วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

คำคม ข้อคิด ดีๆ เรื่อง อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่า ชีวิตมันแย่

คำคม ข้อคิด ดีๆ คอยเตือนใจเรื่อง อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่า ชีวิตมันแย่ มันอาจจะเป็นแค่ จุดเปลี่ยนของชีวิต ที่จะทำให้เรา ไปเจอชีวิตใหม่ที่ดีกว่า คำเตือนอย่างนี้ ช่างเหมาะสำหรับทุกท่านจริง ๆ


เชิญชม วิดีโอ คำคม ข้อคิด ดีๆ แม้เรื่องกระทบแรง แต่ อย่าเพิ่งด่วนสรุป ว่าชีวิตมันแย่ ที่นำเสนอข้อคิดเตือนใจดี ๆ ไว้สำหรับทุกท่าน เผื่อจะได้เกิดภูมิต้านทานสำหรับการต่อสู้ชีวิต



เกริ่นนำ
สวัสดีครับ ผม สารวัตรโบ้ คนโม้ไม่เป็น มีโอกาสนำเสนอเรื่องราวดี ๆ อีกแล้วครับ วันนี้ มานำเสนอเรื่อง “อย่าเพิ่งด่วนสรุป ว่าชีวิตมันแย่” (ขอขอบคุณท่านผู้ประพันธ์ บทความ หรือวลีเด็ด คำคม ข้อคิดดี ๆ นี้ ยอมรับว่า คำประพันธ์ของท่าน เป็นข้อคิดเตือนใจ ให้กำลังใจคนได้มากมายทีเดียว) โดย จุดเริ่มเรื่อง คือ ขณะที่ผมซึ่งไม่เคยมีความรู้เรื่องเกี่ยวกับ งานสอบสวน (งานที่ต้องมีความรู้และทักษะทางกฎหมายอย่างมาก) ไม่เคยได้รับการอบรมใด อยู่ ๆ ก็ได้รับเกียรติแต่งตั้งให้เป็น พนักงานสอบสวน ซะหยั่งงั้น คุณคิดว่า ขณะที่คนซึ่งพูดง่าย ๆ เลยว่า ทำงานสอบสวน ไม่เป็นเลย แล้วต้องลงไปทำมันเต็มตัวแบบปัจจุบันทันด่วนเนี่ย คน ๆ นั้น ควรจะรู้สึกยังไง ?
ผมเริ่มสตาร์ทด้วยการเป็นตำรวจชั้นประทวน เรียนจบปริญญาตรีนิติศาสตร์ที่ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช สอบเป็นนายร้อย หรือ ชั้นสัญญาบัตรสายป้องกันปราบปรามได้ เมื่อปี 2536

เข้าทำงานที่ กองกำกับการสวัสดิภาพเด็ก และเยาวชน ตรงนางเลิ้ง ได้ 2 ปี ก็ขอย้ายออกมา โดยต้องการอยู่ในเขตกรุงเทพฯ เหมือนเดิม แต่กระเถิบใกล้บ้านที่ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม เข้าไปหน่อย การย้ายของผมในครั้งนั้น เกิดเรื่องตลกขึ้น เป็นเรื่องตลกที่หัวเราะไม่ออก ถ้าออกมันก็น่าจะ “เจื่อน” เต็มทน ส่งผลกระทบให้มีเรื่องคิดวุ่นวายในสมองเต็มไปหมด คิดว่า “แล้วนี่ตูจะทำยังไงต่อไปเนี่ย” เหตุการณ์ผกผันที่คาดคิดไม่ถึง เปลี่ยนชีวิตแรง ๆ จนไม่รู้ว่า จะทำยังไงกับมันดี นั่นแหละ คือความรู้สึกของผมในขณะนั้นเลย ทีนี้ ผมจะเฉลยเรื่องตลกให้ฟัง ที่ผมบอกว่า ผมขอย้ายไปใกล้บ้าน สถานที่ก็ต้องเป็นฝั่งธนบุรี บริเวณริม ถ.เพชรเกษม ก็จะเดินทางได้สะดวกที่สุด ผมก็ขอย้ายไปอยู่ที่ สน.หนองแขม หนองค้างพลู และเพชรเกษม ขอไปอยู่ตำแหน่ง ป้องกันปราบปราม กับ สืบสวน เพราะเคยทำมาก่อนตั้งแต่ต้น มีความถนัด ชอบ และ มีใจรัก ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2538 (เป็นวันแม่ เลยจำได้แม่น) ผมก็ได้ย้ายไปทำงานในตำแหน่ง รองสารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลบางบอน

พนักงานสอบสวนคืออะไร 
อธิบายอย่างง่าย ๆ คือ ตำรวจกลุ่มที่มีความรู้ทางด้านกฎหมาย และถูกแต่งตั้งให้ มีอำนาจในการ สอบสวน ดำเนินคดีอาญาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเขตรับผิดชอบได้ รับผิดชอบหน้าที่ไปตั้งแต่ รับแจ้งความ สอบปากคำ เก็บรวบรวมพยานหลักฐาน สรุปสำนวน แล้วอาจมีงานเสริมต่อไปจนถึง ไปเป็นพยานศาล ไปติดตามพยานให้มาให้การในศาล ขั้นตอนต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนอยู่ในความรับผิดชอบของ พนักงานสอบสวน ทั้งสิ้น

คนซึ่งไม่เคยรู้เห็น หรือสัมผัสกับคนเป็น พนักงานสอบสวนมาก่อน อาจจินตนาการกันไม่ออกว่า พนักงานสอบสวน ต้องทำงานมากน้อยอย่างไร มาเริ่มกันเลยครับ

ใน 1 วัน พนักงานสอบสวน ต้องเข้าเวร บางโรงพักเข้า 6 ชั่วโมง บางโรงพักเข้า 8 ชั่วโมง ก็แล้วแต่ความเจริญ และการบริหาร ระหว่างเข้าเวร มีเรื่องรถชน ทะเลาะทำร้ายร่างกายกัน จับคนเสพยาเสพติด ฯลฯ ก็ต้องดำเนินการแทบทุกเรื่อง ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับคดีอาญาแล้ว ไม่แคล้วมักตกเป็นภาระหน้าที่ของ พนักงานสอบสวนด้วยกันทั้งสิ้น

เรื่องที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน จะมากน้อยก็แล้วแต่กำลังวัน กับฮวงจุ้ย โชคดีก็น้อยราย โชคร้ายก็มากหน่อย ก็บริหารงานกันไป หมดเวลาเวร ได้พัก 18 ชั่วโมงมั่ง 12 ชั่วโมงมั่ง อย่างที่บอกต้องแล้วแต่ความเจริญ และการบริหาร งานที่รับเอาไว้ในผลัดที่เพิ่งออกมา ยังไม่ทันได้สะสาง วันรุ่งขึ้น ถึงเวลา ต้องมาเข้าเวรอีกแล้ว เรื่องใหม่ก็เติมเข้ามา พนักงานสอบสวนคนไหน ไม่สะสางงาน งานมันก็จะสะสม พอสะสมมากเข้า ไม่นานมันก็ต้องหล่นทับใส่หัวตัวเอง ได้รับความเดือดร้อนอย่างไม่ต้องสงสัย นี่คือเรื่องของปริมาณงาน อีกเรื่องคือความยากของงาน โรงพักไหนจับเด็กหรือเยาวชนมา ก็ต้องนำมาเข้ากระบวนการถ่ายทำวิดีโอ โดยจะมีผู้ร่วมการถ่ายทำด้วยมากมายหลายอาชีพ ยังไม่ต้องพูดเรื่องอะไร เอาแค่เรื่องที่ผมจะนัดวันถ่ายทำ ให้มีความสะดวกตรงกันทุกคนก็ยากเย็นเลือดตากระเด็นแล้ว อีกเรื่องนึงเรื่องตามพยาน พนักงานสอบสวนสอบปากคำพยานผ่านมาหลายปีแล้ว พยานเพิ่งได้จังหวะต้องไปให้การในศาล พอพยานคนนั้นไม่มา ก็ต้องเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนอีกแล้ว ที่ต้องไปติดตามพยานมาให้การ

พูดมาซะเกือบเยอะ ใครฟังจะหาว่า อคติมั้ย เป็นที่ผมคนเดียวมั้ย มโนไปเปล่า ทำไมงานมันเยอะมันยาก ถึงขนาดส่งผลให้ไม่มีคนอยากมาทำกันเลยเชียวเหรอ จริงรึเปล่าเนี่ย เอาที่ไหนมาพูด

ในฐานะที่ผมเคยทำงานสอบสวนมาระยะหนึ่ง ผมขอบอกเลยว่า งานสอบสวนมีปริมาณงานที่เยอะ แล้วก็มีความยากจริง ๆ สิ่งเหล่านี้นี่แหละ น่าจะส่งผลโดยตรง ทำให้คนไม่อยากก้าวเข้ามาสู่สายงาน มันก็เป็นเหตุผลง่าย ๆ อย่างนี้แหละ คือ เมื่อเปรียบเทียบการทำงานสายงานอื่น กับ สายงานสอบสวน ปริมาณงาน ความยุ่งยากของงานที่น้อยกว่ากัน มันเป็นปัจจัยสำคัญ ที่มีผลกับการตัดสินใจอย่างมาก จะเห็นได้ชัดเจนว่า แม้มีความพยายามชักจูงใจโดยให้ พนักงานสอบสวน มีเงินประจำตำแหน่งสูงกว่าสายงานอื่น ก็ยังไม่เพียงพอที่จะชักจูงใครให้ก้าวเข้ามา

วันได้รับการแต่งตั้งเป็น พนักงานสอบสวน
ถอยหลังไป 25 ปี ในวันที่ สารวัตรโบ้ คนโม้ไม่เป็น ได้รับการแต่งตั้งไปเป็นพนักงานสอบสวน สน.บางบอน โดยไม่เคยทำ หรือ สัมผัสกับงานสอบสวนมาก่อน ไม่เคยได้รับการอบรมหลักสูตรใด ๆ ที่เกี่ยวกับการสอบสวน อาวุธติดตัวมีเพียงปริญญาตรีนิติศาสตร์ใบเดียว คุณคิดว่า ในวันที่เราต้องทำงานเกี่ยวกับกฎหมายตรง ๆ งานที่ต้องการทักษะความรู้ทางกฎหมายอย่างมาก ในขณะที่ในกระเป๋าเราไม่มีอาวุธอะไรไว้ต่อสู้เลย ผมควรจะมีความรู้สึกยังไง ปฏิเสธไม่ได้เลยครับว่า ตอนแรก ผมเคว้งคว้าง งง ทำตัวไม่ถูก แต่แล้ว สัญชาติคนใฝ่รู้ มองเห็นเป็นความท้าทายอยู่ตรงหน้า งานที่ไม่เคยเจอไม่เคยทำ ใครต่อใครบอกกันว่ายาก อย่างนี้ มันต้องลองกันซักตั้ง ฉะนั้น ตอนเจอเรื่องเปลี่ยนชีวิตแรง ๆ อย่างนี้ “อย่าเพิ่งด่วนสรุป ว่าชีวิตมันแย่” มันอาจมีอะไรดี ๆ รอเราอยู่ข้างหน้าก็ได้

ช่วงชีวิตต่อจากการเป็นพนักงานสอบสวน
มันก็เหมือนกับงานทั่ว ๆ ไป ตอนเริ่มทำแรก ๆ มันก็ต้องทำไม่เป็นเป็นธรรมดา พอทำนานวันเข้า มันก็มีความชำนาญก็ทำได้เอง ประกอบกับผมเป็นคนชอบเรียนรู้ แม้ในเรื่องที่ไม่ชื่นชอบ ไม่ได้สมัครใจเข้ามาทำ แต่เมื่อบทมันส่งให้เล่น มันก็ต้องเล่นไปตามครรลองที่มันส่งให้เล่น ใช้กำลังใจของนักสู้เผชิญกับมัน ในที่สุดก็ผ่านมันไปได้ หลังจากนั้น 2 ปี ผมก็มีโอกาสได้เปลี่ยนไปทำหน้าที่อื่น แต่รู้สึกว่า ผมถูกเล่นตลกซ้ำซะแล้ว ผมเคยบอกตอนแรกว่า ผมไม่ถนัดไม่เคยชอบงานสอบสวนเลย แต่กลับกลายเป็นว่า งานสอบสวนกับสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกัน คือ ความรู้ทางกฎหมาย กลับติดสนิทอยู่กับผมอย่างแนบแน่นแบบแกะกันไม่ออก แล้วมันยังเป็นสิ่งที่ทำให้ใคร ๆ มองเห็นและให้การยอมรับ ในความมีตัวตนของผมซะอีก ผมมีประสบการณ์ในการตรวจสำนวนวินัย สำนวนคดีอาญา ของ สน. ต่าง ๆ ใน บก.น.9 แล้วตำแหน่งปัจจุบันของผม คือ สารวัตรฝ่ายนิติการ กองบังคับการอำนวยการ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ


ชีวิตต้องดำเนินต่อไป
ชีวิตคน ไม่ราบรื่นเสมอไป เหตุการณ์ที่เข้ามากระทบมาเปลี่ยนชีวิตแรง ๆ มีโอกาสเสมอ เหตุ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของอยู่คู่กับมนุษย์ ไม่ตัวเราเอง ก็เป็นพี่น้อง ลูกเมีย สามีภรรยา ไม่ใครก็ใคร หลุดไม่พ้น 4 คำนี้ มันก็ขึ้นกับว่า สิ่งที่เกิดขึ้น มันเบาหนักก็ตามแต่เหตุที่ทำให้มันเกิดขึ้น ก็ต้องยอมรับมันไป ถึงแม้เราจะไม่ยอมรับมัน มันก็ต้องเกิดขึ้นกับเรากับญาติพี่น้องของเราอยู่ดี แล้วเราจะสู้กับเหตุการณ์ หรือปัญหาที่เกิดขึ้น อย่างมีกำลังใจหรือจะตีโพยตีพายโวยวายขายปลาช่อนว่า ทำไมชีวิตของเรามันถึงแย่อย่างนี้ คุณเชื่อผมเถอะ ชีวิตทุกชีวิตมันก็มีช่วงแย่ ๆด้วยกันทุกคนแหละ อย่างน้อย ๆ ตอนพ่อแม่ปูย่าตายายเสียชีวิต ถ้าเรารักผูกพันกับท่านมาก มันก็ต้องเป็นช่วงชีวิตที่เศร้า ที่ต้องสะดุด ดังนั้น การคิดอะไรอย่างถูกต้องเป็นเหตุเป็นผล ย่อมจะเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ เมื่อเกิดเหตุการณ์กระทบรุนแรง เราก็จะรู้ว่า แล้วในที่สุดมันก็จะผ่านไป และมีรางวัลให้กับผู้ที่ไม่ยอมแพ้เสมอ



แล้วค่อยติดตามเรื่องราวดี ๆ โอกาสหน้าต่อไปครับ




วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

คำคม ข้อคิด ดีๆ เรื่อง ตั้งใจทำ วันนี้ ให้ดีก่อน พร้อมแล้วสำหรับทุกท่าน

คำคม ข้อคิด ดีๆ ตั้งใจทำ วันนี้ ให้ดีก่อน อย่าอาวรณ์ถึงพรุ่งนี้หรือวันไหน หากวันนี้ดีได้ดั่งตั้งใจ จงมั่นใจ วันต่อไปต้องได้ดี ถ้อยคำ วลีเด็ด ที่พร้อมแล้วสำหรับทุกท่าน



เชิญชม วิดีโอ คำคม ข้อคิด ดีๆ ตั้งใจทำ วันนี้ ให้ดีก่อน ที่นำเสนอข้อคิดเตือนใจดี ๆ สำหรับทุกท่าน เผื่อจะได้เกิดแนวคิดริเริ่มดี ๆ เพื่อตัวเอง และคนรอบข้าง








เกริ่นนำ

สวัสดีครับ ผม สารวัตรโบ้ คนโม้ไม่เป็น มีโอกาสนำเสนอเรื่องราวดี ๆ อีกแล้วครับ วันนี้ขอนำเสนอเรื่อง “ตั้งใจทำ วันนี้ ให้ดีก่อน” (ขอขอบคุณท่านผู้ประพันธ์ บทความ หรือ วลีเด็ด คำคม ข้อคิดดี ๆ นี้ คำประพันธ์ของท่านเป็น ข้อคิดคำคมเตือนใจ ให้กับผู้คนอย่างมากมายทีเดียว) โดย ผมมีเรื่องที่เป็น ผลดี หรือผลสำเร็จ ซึ่งแม้มันจะเป็นผลสำเร็จที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่ถ้า ผม ไม่ตัดสินใจ เริ่มทำ วันนี้ (วันที่เริ่มสตาร์ทในอดีต) ให้ดีก่อน ผมจะไม่มีโอกาสประสบความสำเร็จใน 2 เรื่องนี้ได้เลย มาติดตามดูกันครับว่า 2 เรื่องที่ว่าคือเรื่องอะไร

1.เรื่อง สอบนายร้อย หรือ ชั้นสัญญาบัตรได้ เมื่อปี 2536
2.เรื่อง มีความรู้ภาษาอังกฤษ ในระดับที่ สามารถขายของกับคนอเมริกัน ในเว็บ อเมซอนดอทคอม ได้ และปัจจุบันกล้าเดินทางไปประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษแบบ ไม่กลัวอดตาย

      1. ผมสอบนายร้อย หรือชั้นสัญญาบัตร ได้ 

ผมเริ่มทำงานเป็น พลตำรวจที่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอนครชัยศรี เมื่อปี 2531 ตอนนั้น สิ่งที่เริ่มทำก่อนเลย คือ ลงทะเบียนเรียนปริญญาตรีนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ทันที โดยที่ไม่รู้ว่า เรียนมาแล้วจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง รู้แต่ว่า เอาวุฒิไปสอบนายร้อยได้ ในระหว่างที่ทำงานช่วง ปี 2531 – 2535 ติดตามดูรุ่นพี่ ๆ ที่เค้ามีสิทธิสอบกัน รุ่นพี่หลาย ๆ คน พอทำข้อสอบกลับมา จะคุยกันว่า ข้อสอบเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องตอบอย่างนั้นอย่างนี้ ผมได้ยินก็คิดว่า หลายคน น่าจะสอบได้ สรุป ผมทำงานอยู่ที่นครชัยศรี 4 ปี ไม่มีใครสอบ นายร้อย เป็นตัวอย่างให้ผมได้เห็นแม้แต่คนเดียว
ปี 2535 ผมย้ายไปอยู่ สถานีตำรวจภูธรตำบลโพรงมะเดื่อ ปีนั้น ได้ยินเรื่องแปลก ได้ยินว่า มีรุ่นพี่ ยศจ่าสิบตำรวจ ทำงานที่ตู้ยามสายตรวจใกล้ ๆ สอบนายร้อยได้ ผมได้ยินก็หูผึ่งเลย แล้วคิดว่า “เออแฮะ! มันก็มีคนสอบได้เหมือนกันนี่หว่า” ทำไมตอนที่อยู่ นครชัยศรี ไม่เห็นมีใครสอบได้ซักคน 

ปีเดียวกัน ดันมีรุ่นพี่อีกคนสอบได้อีก เอาหละหวะ ผมเริ่มคิด เอ๊ะ! สอบนายร้อยนี่มันก็ทำกันได้เหมือนกันนี่ ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ซักหน่อย พอปี 2536 ผมเรียนจบปริญญาตรีนิติศาสตร์ มีสิทธิสอบปุ๊บ ผมขี่มอร์ไซต์ไปซื้อหนังสือจาก ร้านสูตรไพศาล ที่ซอยวัดม่วง กรุงเทพฯ มาตั้งนึง อ่านดะไปหมดเลย ไม่รู้แหละ ซื้อมาก็อ่านมันหมดแหละ คิดว่า ยิ่งอ่านมากย่อมต้องได้เปรียบมาก หน่วยงานก็ดันเปิดสอบนายร้อยปีนั้นพอดี โอ้โห! หยั่งกับเปิดต้อนรับผมเลย ตอนไปสมัครสอบ ดูหลักเกณฑ์การสอบ เห็นว่า ผมมีสิทธิสอบสายป้องกันปราบปรามได้ หนังสือที่ตอนแรกซื้อ กะจะเอาไว้สอบสายอำนวยการ พอเปลี่ยนสายได้ ก็ต้องซื้อหนังสือใหม่ ก็ไปซื้อมาอีกตั้งนึง ไม่รู้หละ ผมถือว่า การจ่ายเงินซื้อความรู้ เป็นสิ่งคุ้มค่ามาก แล้วเราก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อจะได้เข้าสอบได้อย่างมีความหวังสูงสุด

หลักการอ่านหนังสือของผม ไม่มีอะไรมาก ตอนนั้น ผมตั้งธงไว้ในใจก่อนเลยว่า “ผมต้องสอบให้ได้ในครั้งเดียว” จะหลับจะตื่นคอยท่องเอาไว้ มุ่งมั่นให้เต็มที่ ผมมองว่า คนเก่งแล้วก็ฉลาดอาจได้เปรียบจริง แต่มันก็วัดกันยาก ประเมินแล้ว จำนวนที่มีก็ไม่น่าจะเยอะ ผมเอาเรื่อง ความขยัน เป็นเกณฑ์สำคัญในการตัดสินมากกว่า คือ ผมประเมินว่า โดยเฉลี่ยแล้ว คู่แข่ง อ่านหนังสือเต็มที่ก็ไม่น่าจะเกินวันละ 4 ชั่วโมง ผมจะต้องอ่านให้ได้มากกว่า หรืออย่างน้อยก็ต้องพอ ๆ กัน ถึงจะสู้กันได้ ผมต้องคอยกระตุ้นตัวเองตามธงที่ตั้งไว้ ประกอบกับ งานของโรงพักบ้านนอกไม่ค่อยยุ่ง เอื้อต่อการอ่านหนังสือ ผมบอกตามตรงเลยว่า ผมอ่านหนังสืออย่างเยอะเลย อ่านเยอะขนาดที่ 3 วันก่อนสอบ ผมคุยกับพี่สาวเรื่องธรรมดา ๆ นี่แหละ แล้วผมดันนึกคำพูดไม่ออก ผมคิดได้ทันทีว่า ผมคร่ำเคร่งอ่านหนังสือมากเกินไปแล้ว ถึงเวลาต้องหยุดพักบ้างแล้วหละ ไม่งั้นเดี๋ยวติงต๊องไปซะก่อนจะยุ่งไปใหญ่ พอผลสอบประกาศออกมา ผมสอบได้ในครั้งเดียวจริงอย่างที่ตั้งใจ เห็นแล้วใช่มั้ยครับว่า ถ้าผมไม่ ตั้งใจทำ วันนี้ (วันที่เริ่มเรียนปริญญาตรีนิติศาสตร์) ให้ดีก่อน ผมจะไม่มีทางสอบนายร้อยได้เลย


       2. มีความรู้ภาษาอังกฤษ ระดับ ขายของได้ ไปต่างประเทศได้
      ผมเรียนจบโรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยศิลปากร นครปฐม จัดเป็นโรงเรียนที่มาตรฐานดีทีเดียว แต่วัน ๆ ผมไม่สนเรื่องเรียน เอาแต่เล่นแต่กีฬา ภาษาอังกฤษก็ห่วยแตก ตอนสอบเอนทรานซ์ ทำข้อสอบ 100% คุณเชื่อมั้ย ผมไม่มั่นใจว่าทำถูกแม้แต่ข้อเดียว ผมงงตัวเองมาก ทำไมภาษาอังกฤษเราถึงห่วยได้ถึงขนาดนี้ เพื่อนฝูงเค้าก็เก่ง ๆ กันทั้งนั้น สรุปได้เลยว่า ที่ผมเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็ก ผมส่งคืนให้อาจารย์กลับไปเรียบร้อยหมดแล้ว

   ตอนทำงานที่ กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและเยาวชน ตรงนางเลิ้ง ผมขับรถยนต์ไปกลับบ้านที่นครชัยศรี วันนึง อยู่บนรถประมาณ 2 – 3 ชั่วโมง ได้จังหวะเหมาะเลย ถ้าเอาเวลามาฝึกภาษาอังกฤษ จะต้องเกิดประโยชน์มากเลย ผมเริ่มดำเนินการเลย ไปซื้อ English for you จากห้างศึกษาภัณฑ์ ตรงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มาฝึก เค้ามีทั้งหมด 96 ชุด ซื้อมาครั้งละ 5 ชุด ค่อย ๆ เรียนไปเรื่อย ๆ จบ 5 ชุด ก็ซื้อต่อไปอีก 5 ชุด 


      แบบเรียนเค้าดี เป็นหนังสือบาง ๆ แต่ข้อมูลแน่น ให้ความรู้ต่าง ๆ ดีมาก มีม้วนเทปคาสเส็ทให้ 1 ตลับ เอาไว้เปิดกับวิทยุ ผมก็ใช้เปิดในรถขณะเดินทางนั่นแหละ มีจังหวะว่าง ยังเอามาเสียบกับ ซาวด์เบ้า ฟังไปดูแบบเรียนไปด้วย ผมทำอย่างเนี่ยแบบสม่ำเสมอแค่ปีสองปี ภาษาอังกฤษผมพัฒนาขึ้นมาก จากที่บอกว่า ไปทำข้อสอบเอนทรานซ์ไม่มั่นใจซักข้อ กลายเป็นเวลาไปสอบข้อเขียน ไม่ว่าจะเป็นที่ ตำรวจท่องเที่ยว สอบไปติมอร์ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ก็สามารถสอบผ่านได้ เปรียบเทียบกับตอนที่สอบเอนทรานซ์อย่างที่เล่าให้ฟัง ผมว่า ภาษาอังกฤษผมพัฒนาขึ้นมากทีเดียว 
   ต่อมา เห็นโฆษณาคอร์สสอนขายของเว็บอเมซอนดอทคอม ก็อยากขายดูมั่ง เพราะภาษาอังกฤษชักเริ่มใช้ได้ เรื่องคอมก็พอจะเป็น ก็เลยไปลองเรียนดู เรียนจบคอร์ส ค้าขายกับคนอเมริกันได้จริง โดยเราก็ไปสมัครขายของกับทางเว็บอเมซอนดอทคอมเค้า จากนั้นก็เริ่มโพสท์สินค้าขึ้นไปขาย ตอนนั้น ผมไม่เคยขายของอะไรมาก่อน ก็ต้องเอารูปสินค้าของชาวบ้านเค้ามาโพสท์ขาย พอขายได้ ก็ค่อยสั่งของส่งให้ลูกค้า เราก็เก็บส่วนต่างเอา 

     ยอดขายก็นับว่าพอได้ ตอนนั้น ผมถือว่า ขายของเว็บอเมซอนดอทคอม รายได้ดีพอสมควร แต่กฎกติกามารยาทเค้าเข้มงวดมาก เค้าให้ความสำคัญกับผู้ซื้อ มากกว่าเราผู้เป็นคนขาย ถ้าคนซื้อให้คะแนนลบ คอมเม้นท์ไม่ดีให้เรา ถ้าเป็นเรื่องแรง ๆ ทางเว็บอาจห้ามไม่ให้เราขายไปเลย แล้วตอนนั้น ผมไม่มีสินค้าตัวเอง เอาสินค้าคนอื่นมาขาย คนอเมริกัน เค้าเห็นว่า เรื่องการเอาสินค้าของคนอื่นมาขาย โดยที่เจ้าของสินค้าไม่ยินยอม เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง พอผมเอาสินค้าของเค้ามาขาย เค้าฟ้องทางเว็บ ผมก็ถูกเค้าตัดสิทธิไม่ให้ขาย ประกอบกับตอนหลัง ๆ เวลาขายของได้ ลูกค้าชอบติ ของไม่ตรง สีไม่ได้ คอมเมนท์เยอะแยะ จุกจิกมาก ประกอบกับความไม่มีเวลา ก็เลยต้องหยุดไป แต่ถ้ามีจังหวะโอกาสดี ๆ ก็อาจสมัครขายอีกก็ได้ ใครจะไปรู้

     เห็นยังครับ ถ้าผมไม่ ตั้งใจทำ วันนี้ (วันที่เริ่มเรียน English for you) ให้ดีก่อน ผมจะพัฒนาภาษาอังกฤษ จนถึงขนาดขายของกับคนอเมริกันได้มั้ย แล้วนี่ผมยังฝึกฝนต่อเนื่องเรื่อยมานะ หากจะต้องเดินทางไปต่างประเทศขอบอก สบายมากครับ


สิ่งดี ๆ ที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง

เป็นไงครับ สิ่งที่ผม ตั้งใจทำ ณ วันหนึ่งในอดีต มันเกิดประโยชน์กับผม ขึ้นมาอย่างมากมายในอนาคต ทำให้ผมได้เลื่อนยศตำแหน่งสูงขึ้น มีความรู้ความสามารถมากขึ้น ถ้าเกิดอยากขายของกับคนต่างประเทศอีก ผมก็ทำได้ทันทีไม่ต้องรอ ไม่ต้องศึกษาอะไรอีก แล้วคุณว่า เรื่องราวที่เราควรจะ ตั้งใจทำ มันหมดไปจากโลกรึยัง ยังมีอะไรน่าทำหลงเหลืออยู่อีกมั้ย บอกได้เลยว่า ยังมีอยู่อีกอย่างมากมาย และเมื่อทำแล้ว ผลของมันก็จะส่งผลดีต่ออนาคตอย่างไม่ต้องสงสัย เรื่องที่ควรทำเป็นอันดับแรก ๆ ก็เรื่อง สุขภาพ การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย การฝึกสมาธิ ฯลฯ การพัฒนาตน ก็พวก ฝึกภาษาต่างประเทศ จีน ญี่ปุ่น รัสเซีย ฯลฯ ฝึกทำอาชีพ ฝึกทำอาหาร ขนม ฝึกทำเว็บ ขายของออนไลน์ เป็นยูทูบเบอร์ ฯลฯ มีเรื่องมากมาย กำลังรอให้คุณไป ตั้งใจทำ อยู่ แล้วขออย่าไปสนว่า ทำไปแล้วจะได้อะไร คุณดูเรื่องของผมสิ ตอนเรียนนิติศาสตร์ ตอนเรียนภาษาอังกฤษ ผมจะรู้มั้ยว่า ผมจะสอบ นายร้อยได้ ผมจะขายของกับคนอเมริกันได้ ปรากฏว่า พอเรามีความสามารถมากพอ โอกาสมาถึงปั๊บ มันก็จะคลิ๊กลงตัวกันพอดี เป๊ะ! คุณคิดว่าหยั่งงั้นมั้ยครับ


แล้วมีโอกาสติดตามเรื่องราวดี ๆ ได้ใหม่ครับ

วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2563

ในวันที่ต้องอยู่กับ โควิด 19 เมื่อไล่เค้าไปไม่ได้ ก็ต้องคิดวิธีอยู่ด้วยแล้ว

ในวันที่ต้องอยู่กับ โควิด 19 เป็นชะตากรรมของมนุษย์ ถูกบังคับให้ต้องจำกัดอิสรภาพของตัวเอง ระดมพลังต่อสู้ ในเมื่อยังไล่ หรือ ปราบเค้าลงไม่ได้ การคิดวิธีการอยู่ด้วยจึงเป็นสิ่งต้องทำ


ในวันที่ต้องอยู่กับ โควิด 19

เชิญชม ในวันที่ต้องอยู่กับ โควิด 19 เมื่อขับไล่เค้าไปไม่ได้ ก็ต้องคิดวิธีอยู่ด้วยแล้ว ได้ในรูปแบบวิดีโอเลยครับ


ช่องทางการติดต่อ
สามารถติดต่อ สารวัตรโบ้ คนโม้ไม่เป็น ได้ที่ :
ดู วิดีโอ น่าสนใจอื่น ๆ : http://bit.ly/2pFoncR
ดู บทความ คำคม ข้อคิด ดีๆ หลักการดำเนินชีวิต สำหรับ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน ได้ที่ : https://yooyangyingyai.blogspot.com/
เว็บสินค้าหัตถกรรม ของตกแต่งบ้าน : http://www.sawadeecraft.com/
เว็บสินค้าเพื่อสุขภาพ : http://www.healthdejin.com/
เพจ ยาปลูกผม นครหลวงการแพทย์ : https://www.facebook.com/nakhonluangkharnpad/
เพจสินค้าเพื่อสุขภาพ : https://www.facebook.com/healthdejin/ เพจสินค้าศิลปหัตถกรรม : https://www.facebook.com/sawadeecraftpom/
อีเมล์ : worrakarnb@gmail.com
ไลน์ ไอดี : 0909628167
โทร : 085 - 1625977

เกริ่นนำ
แรกเริ่มจาก เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย จุดเล็ก ๆ ที่มีกำเนิดการติดเชื้อ ไวรัสโคโรน่า หรือ โควิด 19 หลังจากนั้น เป็นที่รู้กันว่า โควิด 19 เดินทางไปเยี่ยมเยียนคนจนทั่วโลกแล้ว สถานการณ์ โควิด 19 ทั่วโลก จนถึงทุกวันนี้ ที่ระยะเวลาผ่านมาก็หลายเดือน ยังไม่เปลี่ยนไป ความรุนแรงของการแพร่ระบาดไม่ลดทอนกำลังลง แม้ประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ ก้าวหน้าทั้งทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และเกือบทุก ๆ ด้านกว่าประเทศเล็กประเทศน้อย ก็ยังต้องเผชิญอำนาจการคุกคามรุนแรงของ โควิด 19 มีผู้ติดเชื้อสะสม เสียชีวิต และติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นทุกวัน สถานการณ์อย่างนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นักการแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ และนักวิจัย ฯลฯ ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเรื่อง การคิดค้นวัคซีน หรือยารักษาโรค ล้วนอยากจะกำราบ เจ้า โควิด 19 ผู้ก้าวร้าวลงให้ได้


สารวัตรโบ้ คนโม้ไม่เป็น คือบุคคลที่ร่วมเผชิญ โควิด 19 พร้อมกับทุกคนบนโลก ระมัดระวังตัวแจไม่อยากติดเชื้อ โควิด 19 ที่มีอำนาจทำลายล้างรุนแรง และในฐานะของผู้มีชะตากรรมเดียวกัน มีโอกาสก็อยากนำเสนอ คำคม ข้อคิด ดี ๆ ให้ทุกท่านได้รับรู้รับฟัง เรื่อง “ในวันที่ต้องอยู่กับ โควิด 19” ต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่า สิ่งที่นำเสนอ เป็นความรู้และประสบการณ์ของ สารวัตรโบ้ คนโม้ไม่เป็น เพียงคนเดียว ไม่ได้คัดง้าง หรือ โต้แย้งความคิดของใคร เพียงแต่นำเสนอทุกอย่าง อย่างตรงไปตรงมาอย่างเป็นเหตุเป็นผล ถ้าท่านรู้สึกว่า สิ่งที่ผมนำเสนอไม่เข้าท่า ไม่น่าจะเป็นจริงอย่างนั้น ก็ขอให้ผ่านเลย อย่าสนใจในสิ่งที่ผมเสนอว่า เป็นอย่างไร แต่ผมขอบอกไว้เลยว่า สิ่งต่าง ๆ ที่นำเสนอ จะมีส่วนที่เป็นจริง มากกว่าส่วนที่ไม่จริง และ เต็มไปด้วยเหตุและผล 

ไวรัสโคโรน่า หรือ โควิด 19 จะอยู่กับเราอีกนานไหม
การวิเคราะห์ สถานการณ์ โควิด 19 ในปัจจุบัน คงหลบไม่พ้นการค้นหาข้อมูลจาก อากู๋ เฮียเฟซ หรือช่องข่าวทางราชการ หรือ เอกชนต่าง ๆ แล้วเราก็จะพบข้อมูลว่า จำนวนคนติดเชื้อทั่วโลก มีเป็นจำนวนมาก อัตราผู้ติดเชื้อรายใหม่มีเพิ่มขึ้นทุกวัน การรักษาผู้ติดเชื้อ ทำได้เพียงการรักษาไปตามอาการ ยังไม่มีใครคิดค้น วัคซีน ที่ใช้ในการป้องกัน หรือคิดค้นยาที่ใช้ในการรักษา โควิด 19 ได้ตรง ๆ ดูจากเหตุการณ์ที่ โควิด 19 แพร่ระบาดรุนแรงขนาดนี้ แล้วผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก มะรุมมะตุ้มระดมสมองช่วยกันคิดต้องการสยบ โควิด 19 ลงให้ได้ในเร็ววันขนาดนี้ แต่ยังไม่มีใครกำราบเจ้า โควิด 19 ลงได้ซักที ก็น่าจะมองแนวโน้มออกแล้วนะครับว่า เราน่าจะต้องอยู่กับ โควิด 19 ไปอีกนานขนาดไหน

สารวัตรโบ้ คนโม้ไม่เป็น ไม่ใช่คนมองโลกในแง่บวก หรือลบ ผมชอบมองโลกในแง่ที่มันเป็นจริง เราจะได้เตรียมพร้อมในการรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น แล้วไม่ตั้งอยู่บนความประมาท จากเหตุการณ์  โควิด 19 ทั่วโลก สรุปได้ว่า ในช่วงเวลาอันใกล้นี้ ยังไม่มีใครสามารถคิดค้น วัคซีน หรือ ยาขึ้นมารักษา โควิด 19 ได้ แล้วกว่าคนติดเชื้อ โควิด 19 คนสุดท้ายจะรักษาหาย ยังมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ประเมินดูคู่ต่อสู้ โควิด 19 เป็นเชื้อจุลินทรีย์ เค้ามีวิวัฒนาการ แล้วก็การดิ้นรนปรับตัวให้มีชีวิตรอด เก่งกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นมากมายหลายเท่า และโปรดอย่าลืม ว่า ในอดีต เคยมีไวรัสชนิดหนึ่ง ชื่อ เอชไอวี เป็นไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ในมนุษย์ อุบัติขึ้นมาบนโลกหลายปีมาแล้ว ปัจจุบันยังไม่มีใครคิดค้นวัคซีน หรือยามารักษามันได้ แล้ว โควิด 19 มันจะไม่เป็นแบบนั้นบ้างเชียวหรือ

ต้องปรับตัว อยู่กับ ไวรัสโคโรน่า หรือ โควิด 19
ภาวะยากลำบาก แบบอยากจะออกนอกบ้านยังทำไม่ได้อย่างอิสระแบบนี้ ทุกคนแม้กระทั่ง สารวัตรโบ้ คนโม้ไม่เป็น ต่างก็คิดแบบเดียวกัน อยากให้มีใครมากำราบ โควิด 19 ได้ในเร็ววัน อยากทวงคืนวันคืนที่สามารถไปกินข้าวนอกบ้าน ไปดูหนัง ไปเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ ฯลฯ กลับมา แต่เมื่อมันยังห่างไกลความจริงขนาดนี้ การจะกลับมาใช้ชีวิตอย่างที่เคยทำ เป็นอันเลิกคิด อย่าไปคิดให้เปลืองสมอง ตอนนี้ ต้องมาคิดกันใหม่แล้วว่า ในเมื่อเรายังปราบมันไม่ได้อย่างนี้ เราก็ต้องคิดในแง่ที่เราจะต้องอยู่ร่วมกับ โควิด 19 แล้วหละ แล้วก็ต้องคิดเผื่อด้วยว่า เราจะอยู่กับมันได้ยังไง โดยไม่ถึงกับต้องล้มหมอนนอนเสื่อ จิตตก ซึมเศร้า สติแตก ไปซะก่อนทั้ง ๆ ที่เรายังไม่ได้ติดเชื้อ โควิด 19 เลย

โควิด 19 ในไทย
แรกเริ่มที่มีการติดเชื้อ โควิด 19 จะพบว่า มีการสอบสวนโรค เพื่อหาการเชื่อมโยงระหว่างผู้ติดเชื้อ โควิด 19 กับผู้สัมผัสใกล้ชิด จะเห็นว่า กลุ่มคนติดโรคช่วงแรก ๆ มี กลุ่มคนไปดูมวยสนามมวยลุมพินี กลุ่มคนเที่ยวสถานบันเทิง แล้วก็กลุ่มที่ไปมาเลเซีย เมื่อพบคน 3 กลุ่มนี้ติดเชื้อ  ก็นำไปสู่การสอบสวนโรค เพื่อทราบว่า ผู้ติดเชื้อเดินทางไปสถานที่ใด สัมผัสใกล้ชิดกับใครบ้าง เมื่อมีคนติดเชื้อใหม่เข้ามา สืบหาความเชื่อมโยง ก็จะทำให้รู้ว่า คนติดเชื้อรายใหม่ ติดเชื้อมาจากคนกลุ่มเสี่ยงเดิม 3 กลุ่มดังกล่าว อย่างที่เราเห็นกันว่า คนติดเชื้อใหม่ที่สัมผัสใกล้ชิดกับคนกลุ่มเสี่ยง ต่างทยอยเข้ารับการรักษา โควิด 19 กันเป็นจำนวนมาก สิ่งที่เกิดขึ้น บอกอะไรกับเราได้บ้าง

โควิด 19 ติดต่อได้ทางสารคัดหลั่ง
จากรอยเท้า โควิด 19 ที่ให้ไว้ จะเห็นชัดว่า โควิด 19 ไม่ลอยลมมา เค้าแพร่เชื้อด้วยการติดต่อกันทางสารคัดหลั่ง เช่น น้ำลาย น้ำมูก ฯลฯ ดังนั้น โอกาสที่คนจะติดเชื้อ โควิด 19 ได้ ก็จะต้องอยู่สัมผัสใกล้ชิดกับคนที่เป็น โควิด 19 และ จากการติดตามดูลักษณะการติดเชื้อในเวลาที่ผ่านมา ยังไม่พบว่ามีคนติดเชื้อ โควิด 19 โดยไม่มีที่มา หาสาเหตุไม่ได้ ส่วนใหญ่ ต้องมีการสัมผัสกับคนกลุ่มเสี่ยงกันทั้งนั้น จากลักษณะการติดเชื้อ ที่ผู้ติดเชื้อต้องสัมผัสใกล้ชิดกับคนที่เป็น โควิด 19 แล้วถึงจะติด การสอบสวนโรค จะทำให้เรารู้ว่า ผู้ติดเชื้อใหม่ติดเชื้อมาจากใคร แล้วผู้ติดเชื้อใหม่ไปติดต่อสัมผัสกับใครมั่ง จะได้นำไปสู่การรักษาตัวผู้ติดเชื้อ แล้วแจ้ง หรือประกาศให้คนที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ ได้รับรู้ข้อมูล เพื่อการกักกันตัว เฝ้าสังเกตอาการ และป้องกันการแพร่ระบาดต่อ ๆ ไป

ประมวลจากเหตุการณ์ทั้งหมด พอสรุปได้ว่า
1. แม้ โควิด 19 เป็นเชื้อไวรัสที่แพร่ระบาดได้ง่าย แต่ก็ ไม่สามารถแพร่แบบฟุ้งกระจายลอยไปตามลม การติดเชื้อยังไง ๆ ก็ต้องมีการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่เป็น โควิด 19 อยู่ก่อน แล้วแค่อยู่สัมผัสใกล้ชิดคนเป็น โควิด 19 ก็ไม่ใช่จะติดเชื้อเลย ต้องถูกน้ำลาย น้ำมูก เลือด ฯลฯ จากการ พูดคุย การไอ การจาม หรือการใช้สิ่งของภาชนะร่วมกันเสียก่อน ถึงจะติดเชื้อ ดังนั้น ยังนับได้ว่า โควิด 19 ยังเหลือทางให้คนมีทางเลี่ยง หรือป้องกันไม่ให้ติดเชื้อได้ ถ้าเราไม่ไปอยู่ใกล้ คนเป็น โควิด 19 อยู่ก่อน แล้วดันไปติดเชื้อจากการถูกสารคัดหลั่ง หรือ การใช้สิ่งของร่วมกันเข้า การที่เคยมีการพูด หรือ การจินตนาการกันว่า เชื้อสามารถแพร่ หรือ ลอยฟุ้งไปตามลมได้ เป็นจินตนาการที่น่าจะเลยเถิด ถ้าเชื้อแพร่ไปตามลมได้ ป่านนี้ผมคงไม่อยากมานั่งพูดถึงเรื่องนี้แล้ว เพราะทุกคนคงไม่รอดแล้วหละ

อยู่บ้าน ห่างผู้คน ต้องเริ่มทำ ณ บัดนาว
2. เมื่อต้องมี การพูดคุย ถูกไอ ถูกจาม หรือใช้สิ่งของภาชนะร่วมกับคนเป็น โควิด 19 แล้วถึงจะติดเชื้อ แล้วเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายของเราได้ทางไหน ก็เข้าทาง ตา จมูก และปาก ไง ดังนั้น ถ้าเราไม่อยู่ใกล้คนอื่น เราก็จะไม่ถูกคนไอ จาม พูดคุยใส่ ตรง ๆ แล้วยิ่งเรื่องการใช้สิ่งของภาชนะร่วมกัน ส่วนใหญ่ ก็จะไม่มีใครทำกันอยู่แล้ว ถ้าเราทำกันได้อย่างนี้ทุกคน โอกาสที่คนไม่เป็น จะไปถูกสารคัดหลั่งของคนเป็น โควิด 19 ไอ จาม พูดคุยใส่ หรือเอามือไปโดนสารคัดหลั่ง แล้วเอาไปป้ายเข้าที่ ตา จมูก และปากจนติดเชื้อก็จะเป็นศูนย์ รัฐบาลเค้าถึงได้รณรงค์ เรื่อง การรักษาระยะห่างทางสังคม ว่า เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นต้องทำ เพราะเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า คนที่เข้ามาใกล้ ๆ เราเค้าเป็น โควิด 19 หรือไม่

2. (ต่อ) แล้วยิ่ง ได้รับการยืนยันอย่างแน่ชัดแล้วว่า มีคนติดเชื้อ โควิด 19 โดยที่ไม่มี หรือ ไม่แสดงอาการอะไรเลย ยิ่งทำให้ เรื่องนี้มันน่ากลัวหนักเข้าไปอีก ถ้าการติดเชื้อ ล้วนต้องมีอาการกันทุกคน คนติดเชื้อ คงไม่นิ่งนอนใจ ไง ๆ พอมีอาการ ก็ต้องไปรักษาตัวกันก่อนอยู่แล้ว แต่ในกรณีที่เค้าไม่รู้เลย แล้วไม่มีสัญญานอะไรบ่งบอกแบบนี้ ตัวเค้าเองก็ไม่ได้ไปรับการรักษา แล้วเมื่อไม่มีอาการใด ๆ บ่งบอก เค้าก็คงใช้ชีวิตตามปกติ เข้าหาพูดคุยกับพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง กันแบบสบาย ๆ ทุกคนที่สัมผัสใกล้ชิดกับเค้า ก็มีโอกาสได้รับ น้ำลาย น้ำมูก สารคัดหลั่ง จากตัวเค้ารับเชื้อเข้าร่างกายได้ตลอดเวลา ทางที่ดีที่สุด สิ่งที่จะต้องทำตอนนี้เลย คือ อยู่กับบ้าน ห่างผู้คน อย่าไปสุงสิงกับใครโดยไม่จำเป็น พยายาม รักษาระยะห่างทางสังคม เอาไว้ เป็นสิ่งที่เราต้องเริ่มทำให้ชินตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ล้างมือ ป้องกันทวารทั้ง 3
3. ชีวิตประจำวันยุค โควิด 19 นี่ตลกสิ้นดี ทุกวันนี้ เราไม่ค่อยเห็นใครไอ หรือจาม กันแล้ว การไอ หรือจาม ในยุค โควิด 19 นี้ คนที่ไอ หรือ จาม จะรู้สึกผิด จะไอจะจามกันที ต้องหลบ ๆ กระมิดกระเมี้ยนไม่กล้าไอ หรือจามเสียงดัง ต่างกับเมื่อก่อนลิบลับ ไอ หรือจาม ขึ้นมาที ไอจามลามต่อกันไปหมดทั้งห้อง ดังนั้น การที่เราจะถูกใครไอ หรือจามใส่ในทุกวันนี้ คงยาก แล้วเมื่อเราก็พยายามอยู่บ้าน ห่างผู้ห่างคนอย่างนี้ การที่จะถูกคน ไอ จาม หรือพูดคุยใส่ ตรง ๆ ย่อมไม่มีโอกาสเกิดขึ้น คราวนี้ก็คงเหลือเพียงทางเดียว คือ เราจะทำยังไง เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้สารคัดหลั่งของคนเป็น โควิด 19 ป้ายเข้าสู่ ตา จมูก และปาก ของเรา

3. (ต่อ) และ เมื่อเราไม่รู้ว่า น้ำลาย น้ำมูก น้ำเลือด น้ำหนอง ของคนเป็น โควิด 19 ติดอยู่ตรงไหนบ้าง ถ้าสารคัดหลั่งที่ติดอยู่ยังคงมีเชื้อ โควิด 19 ที่พร้อม เดลิเวอรี่ ให้เรา มันติดอยู่ตรงไหน เมื่อเราเอาอวัยวะใด ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็คงจะเป็นมือนี่แหละไปถูกมัน มันก็คือ การเริ่มเปิดโอกาสให้ โควิด 19 สามารถวิ่งเข้าสู่ ตา จมูก หรือปากของเราได้ แล้วเราจะออกจากบ้าน โดยไม่สัมผัสกับอะไรเลยได้มั้ย สารวัตรโบ้ คนโม้ไม่เป็น ขอบอกเลยว่า ทำได้ แต่ทำยาก เราต้องคอยเอาทิชชู่มาคอยจับสิ่งของต่าง ๆ ทีแล้วก็ทิ้ง วันนึง เราเข้าออกสถานที่ต่าง ๆ มากมาย ถ้าทำแบบนั้น บอกเลยว่า ไม่เวิร์กแน่ แต่ถ้าเป็นวิธี ก่อนเอามือถูก ทวารทั้ง 3 ของเรา ให้ล้างมือด้วยสบู่ หรือเจล ทุกครั้ง น่าจะเป็นวิธีเวิร์ก และเข้าท่าในการป้องกันเชื้อไม่ให้แพร่เข้าทวารทั้ง 3 ของเราดีกว่า

คนเป็น โควิด 19 กับคนไม่เป็น สัมผัสสิ่งนี้แน่ ๆ
4. ของสิ่งหนึ่งที่ คนติดเชื้อ และไม่ติดเชื้อ โควิด 19 สัมผัสมันกันทุกคน ไม่มีทางที่คุณจะเลี่ยงมันได้ คุณฟังที่ผมพูด คุณต้องเห็นจริงตามนั้น สิ่งนั้นคือ ธนบัตร และเงินเหรียญ ที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน คุณจะรู้มั้ยว่า ธนบัตร หรือเหรียญชิ้นไหนคนติดเชื้อเค้าใช้แล้ว เราไม่มีทางรู้ แล้วเราจะห้ามไม่ให้คนเป็น โควิด 19 ใช้เงินก็ไม่ได้ซะด้วย ดังนั้น สรุปได้ว่า เราทุกคน สัมผัสเงินที่คนเป็น โควิด 19 เคยสัมผัสกันมาแล้วทั้งนั้น แล้วสิ่งของอีกสิ่งหนึ่ง ที่เรามีโอกาสสัมผัสร่วมกับคนเป็น โควิด 19 สิ่งนั้นก็คือ จุดสัมผัสร่วมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ประตู หน้าต่าง ลูกบิด ฯลฯ ที่คนทั่วไปใช้กัน คุณไม่ต้องห่วง คนเป็น หรือไม่เป็น โควิด 19 ล้วนต้องเคยสัมผัสในจุดเหล่านั้นมาด้วยกันทั้งนั้น แต่ประเด็นที่ผมอยากจะบอกคืออะไร จากแรก ๆ ที่ผมบอก เท่าที่ผ่านมา เราไม่ได้ข่าวคนติดเชื้อ โควิด 19 โดยไม่ทราบสาเหตุที่มาที่ไป ส่วนใหญ่ ต้องมีการสัมผัสใกล้ชิดกับคนที่เป็น โควิด 19 มาก่อน

4. (ต่อ) แล้วทำไมการใช้ธนบัตร เหรียญ หรือไปถูกจุดสัมผัสร่วมที่คนเป็น โควิด 19 สัมผัสมาก่อน ถึงไม่ติดเชื้อไปด้วย ที่เป็นอย่างนั้น อย่าลืมนะว่า ในธรรมชาติมีเชื้อโรคสารพัด การที่เชื้อ โควิด 19 จะเกาะอยู่บนธนบัตร เหรียญ หรือจุดสัมผัสร่วม แล้วยังสามารถแพร่เชื้อต่อไปยังคนได้ เชื้อ โควิด 19 จะต้องสู้ชนะเชื้อโรคธรรมชาติเหล่านั้น ที่มีทั้งปริมาณ แล้วก็ฤทธิ์เยอะกว่ากันมาก มีโอกาสมากว่า เชื้อ โควิด 19 มีกำลังไม่เพียงพอ สู้เชื้อโรคต่าง ๆ ไม่ได้ ผลที่ออกมา จึงเป็นอย่างที่เราเห็น ๆ กันแล้วว่า ไม่มีใครติดเชื้อด้วยการสัมผัส ธนบัตร เหรียญ หรือจุดสัมผัสร่วม ในขณะคนเป็น โควิด 19 กันทั่วบ้านทั่วเมืองแบบนี้ ถ้ามีคนติดเชื้อในลักษณะแบบนั้น เราก็ต้องได้รับข่าวกันมาบ้างแล้ว แล้วที่มีคนพูดกันมากว่า เชื้อ โควิด 19 สามารถเกาะพื้นผิวใด ๆ ได้นานหลายชั่วโมง (ผมจำไม่ได้ว่ากี่ชั่วโมง เพราะงงว่า ใครช่างมีเวลามานั่งจับว่า โควิด 19 ถ้ามันอยู่ในธรรมชาติ

4. (ต่อ1) แล้วมันจะตายเมื่อไหร่ ผู้เชี่ยวชาญ น่าจะหาวิธีต่อสู้กับมัน มากกว่าที่จะมานั่งจับเวลารอดูมันตายนะ) อย่าลืมว่า สิ่งแวดล้อมที่ โควิด 19 อยู่ได้นาน มันต้องอยู่ในสารคัดหลั่ง ซึ่งมันก็คือ ต้องอยู่ในสภาพที่เปียกชื้น เมื่อ ธนบัตร เหรียญ หรือสิ่งสัมผัสร่วม ส่วนใหญ่ สภาพของมันจะแห้ง เมื่อ โควิด 19 มาเกาะ สภาพที่แห้ง เป็นสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะ มันก็ต้องสิ้นฤทธิ์ในเวลาไม่นาน ถ้ามันมีชีวิตได้นาน ในทุกสภาวะแวดล้อม ป่านนี้ คงมีคนติดเชื้อโดยไม่ทราบสาเหตุเต็มไปหมดกันแล้ว แต่ก็อย่างที่เห็นชัด ๆ ว่า ไม่เห็นมีข่าวแบบนั้นเกิดขึ้นแต่อย่างใด แต่ทั้งนี้ เพื่อความไม่ประมาท ที่ผมเคยบอกแล้วว่า เชื้อ โควิด 19 เข้าสู่ร่างกายเราได้ทางทวารทั้ง 3 การล้างมือก่อนจะเอามือไปถูก ทวารทั้ง 3 ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องกระทำให้เกิดเป็นความเคยชิน นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

เราใช้หน้ากากเพื่ออะไร
5. คราวนี้ก็มาถึง การใช้หน้ากากอนามัย เรื่องนี้คนถกเถียงกันมาก ผมเลยขออธิบายว่า หน้ากากนั้น ปิดที่ปากคนคาด มันจึงเป็นสิ่งกันน้ำลายคนคาด ไม่ให้ฟุ้งกระเซ็นไปถูกคนอื่นเวลา ไอ จาม หรือพูดคุย มีประโยชน์ในการ ป้องกันไม่ให้คนคาดหน้ากาก แพร่เชื้อไปสู่คนอื่น การใส่หน้ากาก แล้วหวังว่า มันช่วยป้องกันไม่ให้คนอื่นแพร่เชื้อมาสู่เรา ผมว่า มันน่าจะได้ผลไม่เต็มที่ เวลาคนไอ หรือจามใส่คุณ ผ้าที่คาดปากอยู่ กันน้ำลายของเค้าได้แค่ไม่ให้มันเข้าปากกับจมูก แต่น้ำลายสามารถเข้าตาคุณได้เต็ม ๆ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร ถูกมั้ยครับ ดังนั้น โปรดเข้าใจเสียใหม่ตามนี้ แต่การรณรงค์ให้คนใส่หน้ากากอนามัยกันมาก ๆ หรือทุกคนนั้น ถือเป็นเรื่องที่ดี เป็นการกันไม่ให้ทุกคน ทำให้น้ำลายของตัวเองฟุ้งกระจายไปถูกคนอื่น เป็นการป้องกันการแพร่เชื้อได้ดีวิธีการหนึ่ง ทุกวันนี้ ถ้าคุณเดินเข้าไปในกลุ่มคน แล้วคุณไม่ใส่ หน้ากากอนามัย ผมว่า คุณน่าจะต้องคิดเล็ก ๆ แล้วว่า “เราน่าจะทำอะไรผิดแล้วหละ”

ประเทศเจริญ แพ้ทาง โควิด 19
6. น่าแปลกใจเป็นที่สุด จากผลงานของ โควิด 19 ที่เข้ามาถล่มโลก ประเทศที่เจริญ ๆ จำนวนมาก มีคนเจ็บคนตาย คนติดเชื้อใหม่ ในขนาดที่แทบจะควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ ทางการแพทย์หมดปัญญา ต้องปล่อยให้ประชาชนที่เป็นโรค อยู่รักษาตัวกันเองที่บ้าน รักษาตัวไปตามยถากรรม ใครรอดก็อยู่ ถ้าตายก็ถือว่าช่วยไม่ได้ เพราะหมดปัญญาแล้ว ต่างกับประเทศเล็ก ๆ ความเจริญด้อยกว่ากันมาก กลับได้รับความสูญเสียน้อยกว่า แล้วก็สถานการณ์ดูดีกว่ากัน ถึงขนาดแทบพูดได้ว่า ควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว การแพทย์ก็ไม่นิ่งนอนใจ พยายามรักษาคนกันอย่างเต็มกำลัง ผมไม่ยกตัวอย่างใคร ดูบ้านเราเองนี่แหละ เรามักต่อว่า ว่า บ้านเรา ไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้ แต่เมื่อ คุณ โควิด 19 มาเยือน เราคงเริ่มรู้แล้วนะครับว่า ประชาชน แม้จะถูกควบคุมเข้มงวด ไม่ให้ออกจากบ้านโดยสะดวกบ้าง ทำมาหากินไม่ได้

6. (ต่อ) ต้องปิด ต้องหยุดกัน แต่ผลที่ได้คือ จำนวนคนที่เป็น โควิด 19 และคนติดใหม่ กำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง เมื่อ สถานการณ์ของ โควิด 19 กลับสู่ภาวะปกติ ประเทศเจริญที่เสียหายอย่างหนัก คงต้องทบทวน หรือเช็คบิลกับรัฐบาล เกี่ยวกับการป้องกันรักษาโรคระบาด โควิด 19 กันแน่ เค้าต้องหาว่า รัฐบาลทำยังไงกันเนี่ย ทำไมมันถึงได้เสียหายร้ายแรง เจ็บป่วยล้มตายกันเป็นเบือได้ถึงขนาดนี้ แล้วคราวนี้แหละ ประชาชนในประเทศของเค้า อาจต้องหันมา แลดูประเทศเล็กประเทศน้อย ประเทศ ที่เค้าอาจไม่เคยเห็นอยู่ในสายตาเลยก็ได้ ในระดับของรัฐบาล อาจต้องมาขอดูงานเพื่อเรียนรู้ว่า พวกประเทศเล็กน้อยเค้าทำยังไงกัน ทำไมสูญเสียกันเล็กน้อยแค่นี้ แล้วไม่ต้องห่วงเลย ประชาชนคนของเค้า ที่มีความสามารถพอที่จะย้ายที่พำนักในยามเกษียณจากงานได้ น่าจะอยากเฮละโลมาใช้ชีวิตบั้นปลาย กันที่ประเทศเล็กประเทศน้อยกันอยู่มากโข

ท้ายนี้ ชีวิตต้องดำเนินต่อไป
ทุกคนในโลกที่มี โควิด 19 อยู่ด้วยอย่างนี้ ตราบเท่าที่ยังไม่มีใครคิดวัคซีน หรือยารักษาขึ้นมาได้ หรือคนป่วยรายสุดท้าย ยังรักษาไม่หาย เราก็คงต้องคิดวางแผนชีวิตของเราเสียใหม่ ชีวิตคนต้องกินต้องใช้ ลูกหลาน ญาติผู้ใหญ่เราต้องให้การดูแล การเผชิญวิกฤติแล้วนิ่งชะงักงัน ไปทางไหนไม่ถูก ไม่รู้จะทำยังไง น่าจะไม่เข้าท่า แล้วคนที่ต้องพึ่งพาเราเค้าจะอยู่ยังไง แล้วจะเอาอะไรกิน เราต้องปรับแนวคิดปรับจิตใจเสียใหม่ ภาวะวิกฤติอย่างนี้ หากเราไม่ปรับแผนการใช้ชีวิต และการหาเงินหาทองกันเสียใหม่ โอกาสที่จะไม่มีตังค์ซื้อข้าวกินมีสูง แล้วอย่าหวังไปแบมือขอจากใคร เพราะรัฐบาลสามารถหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ได้ก็เพียงบางส่วน จะให้ทุกคนอย่างเต็มที่ย่อมไม่สามารถทำได้ แล้วในภาวะที่มองเห็นชัด ๆ ว่า ภาคธุรกิจไม่มีรายได้ การจัดเก็บภาษีไปเป็นค่าใช้จ่ายประเทศ ย่อมไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เมื่อเก็บภาษีไม่ได้อย่างนี้ แค่บริหารเอาประเทศให้ไปต่อได้ก็ลำบากแล้ว จะเอาอะไรที่ไหนมาช่วยเหลือกันได้มากมาย ขอบอกเลยว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” นับเป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุด

คำถาม
คุณคิดอย่างไรกับ สิ่งที่ได้รับชมรับฟัง ถ้ามีสิ่งใด หรือประเด็นข้อสงสัยใดที่ต้องการจะสอบถาม มีข้อแนะนำ คำติชม หรือต้องการแสดงความคิดเห็นอันเป็นประโยชน์ สามารถนำเสนอได้ที่ ช่องความคิดเห็นทางด้านล่าง สารวัตรโบ้ คนโม้ไม่เป็น ยินดีรับฟัง และขอต้อนรับทุกท่านด้วยความยินดีครับ

ผู้จัดทำโครงการ
วิดีโอนี้ จัดทำขึ้นโดย สารวัตรโบ้ คนโม้ไม่เป็น โดยเรื่องราวที่นำเสนอนี้ คือ เรื่อง ในวันที่ต้องอยู่กับ โควิด 19 หวังว่าทุกท่าน จะได้รับข้อมูลอันเป็นประโยชน์ แล้วติดตามเรื่องราวดี ๆ จาก สารวัตรโบ้  คนโม้ไม่เป็น ได้อีก ในเรื่องราวที่จะนำเสนอในโอกาสหน้าต่อไป ขอขอบคุณทุกท่าน ที่ให้ความสนใจ


วันเสาร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2563

มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ สถาบันการเงินไทย ช่วง ไวรัสโคโรน่า หรือ โควิด 19 ระบาด

มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ ของ สถาบันการเงินไทย ช่วง ไวรัสโคโรน่า หรือ โควิด 19 กำลังแพร่ระบาดอย่างหนัก ช่วยเหลือบรรเทาภาระประชาชน ที่ตกทุกข์ได้ยากจาก ผลกระทบ โควิด 19 ให้เบาบางลง



มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ ของสถาบันการเงินไทย

เชิญชม วิดีโอ เรื่อง มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ ของ สถาบันการเงิน


 
ขอนำเสนอ เรื่องราวต่าง ๆ น่าสนใจในรูปแบบวิดีโอ ที่ ช่องยูทูป ของ สารวัตรโบ้ คนโม้ไม่เป็น ได้ที่ http://bit.ly/2pFoncR

เกริ่นนำ

รัฐบาลไทย พบว่า สถานการณ์ไวรัสโคโรน่า หรือ โควิด 19 ยังน่าเป็นห่วงต้องควบคุมกันอย่างเข้มงวด แม้จะมี มาตรการ ป้องกัน โควิด 19 ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง ป้องกันไม่ให้ เชื้อ โควิด 19 แพร่ระบาดขยายวงกว้าง แต่จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ ก็ยังคงมีปรากฏให้เห็นอยู่ทุกวัน แม้หลังจากการห้ามออกนอกบ้านเวลากลางคืน ก็ยังคงมีผู้ติดเชื้อ โควิด 19 เกิดขึ้นใหม่ตลอด คาดการณ์ได้เลยว่า สถานการณ์ไวรัสโคโรน่า ไม่น่าจะควบคุมให้สงบราบคาบในเร็ววัน ปัญหาการแพร่ระบาดของ โควิด 19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และสังคม และมีผลลงไปยังประชาชนคนไทยทุกผู้คน รัฐบาลเห็นความลำบากของประชาชนที่ทำการค้าก็ไม่ได้ บางคนต้องตกงาน ต้องหยุดงาน ถูกเลิกจ้าง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ ทำให้ รัฐบาลจำเป็นต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือเป็นการเร่งด่วน

เกริ่นนำ 1

รัฐบาลจึงมอบนโยบายให้กับ ธนาคารแห่งประเทศไทย ออกประกาศ มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ แจ้งให้ทาง สถาบันการเงินที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย ทั้ง ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และ ผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non Bank) ร่วมด้วยช่วยกันออกมาตรการของสถาบัน หรือ องค์กรของตนขึ้นมา ให้ความช่วยเหลือ ผ่อนพัน บรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน เป็นการบรรเทาความยากลำบากจากปัญหาผลกระทบของ ไวรัสโคโรน่า หรือ โควิด 19 มาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ ของสถาบันต่าง ๆ ดังกล่าว มีเรื่องอะไรบ้าง มาติดตามดูกันครับ

เรื่องที่ธนาคาร และสถาบันต่าง ๆ ผ่อนผัน

มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ ของ ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และ ผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non Bank) ก็จะเป็นเรื่องผ่อนผันช่วยเหลือด้านการเงิน การชำระหนี้ด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเรื่อง สินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อบ้าน สินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ รถยนต์ ฯลฯ บรรดาสินเชื่อต่าง ๆ เหล่านี้ ในยามที่ประชาชน ประกอบอาชีพ เปิดกิจการค้าขายกันได้ในภาวะปกติ ก็จะมีความสามารถในการชำระ หรือ ผ่อนชำระหนี้ ได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ในยามบ้านเมืองวิกฤติอย่าง การแพร่ระบาด โควิด 19 เช่นนี้ ประชาชนเกิดความยากลำบาก รัฐบาลก็จำเป็นต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือ โดยมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ มีรายละเอียดสรุปโดยย่อ ๆ ได้ดังนี้

แจ้งเบื้องต้นเกี่ยวกับเรื่องที่ธนาคาร และสถาบันต่าง ๆ ผ่อนผัน

การผ่อนผันของ ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และ ผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non Bank) ที่นำเสนอต่อไปนี้ เป็นเพียงข้อมูลคร่าว ๆ มีบางสถาบันที่ สารวัตรโบ้ คนโม้ไม่เป็น ไม่รู้จักเครื่องหมายการค้าของสถาบันต่าง ๆ เหล่านั้น (ตอนนี้ ผมเอามาแปะไว้ที่รูปของผมที่นำเสนอด้านบนแล้ว ถ้าดูไม่รู้ว่า เครื่องหมายนั้น ๆ คือ ธนาคาร หรือสถาบันอะไร ดูรูปเลยครับ) แต่ผมเชื่อว่า ผู้ที่เป็นลูกค้าของสถาบันต่าง ๆ เหล่านั้น น่าจะรู้จักดี ให้ไปที่ลิงค์ : https://bit.ly/2JLuaV2 ตรวจดูเบื้องต้นก่อนว่า ตนมีสิทธิได้รับการผ่อนผันอะไรบ้าง แล้วก็ติดต่อไปยังสถาบันนั้น ๆ ที่เราเป็นลูกค้า แค่นี้ เราก็จะไม่เสียสิทธิที่เค้าให้การผ่อนผันแล้ว

ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ช่วย โควิด 19

ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non Bank) มี ผลิตภัณฑ์ ช่วยเหลือ โควิด 19 อยู่หลากหลาย สามารถเลือกดูตามที่เหมาะสมกับเราได้ตามลิงค์ : https://bit.ly/34tc2cc


ช่องทางการติดต่อกับ ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และ ผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non Bank)


ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้รวบรวมช่องทางการติดต่อ ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และ ผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non Bank) เอาไว้อำนวยความสะดวกกับทุกท่านแล้ว เมื่อทำการตรวจสอบเบื้องต้น กับสถาบันที่เราเป็นลูกค้าแล้ว เห็นว่า มีสิทธิได้รับการผ่อนผันอะไรบ้าง ต้องการทราบรายละเอียด ก็เข้าไปที่ลิ้งค์ : https://bit.ly/2RnpgSf หาหมายเลขสำหรับติดต่อ แล้วสอบถามรายละเอียดที่ต้องการทราบ จากนั้นดำเนินการตามที่เค้าให้คำแนะนำต่อไป เป็นอันเรียบร้อย คราวนี้ก็มาถึง ข้อมูลการผ่อนผันเบื้องต้นที่ สถาบันต่าง ๆ ผ่อนผันให้กับลูกหนี้ มีอะไรบ้าง มาติดตามชมดูกันได้เลยครับ





สินเชื่อบัตรเครดิต และ เงินสดหมุนเวียน


1. ทุก ๆ ธนาคาร มีการ ปรับลดอัตราผ่อนชำระหนี้ บัตรเครดิต และ สินเชื่อเงินสดหมุนเวียน ให้กับลูกหนี้ จาก 10% เหลือ 5% ในปี 2563 – 2564

2. พักหนี้ (เงินต้น + ดอกเบี้ย) ธนาคารกรุงเทพ 3 เดือน ยูโอบี 3 เดือน ไทยพาณิชย์ 6 เดือน ซิตี้แบงก์ (ยกเว้นชำระยอดขั้นต่ำ 2 ครั้ง)

3. พักชำระเงินต้น ธนาคารกสิกรไทย (บัตรเครดิต/บัตรเงินด่วน Cash Xpress ถึง 31 ธ.ค. 63)

4. ลดดอกเบี้ย ธนาคารกรุงเทพ กรุงศรีอยุธยา ซิตี้แบงก์ ยูโอบี

5. แปลงเป็นสินเชื่อระยะยาว (ดอกเบี้ยถูกลง) ยูโอบี 48 รอบบัญชี ซิตี้แบงก์ ไม่เกิน 4 ปี ออมสิน (8.5%-10.5%/ปี ไม่เกิน 4 ปี)







สินเชื่อบุคคล/ สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ


1. พักหนี้ (เงินต้น + ดอกเบี้ย) 3 เดือน มี ธนาคารกรุงเทพ ไทยพาณิชย์ กรุงไทย กสิกรไทย ฯลฯ 6 เดือน มี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เกียรตินาคิน

2. พักหนี้ (เงินต้น + ดอกเบี้ย) จากการ จำนำทะเบียนรถ เป็นเวลา 3 เดือน ธนาคารทิสโก้ ธนชาต ชูเกียรติลีสซิ่ง

3. ให้สินเชื่อเพิ่ม ธนาคารออมสิน ธกส.

4. ขยายระยะเวลา ธนาคารกรุงเทพ ยูโอบี เกียรตินาคิน ออมสิน ธกส.

5. พักชำระเงินต้น 3 เดือน เจมันนี่ ชูเกียรติลีสซิ่ง 6 เดือน ธนาคารไทยพาณิชย์ ทิสโก้

6. ลดค่างวด ธนาคารกรุงเทพ กรุงศรีอยุธยา ซีไอเอ็มบี ซิตี้แบงก์

7. ลดดอกเบี้ย ธนาคารกรุงเทพ กรุงศรีอยุธยา ยูโอบี





สินเชื่อเช่าซื้อ


1. พักหนี้ (เงินต้น + ดอกเบี้ย) 3 เดือน มี ธนาคารกสิกรไทย ซีไอเอ็มบี อิสลาม 6 เดือน ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนชาต เกียรตินาคิน กรุงศรีอยุธยา

(โดย จักรยานยนต์ : ถ้าน้อยกว่า 250,000 บาท ให้น้อยกว่าเท่ากับ 5 เดือน ถ้ามากกว่า 250,000 บาท : 6 เดือน

และ รถยนต์ : ถ้ามากกว่า 250,000 บาท ให้ 6 เดือน น้อยกว่า 250,000 บาท : 3-6 เดือน (ในเรื่อง รถจักรยานยานนต์ กับรถยนต์ ผมว่าสอบถามเจ้าหน้าที่เพื่อขอรายละเอียดดูก่อนก็ดี))

2. พักชำระเงินต้น 6 เดือน ธนาคารทิสโก้

3. ลดค่างวด และ ขยายเวลา ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ไอซีบีซี





สินเชื่อเช่าซื้อ สินเชื่อลีสซิ่ง

1. พักหนี้ (เงินต้น + ดอกเบี้ย) 3 เดือน อิออน ซัมมิตแคปปิตอล โตโยต้าลีสซิ่ง ฮอนด้าลีสซิ่ง นิสสันลีสซิ่ง อีซีแอลออโต้แคช ราชธานีลีสซิ่ง อมาน่าลีสซิ่ง เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง บริษัท โอริโค่ออโต้ลีสซิ่ง 6 เดือน อีซูสุลีสซิ่ง สยามคูโบต้าลีสซิ่ง และตามเงื่อนไขบริษัท คือ Snn สินเชื่อเพื่อมวลชน

2. พักชำระเงินต้น 6 เดือน ศักดิ์สยามลีสซิ่ง

3. รีไฟแนนซ์ ราชธานีลีสซิ่ง

4. ขยายเวลา เฮงลีสซิ่ง ชูเกียรติลีสซิ่ง ราชธานีลีสซิ่ง





สินเชื่อบ้าน


1. พักหนี้ (เงินต้น + ดอกเบี้ย) 3 เดือน ธนาคารกรุงไทย ทหารไทย ธนชาต ยูโอบี ซีไอเอ็มบี ออมสิน ธกส. (ที่มีกำหนดชำระรายเดือน) 6 เดือน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ไทยเครดิต smc ตามเงื่อนไขธนาคาร ธนาคารเกียรตินาคิน

2. ลดดอกเบี้ย 6 เดือน ธอส. 6-12 เดือน smc 2 ปี ธนาคารกรุงเทพ ตามเงื่อนไขธนาคาร ธนาคารกรุงเทพ ทิสโก้

3. พักชำระเงินต้น 3 เดือน ธนาคารกรุงเทพ ทิสโก้ ซีไอเอ็มบี 6 เดือน ธนาคารไทยพาณิชย์ ธอส. 1 ปี ธนาคารกรุงเทพ กรุงไทย กสิกรไทย 2 ปี ธนาคารออมสิน

4. ลดค่างวด 4 เดือน ธอส. 6 เดือน smc

5. ขยายเวลา ให้น้อยกว่า 4 ปี ธนาคารออมสิน





SMEs/ Micro-Nanofinance
1. พักหนี้ (เงินต้น + ดอกเบี้ย) 3 เดือน ธนาคารยูโอบี ออมสิน ธกส. (ที่มีกำหนดชำระรายเดือน) 6 เดือน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ไทยเครดิต เอ็กซิมแบงก์ ตามเงื่อนไขธนาคาร ธนาคารเกียรตินาคิน
2. ลดดอกเบี้ย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ทหารไทย ธนชาต ทิสโก้ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธกส. เอสเอ็มอี เอ็กซิม
3. พักชำระเงินต้น 3 เดือน ธนาคารกรุงเทพ ทิสโก้ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ เอสเอ็มอี อิสลาม ศักดิ์สยามลีสซิ่ง 6 เดือน ธนาคารไทยพาณิชย์ ทหารไทย ธนชาต ซีไอเอ็มบี 1 ปี ธนาคารกรุงเทพ ไทยพาณิชย์ กสิกรไทย กรุงไทย กรุงศรีอยุธยา 2 ปี ธนาคารออมสิน 3 ปี ธกส.
4. ลดค่างวด ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ยูโอบี ไทยเครดิต  
5. ขยายระยะเวลา ธนาคารกรุงไทย กรุงศรีอยุธยา ออมสิน

คำถาม

คุณคิดอย่างไรกับ สิ่งที่นำเสนอ ถ้ามีสิ่งใด หรือประเด็นข้อสงสัยใด ต้องการที่จะสอบถาม มีข้อแนะนำ คำติชม หรือ ต้องการแสดงความคิดเห็นอันเป็นประโยชน์ สามารถนำเสนอได้ที่ช่องให้ความเห็นได้เลย สารวัตรโบ้ คนโม้ไม่เป็น ยินดีรับฟัง และขอต้อนรับทุกท่านด้วยความยินดีครับ
ผู้จัดทำโครงการ


บทความนี้ จัดทำขึ้นโดย สารวัตรโบ้ คนโม้ไม่เป็น โดยเรื่องราวที่นำเสนอนี้ คือ เรื่อง มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ สถาบันการเงิน หวังว่าทุกท่านจะได้รับข้อมูลอันเป็นประโยชน์ แล้วติดตามเรื่องราวดี ๆ จาก สารวัตรโบ้    คนโม้ไม่เป็น ได้อีก ในเรื่องราวที่จะนำเสนอในโอกาสหน้าต่อไป ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจ



ความคิดเห็นของท่านเป็นประโยชน์

คุณสามารถ เสนอความคิดเห็น ติชม เกี่ยวกับบทความนี้ เพื่อการพัฒนาให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ได้ที่ช่องให้ความเห็นทางด้านล่าง หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกท่านจะได้ติดตามเรื่องราวดี ๆ น่าสนใจใหม่ ๆ ของผมในโอกาสหน้าต่อไป สวัสดีครับ