้กับ สัตว์นักล่า เหล่านี้ มีร่างกายล่ำสันใหญ่โต เขี้ยวเล็บแหลมคม และ พลังที่แข็งแกร่ง เอาไว้ใช้ในการล่า ผลงานการล่าเหยื่อได้สำเร็จเป็นส่วนใหญ่ สร้างชื่อเสียงแก่ สัตว์นักล่า เหล่านี้ให้ยิ่งใหญ่มายาวนาน
          มีความมุ่งมั่นทุ่มเท และความอดทนสูง สัตว์นักล่า เหล่านี้ มีความมุ่งมั่นทุ่มเท ต่อการล่ามาก งานไม่สำเร็จจะไม่ยอมเลิกรา พยายามล่าเพื่อหาเหยื่อมาเป็นอาหารให้จงได้ สัตว์นักล่าเหล่านี้ มีความอดทนต่อความหิวโหย และ ความเหนื่อยล้าได้อย่างดีเยี่ยม บางคราว ก่อนออกล่าเหยื่อ สัตว์นักล่าเหล่านี้ ต้องทนหิวโหยจากมื้อก่อน ที่ยังไม่ได้กินอาหารมา ออกไปล่าเหยื่อทั้งที่ยังหิว เรี่ยวแรงลดน้อยถอยลง อาจต้องตระเวนไปไกลจากถิ่นที่อยู่ เพื่อการล่า การล่าแต่ละครั้ง ใช่ว่าจะได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ มีผิดมีพลาด ด้วยความที่สัตว์นักล่าเหล่านี้ มีธาตุทรหดสูง บางช่วงเวลาที่เหยื่อมีน้อยมันอาจต้องอดอาหารติดต่อกันหลายมื้อ ไม่ได้ทำให้พวกมันยอมแพ้ ยอมจำนน นอนรอความตาย ในที่สุดการล่าเหยื่ออย่างมุ่งมั่นจริงจัง ไม่ละความพยายาม มักหยิบยื่นผลสำเร็จ ให้มันล่าได้เหยื่อใหม่ มาเป็นอาหารต่อชีวิตไปได้ในที่สุด ถ้าคุณสังเกตให้ดี ตามธรรมชาติ หากสัตว์นักล่าเหล่านี้ ไม่ถึงกับเจ็บป่วย หรือ พิการ จะไม่ค่อยเห็นสัตว์นักล่าเหล่านี้อดอาหารตาย
          ยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพิงสัตว์ตัวอื่น สัตว์ที่ยืนหยัดด้วยตัวเองยังไม่ได้ ต้องพึ่งพิงอาศัยสัตว์ตัวอื่นอยู่ ถ้าไม่เป็นสัตว์วัยอ่อน ที่ต้องมีพ่อแม่หาอาหารมาเลี้ยง ปกป้องให้ปลอดภัย ก็ต้องเป็นสัตว์ที่เจ็บป่วย จนหาอาหารกินเองไม่ได้ ต้องพึ่งพาอาศัยสมาชิกฝูง ที่ตนอยู่คอยช่วยเหลือหาอาหารมาให้  สัตว์ทุกชนิดในธรรมชาติ เมื่อโตพอพ่อแม่จะปล่อยออกเผชิญโลกเพียงลำพัง อยู่ได้ หรือ อยู่ไม่ได้ก็ต้องเผชิญชะตากรรมของตัวเอง ตัวไหนที่อ่อนแอ พิการ ไม่มีความสามารถในการหาอาหาร ธรรมชาติ จะตัดตัวออกจากเกมส์แห่งความอยู่รอด ตามกฎผู้แข็งแรงเท่านั้นที่จะอยู่รอด สัตว์นักล่าเหล่านี้ ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ธรรมชาติอันแน่นอนนี้เช่นกัน ต้องยืนหยัดอยู่ให้ได้ ด้วยความสามารถของตัวเองล้วน ๆ ในธรรมชาติ สัตว์จะไม่มีการช่วยเหลือกัน ใครดีใครอยู่ สัตว์นักล่า เหล่านี้จะกินเหยื่อที่ตนล่าหามาได้เองเท่านั้น ไม่รอคอย หรืออาศัยสัตว์อื่น หาอาหารมาให้กิน หากพวกมันล่าเหยื่อไม่ได้ จะต้องทนหิว และ อาจต้องทนหิวติดต่อกันไปหลายมื้อ สัตว์นักล่า เหล่านี้จะไม่แย่งกินเศษอาหารของใคร (คล้ายกับมนุษย์ที่หยิ่งในศักดิ์ศรี ไม่ยอมแบมือขอใครกิน แต่ในความจริง ที่เป็นอย่างนี้ก็ด้วยลักษณะนิสัยส่วนตัว ที่สัตว์นักล่าเหล่านี้ชอบกินเหยื่อที่เพิ่งล่ามาได้ใหม่ ๆ ไม่ชอบกินซากสัตว์) สัตว์นักล่า เหล่านี้ ชอบกินสัตว์ที่ตัวเองล่ามาเองใหม่ ๆ ต่างจากพวก นกแร้ง หมาป่าไฮยีน่า ฯลฯ ที่ชอบกินซากสัตว์ พอเราพูดถึงสัตว์นักล่า กับสัตว์กินซากเราจะรู้สึกเหมือนว่า ชื่อชั้นความยิ่งใหญ่ ของสัตว์กินซากต่ำชั้นกว่าสัตว์นักล่า อาจจะด้วยพวกมันคอยแต่จะขอ หรือ แย่งอาหารจากเหล่า สัตว์นักล่า ซึ่งการกระทำดังกล่าว คล้ายการขอทานในสังคมมนุษย์ ที่ทุกคนเห็นว่า เป็นการกระทำที่ไม่มีเกียรติ คอยแต่จะขอ หรือ แย่งจากคนอื่นเขา ไม่ยอมทำมาหากินด้วยตัวเอง แต่ในมุมมองของสัตว์ที่เป็นเหยื่อ มอง สัตว์นักล่า กับสัตว์กินซากน่ากลัวพอกัน จ้องจะสวาปามพวกมัน เข้าท้องทันทีที่มีโอกาส
          คุณสมบัติพิเศษ ที่ทำให้สัตว์นักล่าเหล่านี้ ได้เปรียบในการล่า คือ
          นกอินทรีย์ จะมี สายตาประสิทธิภาพสูง มองเห็นสัตว์ที่แม้จะตัวเล็ก ได้ในระยะไกล เมื่อ นกอินทรีย์ บินสูงขึ้นไปมาก ๆ สัตว์ที่อยู่ข้างล่างจะมองเห็น นกอินทรีย์ ได้ยาก เนื่องจากสายตาสัตว์ส่วนใหญ่ เป็นสายตาธรรมดา มองเห็นสิ่งของระยะไกลไม่ดีนัก ต่างกับ นกอินทรีย์ แม้จะไกลแค่ไหน ก็ยังสามารถมองเห็นเหยื่อได้ การบินสูงทำให้ขอบเขตการมองเห็นกว้างไกลขึ้น โอกาสพบเห็นเหยื่อก็มากขึ้น การออกล่าในแต่ละวัน หากไม่โชคร้ายจนเกินไปมักไม่พลาด
        สิงโต มีความสามารถในการต่อสู้ กรงเล็บอันแข็งแกร่ง ติดตัวมาตั้งแต่เกิด พอได้ลับเขี้ยวเล็บ และ ฝึกปรือประสบการณ์การต่อสู้ผ่าน วัน และ เวลา สิงโต อื่นในกลุ่ม จะรับรู้ความเก่งกาจ และ จัดลำดับสิงโต ที่แสดงฝีมือการต่อสู้ อย่างฉกาจฉกรรจ์ให้เห็น เป็น สิงโต ที่มีลำดับความสำคัญอันดับต้น ๆ ในฝูง หรือ เป็นหัวหน้าฝูง แต่แปลกที่ สิงโต ตัวผู้ มักไม่ออกล่าเหยื่อด้วยตัวเอง สิงโต ตัวผู้ คล้ายผู้บริหารคอยสั่งการการล่าแต่ละครั้ง ผู้ดำเนินการล่าตัวจริงคือ ทีมงานตัวเมียในฝูง ทีมงานตัวเมียมีการทำงานเป็นทีมที่ดีมาก ทุกตัว ร่วมแรงร่วมใจทำงานล่าเหยื่อพร้อมกันเป็นฝูง แบ่งหน้าที่กันทำ อย่างชาญฉลาด ตัวหนึ่งดักทางหนึ่ง อีกตัวดักอีกทาง ขณะเข้าจู่โจม เหยื่อที่ไม่แข็งแรง จนวิ่งได้เร็วมาก ๆ หรือ ที่กำลังหาอาหารอย่างไม่ทันระวังตัว ถูกการล่าแบบดักทางหนีไว้หมดอย่างนี้ มักจะหลบไม่พ้น โดนขย้ำเป็นเหยื่อเสียแทบทุกราย ประเพณีการกินเหยื่อของ สิงโต จะจัดลำดับการกินเหยื่อ โดยแบ่งตามลำดับความสำคัญ หัวหน้าฝูง จะเริ่มกินก่อน ต่อจากนั้น ก็เรียงลงมา ตามลำดับความสำคัญในฝูงเรื่อยไปจนถึงตัวสุดท้าย  จากผลงานการล่าสังหารเหยื่อ ที่มีประสิทธิภาพค่อนข้างแน่นอน ชื่อเสียงความยิ่งใหญ่ของ สิงโต จึงคงอยู่เป็นที่เกรงขามตลอดมา (สิงโตตัวผู้แทบไม่ได้ออกแรง พอล่าเหยื่อได้กลับกินก่อนเป็นตัวแรก ชื่อเสียงความน่าเกรงขามในความยิ่งใหญ่ ก็ยังตกอยู่กับ สิงโต ตัวผู้ ทั้งที่ความเก่งกาจในการล่าจริง ๆ เป็นของ สิงโต ตัวเมียผู้อยู่เบื้องหลังการถ่ายทำทั้งนั้น คล้าย ๆ แวดวงของคนเลยแฮะ คนทำเหนื่อยไม่ค่อยได้อะไร คนสั่งไม่ต้องทำแต่ได้ทุกอย่าง)
          ฉลามขาว มี ประสาทรับกลิ่นดีมาก สามารถรับกลิ่นสารเคมี หรือ กลิ่นคาวเลือดแม้เพียงปริมาณน้อยนิด ที่ไหลออกจากสัตว์ลงสู่น้ำทะเล ฉลามขาว สามารถตามจนเจอ ต้นตอผู้ปล่อยกลิ่นว่า มาจากที่ไหนได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น หากมีสัตว์ตัวใดบาดเจ็บ หรือ กำลังเล่นน้ำอย่างเพลิดเพลิน หากมีกลิ่นสารเคมีในร่างกาย หรือ เลือดไหลลงสู่ทะเล จะเหมือนบัตรเชิญ ให้ฉลามมาช่วยกินโต๊ะจีนที่มีตัวผู้ปล่อยกลิ่นเป็นอาหารจานเด็ดนั่นเอง
          กล่าวโดยสรุปได้ว่า สัตว์นักล่า เหล่านี้มี
          คุณสมบัติทั่วไป คือ
          มีร่างกายล่ำสันใหญ่โต เขี้ยวเล็บแหลมคม และ พลังที่แข็งแกร่ง เป็นอาวุธสำคัญ และจำเป็นที่สุดเพื่อใช้ในการล่าที่มีประสิทธิภาพ ทำให้มันดำรงชีวิต และ เผ่าพันธุ์ไปได้ตลอดรอดฝั่ง
          มีความมุ่งมั่นทุ่มเท และ ความอดทนสูง สัตว์นักล่าเหล่านี้ มีความมุ่งมั่นทุ่มเทต่อการล่ามาก  งานไม่สำเร็จจะไม่เลิกรา พวกมันอดทนต่อความหิวโหย และความเหนื่อยล้าได้อย่างดีเยี่ยม มีธาตุทรหดสูง สามารถต่อสู้กับความหิวโหย เหนื่อยล้า ธรรมชาติอันโหดร้าย ได้อย่างไม่ยอมจำนน ดำรงไว้ซึ่งชีวิตของตน และ เผ่าพันธุ์มายาวนาน
          ยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพิงอาศัยสัตว์ตัวอื่น ในธรรมชาติ สัตว์ที่โตแล้ว จะต้องหากินอยู่ให้รอดได้ด้วยตัวเอง ไม่มีการช่วยเหลือกัน และถ้าพวกมัน ไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ มันก็จะถูกกำจัดไป ตามกฎธรรมชาติอันแน่นอน ที่ผู้แข็งแรงเท่านั้นที่จะอยู่รอด ซึ่งสัตว์นักล่าเหล่านี้ ก็ต้องตกอยู่ภายใต้กฎกติกามารยาทนี้ อย่างเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
           คุณสมบัติพิเศษ คือ
            นกอินทรีย์ สายตาดีมากเป็นพิเศษ มองเห็นสัตว์เล็ก ๆ ได้ในระยะไกล
            สิงโต ทำงานเป็นทีมได้ดี การล่าเหยื่อสำเร็จมีโอกาสสูง
         และ ฉลามขาว มี ประสาทรับกลิ่นที่ดีมาก  รับรู้กลิ่นสารเคมี หรือ เลือดที่ไหลออกมาจากสัตว์อื่น แม้เพียงปริมาณเล็กน้อยได้ตั้งไกล และ สามารถสาวถึงต้นตอของกลิ่นได้ในเวลารวดเร็ว
        
                        สัตว์นักล่าเหล่านี้ มีคุณสมบัติทั่วไป และคุณสมบัติพิเศษ ประกอบกันเช่นนี้ นับได้ว่ามีคุณสมบัติเหมาะสม สำหรับการเป็นนักล่าชั้นยอด ยามมันออกล่าเหยื่อ มันจะใช้ประสบการณ์ ที่ได้รับจากการล่าครั้งก่อน ๆ ประเมินสภาพเหยื่อ อายุ ขนาด ความแข็งแรง อาการบาดเจ็บ (สัตว์วัยอ่อน สัตว์เจ็บ จะเป็นเป้าหมายลำดับต้น ๆ เพราะล่าได้ง่าย) ฯลฯ แล้วก็วิ่งไล่จับ หากไม่โชคร้ายจนเกินไป โอกาสที่เหยื่อ จะหลบรอดแทบไม่มี จะเห็นได้ว่า สัตว์นักล่าเพียงทำงาน ที่ธรรมชาติมอบหมายให้อย่างจริงจัง เพื่อจุดประสงค์ ในการหาอาหารมาดำรงไว้ซึ่งชีวิตตน กับเผ่าพันธุ์ให้อยู่รอด ผลงานความสำเร็จ ในการล่าแต่ละครั้ง ที่ค่อนข้างแน่นอน ทำให้ สัตว์นักล่า มีชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่น่าเกรงขามตลอดมา         
จบ หลักการ อยู่อย่างยิ่งใหญ่ เคล็ดลับ การดำเนินชีวิตอย่างเต็มภาคภูมิ ตอนที่ 1 โปรดติดตามตอนที่ 2 ได้ต่อไปในเร็ววันนี้


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สวัสดีครับทุกท่าน กรณีที่ท่านติดตามชมบล็อกของผมแล้วต้องการแสดงความคิดเห็น ผมเปิดกว้างสำหรับทุกท่าน ขอความกรุณาแค่แสดงความคิดเห็นให้ตรงกับเนื้อหาของผม กรณีจะแสดงความคิดเห็นที่ไร้สาระ ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาเลย ได้โปรดอย่าทำเลยครับ ผมขี้เกียจลบ ขอบคุณมากครับ

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น