วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

คำคม ข้อคิด ดีๆ รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม ช่วยชีวิตผมกับครอบครัวไว้ได้

คำคม ข้อคิด ดีๆ สุภาษิต รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม ช่วยชีวิตผมกับครอบครัวไว้

คำคม ข้อคิด ดีๆ สุภาษิต รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม สอนให้ ผมหมั่นหาความรู้ไว้ เราไม่รู้ความรู้ที่แบกหามนี้จะได้ใช้เมื่อไหร่ แต่เมื่อถึงเวลา มันถึงกับช่วยชีวิตผมกับครอบครัวได้ทีเดียว  

จากที่ผมเคยพูดติดค้างไว้ ตอนผมพูดถึงเรื่อง ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ ที่ผมกับคนที่ทำงานติดกันงอมแงม แต่แฟนผมที่อยู่ใกล้ชิด ไม่ยักติด ก็เพราะกิน ฟ้าทลายโจร เป็นประจำ ตามบทความในบล็อกเรื่อง ไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ุเอ ที่ทำงานผมเป็นเกือบทุกคน แฟนผมไม่เป็น นี่มันอะไรกัน ที่ปรากฏตามลิงค์นี้ : 
http://bit.ly/37Jtp9x หรือที่ ช่องยูทูปของผมที่ลิงค์ : http://bit.ly/2OgXwxj ที่ผมบอกว่า คำคม ข้อคิด ดีๆ หรือว่า สุภาษิต ที่ว่า รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม สอนให้ ผมหมั่นหาความรู้เติมใส่ตัว เราอาจยังไม่เห็นความสำคัญของมัน แต่วันนึง มันอาจเกิดประโยชน์ขึ้นอย่างมหาศาล ความรู้ที่ผมแบกหามไว้ เรื่อง ถ้าเราทำการชะลอ หรือเบรครถยนต์ จนเบรคมันร้อนมาก ๆ หรือไหม้ควันโก๋ขึ้นเมื่อไหร่ สภาพของผ้าเบรคมันจะเสียไป ทำให้การชะลอ หรือเบรครถทำได้ไม่ดี หรือไม่สามารถเบรคได้ ทางแก้ เราจะต้องหยุดรถรอให้มันเย็นลงเสียก่อน พอผ้าเบรคเย็นลง ผ้าเบรคก็จะกลับมีสภาพสามารถทำให้รถชะลอความเร็ว หรือเบรครถได้เหมือนเดิม ความรู้นี่แหละ ที่ทำให้ผมกับครอบครัว รอดชีวิตจากการขับรถตกดอยอินทนนท์ มาได้ เรื่องราวรายละเอียดเป็นยังไง มาติดตามชมกันครับ


ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ ปี 2550 ผม แม่ผม พี่สาว แล้วก็แฟนผม มีโอกาสได้ไปธุระที่เชียงใหม่ แม่ผมต้องไปจัดการเรื่องคอนโดที่แกซื้อไว้ เกี่ยวกับเรื่องคนเช่า การดูแลรักษาห้อง ผมว่างพอดี ก็เลยเป็นคนขับรถพาแม่ผม พี่สาว แล้วก็แฟน ไปด้วย ถือโอกาสไปเที่ยวกันซะเลย ยานพาหนะที่ใช้ตอนนั้น ก็เป็น รถยนต์ฮอนด้า ซิตี้ ไทพ์ซีร์ (Type Z) สภาพของรถตอนนั้น ก็ยังค่อนข้างใหม่ ใช้เดินทางไกล ๆ ได้สบาย ๆ

มาดูกันครับ รถยนต์ ฮอนด้า ซิตี้ ไทพ์ซีร์ หรือ Type Z เนี่ย มีเกียร์ที่มีลักษณะเป็นยังไง มีเกียร์ที่จะใช้หน่วงความเร็วของรถขณะลงจากเขา หรือที่ลาดชันได้มั้ย มาติดตามดูกันครับ


รถยนต์ฮอนด้า ซิตี้ ไทพ์ซีร์ Type Z 


รถยนต์รุ่นนี้ ไม่มีเกียร์หน่วงความเร็ว

ผมกับสมาชิกครอบครัว ออกเดินทางจากบ้านแม่ที่ อ.เมือง จ.นครปฐม ก็ขับเรื่อย ๆ ไปจนถึง จ.เชียงใหม่ การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น ถึง จ.เชียงใหม่ ก็ตรงไปที่คอนโดของแม่ผมก่อนเลย จัดการธุระปะปัง เรื่องห้องในคอนโดกันเรียบร้อย ไม่มีอะไรทำกันแล้ว ก็ไปหาข้าวปลาอาหารกินกันในตลาด ช่วงนั้นยังเป็นช่วงบ่าย ๆ ประกอบกับได้ข่าวว่า สวนนงนุช เค้ามาจัด มหกรรมพืชสวนโลก พอดี ผมก็เลยถือโอกาส ไปเที่ยวงาน มหกรรมพืชสวนโลก กับเขาไปด้วย ผมจำสถานที่ที่แน่นอนไม่ได้แล้วว่าเป็นที่ไหน ก็ได้โอกาสไปเที่ยวแล้วเก็บรูปกันมาได้หลายรูปพอดู การจัดตกแต่งสถานที่เค้าทำได้ดีแล้วก็สวยงามมาก มีการนำเอาศิลปะนานาชาติ แล้วก็ต้นไม้สารพัดชนิดนานาพรรณ มาแสดง ใครชอบต้นไม้นี่ ดูไม่รู้จักเบื่อเลยทีเดียว พอดูงานเสร็จ ช่วงเย็น หาข้าวปลาอาหารกินเรียบร้อย ก็กลับไปพักผ่อนที่คอนโดแม่ผม 

พอตอนเช้า กะกันไว้แล้วว่า ก่อนจะกลับบ้าน จะต้องแวะเที่ยวที่ไหนซักแห่ง พูดกันไปมาก็สรุปได้ว่า จะขึ้นไปเที่ยว ดอยอินทนนท์ กันดีกว่า ไม่ได้ขึ้นไปกันนานมากแล้ว ผมก็ประเภท ว่าไงว่าตามกัน ก็ขับรถพากันขึ้นดอยอินทนนท์ไป ผมนี่ลืมเรื่องนึงสนิทไปเลย เมื่อก่อนนั้น ประมาณ 2 - 3 ปีก่อน ขณะที่ผมทำงานอยู่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับเด็กและสตรี (หรือ บก.ปดส.) ผมมีโอกาสไปทำงานที่ จ.เพชรบูรณ์ ผมเคยขับรถยนต์ ฮอนด้า ซิตี้ ไทพ์ซีร์ คันนี้นี่แหละ ขึ้น เขาค้อมาแล้ว แล้วผมก็ประสบปัญหาตอนขับรถลงจาก เขาค้อ ทางมันจะค่อนข้างชัน ผมเบรครถจนเบรคไหม้ควันโก๋มารอบนั้นมาครั้งนึงแล้ว มาตอนที่จะขึ้นดอยอินทนนท์ครั้งนี้ ผมลืมสนิทไปเลยว่า เคยขับรถคันนี้แหละ ขึ้นเขาค้อมาแล้ว พอตอนลงเบรคไหม้ควันโก๋เลย ความที่ลืมเสียสนิท ก็เลยขับรถขึ้นดอยอินทนนท์ไปเฉย ไม่ได้กังวลอะไรเลย ระหว่างทางขาขึ้น ไม่มีปัญหาครับ รถมันก็จะไต่ความสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ มันอาจจะช้าหน่อย แต่มันก็จะขึ้นไปได้เรื่อย ๆ ผมไม่ได้มีความระแวงเลยว่า แล้วขาลงผมจะทำยังไง ผมลืมสนิทเลยเรื่องที่เคยลงจากเขาค้อ ขึ้นไปถึงบนดอยอินทนนท์ สูงสุดยอดแดนสยาม ก็เก็บภาพไว้หลายภาพ ดื่มด่ำกับบรรยากาศความหนาวเย็นที่พื้นราบไม่มี ข้างบนนี้เย็นเฉียบเลย ในขณะที่ พื้นราบของ จังหวัดเชียงใหม่ นี่อย่างร้อนเลย ก็ชื่นชมกับธรรมชาติ แล้วก็สถานที่อีกนิดหน่อย ก็ได้เวลาลงเขา คราวเนี่ย ตอนลงเขานี่แหละ ที่ภาพความทรงจำตอนลง เขาค้อ เริ่มย้อนกลับมาปรากฏให้เห็นในความทรงจำ คิดว่า เอาแล้วไง เฮ้ย ทางลงทำไมมันชันอย่างนี้วะ ใครที่เคยไป ดอยอินทนนท์ คงไม่ต้องบรรยายนะครับว่า ดอยอินทนนท์ เค้าสูงแล้วก็ชันยังไง ผมขับรถลงมาได้ไม่กี่ร้อยเมตรเอง ควันไฟ กลิ่นไหม้ ตลบคุ้งออกมาจากทั้ง 4 ล้อเลย ผมก็งง อ้าว เกิดอะไรขึ้นหละ ก็เลยเบรครถเข้าข้างทางด้านซ้าย พอลงมาดู ควันไฟโก๋ออกมาจากทั้ง 4 ล้อ ผมก็รู้แล้วว่า เกิดจากการเบรครถบ่อย ๆ แล้วก็แช่เบรคไว้ พอมันเสียดสีเกิดความร้อนมาก ๆ ผ้าเบรคมันก็ไหม้ ตอนนี้แหละ ที่ความรู้เดิมที่ผมเคยจดจำเอาไว้ว่า ถ้าเราเบรครถจนเบรคมันร้อนไหม้ควันโก๋ ผ้าเบรคซึ่งตามปกติมันจะมีสภาพแข็ง เวลามันเสียดสีกับตัวเบรค มันก็จะสามารถชะลอ ลดความเร็ว หรือว่าหยุดรถ ได้ตามแต่เราต้องการ แต่ถ้าหากผ้าเบรครถของเราเกิดร้อนจนไหม้ สภาพของผ้าเบรคเรามันจะไม่มีสภาพเป็นของแข็ง มันจะละลายตัวกลายสภาพเป็นของนิ่ม ๆ หรือเสื่อมสภาพความเป็นผ้าเบรคไป ถ้าความร้อนมันร้อนถึงขนาดเป็นเวลานาน หรือจนมันไหม้ มันก็จะทำให้เวลาตัวเบรคไปจับกับผ้าเบรค จะไม่สามารถชะลอ ลดความเร็ว หรือหยุดรถได้ เนื่องจากสภาพของผ้าเบรคเสียสภาพไปแล้ว ถ้าเกิดอย่างนั้นเมื่อไหร่ รถของเราที่ไม่สามารถชะลอ หรือหยุดรถได้ ทางข้างหน้าเป็นอะไร มันก็จะพุ่งไปตามความเร็วของรถนั่นแหละ บรรดารถที่ตกเขา หรือตกข้างทาง ที่เคยได้ยินกันบ่อย ๆ อาการอย่างนี้แหละ ที่เค้าเรียกกันว่า เบรคแตก มันก็คือ อาการที่รถมันเบรคไม่อยู่ ก็ด้วยสาเหตุ ผ้าเบรคมันเสียสภาพจากเบรคไหม้นั่นเอง ในวันและเวลานั้น ถ้าผมไม่เคยมีความรู้เรื่องผ้าเบรคร้อน แล้วผ้าเบรคเสียสภาพ หมดความสามารถในการเบรค ผมก็อาจจะฝืนขับรถต่อไปทั้งที่เบรคมันเสียสภาพ หรืออาจรออีกเพียงเล็กน้อย แล้วก็ขับรถต่อไป ทั้งที่ผ้าเบรคมันยังไม่เย็น ถ้าผมฝืนขับไป หรือขับรถขณะที่ผ้าเบรคมันยังไม่เย็นกลับคืนสภาพแบบนั้น คงไม่ต้องสงสัยนะครับ ผมกับครอบครัวได้มีโอกาสเป็นข่าว ขับรถตก ดอยอินทนนท์ อย่างไม่ต้องสงสัย ผมว่า คนขับรถจำนวนมาก ๆ ที่ขับรถเบรคแตกตกเขา น่าจะเกิดจากสาเหตุนี้กันมากพอสมควร ของผมบังเอิญโชคดี มีความรู้ตรงนี้อยู่พอดี เลยไม่ต้องเกิดเหตุร้ายขึ้น

ผมจอดรถเพื่อให้ผ้าเบรคมันเย็น ผมก็คิดมากเลยว่า แล้วผมจะขับรถลงไปได้ยังไง เห็นทีต้องสอบถามคนขับรถผ่านไปมาแล้ว โชคเข้าข้างอย่างมาก อยู่ ๆ มีรถยนต์คันนึง ขับมาจอดต่อท้ายรถผมพอดีเลย ตอนแรกก็นึกว่า เค้ามีอะไรจะสอบถามหรือคุยกับพวกผมมั้ย ปรากฏว่า เค้าลงมาทำธุระเล็กน้อยของเค้า ไม่ได้เกี่ยวกับผมหรอก แต่ทั้ง ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับผมเลยเนี่ย ผมกลับคิดว่า เค้าโคตรจะมาได้ถูกที่ตรงเวลาเปี๊ยบเลย ผมได้โอกาสถามเค้าพอดีเลยว่า พี่ ผมขับ รถยนต์ฮอนด้า ซิตี้ ขึ้นเขามา ปรากฏว่า รถมันไม่มีเกียร์ที่จะช่วยดึงความเร็วรถ จนผมเหยียบเบรคไหม้ควันโก๋อย่างเนี่ย ผมควรจะต้องทำยังไงครับ พี่คนขับเค้าตอบผม อย่างตรงเผงกับสิ่งที่เราต้องการเป็นที่สุด เพราะอะไรเหรอครับ ก็เค้าใช้รถที่ไม่มีเกียร์ดึงความเร็วแบบผมเลย เค้าบอกเลยว่า รถเค้าก็ไม่มีเกียร์ สำหรับดึงความเร็วรถขณะลงเขาเหมือนกัน แต่ผมก็จำไม่ได้นะว่า รถพี่เค้ายี่ห้อ หรือรุ่นไหน แต่สิ่งที่พี่เค้าบอกเนี่ย เป็นประโยชน์กับผมมากเลย พี่เค้าบอกว่า การขับรถลงที่ชันมาก ๆ อย่างดอยอินทนนท์เนี่ย เราต้องแตะเบรคให้น้อยที่สุด ทุกคนที่ขับแล้วไม่รู้หลักการเนี่ย เบรคไหม้ทุกคันแหละ เราก็ถามต่อไปว่า แตะเบรคให้น้อยที่สุดนี่ มันต้องทำยังไงพี่ เค้าบอกเลยว่า ห้ามแตะเบรคแช่เด็ดขาด แตะปุ๊ปต้องยกเท้าปั๊บเลย แตะแช่แค่นิดเดียว พอนานเข้าความร้อนเบรคมันจะสูง แล้วเกิดการไหม้ได้ ผมก็ขอบคุณพี่เค้าอย่างมาก พี่เค้าได้จังหวะ ก็ขับรถไป ผมมองดูความร้อน แล้วก็เอามือจับบริเวณเบรคของล้อรถ เห็นว่า บริเวณเบรคเย็นแล้ว ไม่มีความร้อนแล้ว ก็เริ่มหละนะ จะได้ลงเขากันอีกรอบ

ตอนผมได้ยินพี่เค้าบอก แตะเบรคให้น้อยที่สุด ผมก็จินตนาการนะ มันจะแตะน้อยยังไง จะแตะแล้วยกเลยแบบพี่เค้าบอกยังไง แต่ไง ๆ ก็ต้องลงมือทำกันแล้วแหละครับ หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว เวลาก็บ่ายแล้ว เดี๋ยวมืดเข้าลำบากหนักเข้าไปอีก ตอนที่รถผมเบรคควันโก๋แล้วจอดอยู่เนี่ย มันเพิ่งจะลงจาก ยอด ดอยอินทนนท์ มาแค่ชั่วพักเดียว ยังอยู่หางตีนเขาคิดระยะทาง ก็แทบจะเต็มระยะทางของมันแหละ คิด ๆ ก็เป็นงานหินอยู่พอสมควร เอาหละครับ เป็นไงเป็นกัน พอเริ่มขับรถลงเขา ความลาดชันมาก ๆ ประกอบกับถนนมีทางเลี้ยวโค้งมากมาย มีทั้งโค้งกว้าง โค้งแคบ แล้วก็โค้งแทบจะหักศอกกลับก็มี ความเร็วรถที่ต้องขับแบบ แตะเบรคนิดเดียวแล้วปล่อยไหลลงมา ทำได้แค่แตะเบรคแล้วยก แตะแล้วยก เท่านั้นจริง ๆ ถ้าเป็นโค้งที่กว้าง ๆ แล้วก็เป็นโค้งที่เค้าทำเอียงช่วยการทรงตัวของรถอยู่บ้าง มันก็ไม่ค่อยหวาดเสียวเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นโค้งแคบ ๆ แล้วขับแบบแตะเบรคแล้วยกเลยแบบนี้ ความเร็วมันจะสูงกว่าที่ผมขับตามปกติมาก ตลอดระยะทางต้องขับรถไปในลักษณะแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่ ผมไม่เคยขับรถแข่งแรลลี่แบบที่ดูในหนังมาก่อน แต่บอกได้เลยว่า วันนั้น ผมขับแบบแรลลี่เลย ความเร็วรถขณะเข้าโค้ง แบบเหยียบเบรคได้แค่ แตะแล้วยก แต่ละโค้ง เป็นความเร็วที่ผมไม่คุ้นเลย เหมือนกับขับแบบไม่ต้องเบรค มันน่ากลัวมาก กลัวว่ามันจะพลาด กลัวมีคนมาตัดหน้า กลัวเหตุอะไรจะเกิดสารพัด เป็นการขับขี่ด้วยความเร็วระดับแรลลี่ ตลอดทางลงเขา แล้วในที่สุด ผมกับครอบครัวก็ลงมาถึงตีนเขาได้อย่างปลอดภัย ผมหละปล่อยลมหายใจ "เฮ้อ" ออกมาอย่างโล่งอก คราวนี้ คงจะจำไปอีกนานเลย ถ้าจะขึ้นเขาอีกเมื่อไหร่ จะต้องไม่ใช้ รถยนต์ฮอนด้า ซิตี้ แบบนี้มาขึ้นเขาอีก

วันนี้มีโอกาส เลยนำเรื่องมีสาระความรู้ดี ๆ มีประโยชน์กับทุกท่าน มานำเสนอให้ได้รับชมรับฟังกัน เผื่อใครที่ยังไม่เคยได้ยินได้ฟัง หรือรู้เรื่องแบบนี้ มาก่อน หากต้องขับรถยนต์ขึ้นเขาสูงทางลาดชัน ทางที่ดี อย่าเอารถที่เป็นเกียร์ออโต้ แล้วก็ไม่มีเกียร์ที่จะช่วยดึงหน่วงความเร็วรถขับขึ้นไปเลย มันมีความเสี่ยงมาก การขับรถลงเขาชันแบบที่แทบไม่ได้เบรคเลย เสี่ยงต่ออุบัติเหตุอย่างมหาศาล อย่าเอาชีวิตตัวเอง กับคนในครอบครัว หรือเพื่อนฝูงไปเสี่ยงด้วยเลย ไม่คุ้มหรอกครับ พอได้รับชมรับฟังกันไป อย่างน้อย ๆ ก็มีความรู้แบบนี้ติดตัวไว้ ไม่เสียหลายแน่นอน แบบที่ สุภาษิต รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม สอนไว้ ก็ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจครับ มีเรื่องดี ๆ มีสาระน่าสนใจอะไรอีก จะมานำเสนอให้ทุกท่าน ได้รับชมรับฟังกันในโอกาสหน้าต่อไป สวัสดีครับ