วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2557

เห็นแต่ฝุ่นในตาคนอื่น ซุงในตาตัวเองมองไม่เห็น ตอนสุดท้าย ตอนที่ 2

ในตอนที่แล้ว ตอน “เห็นแต่ฝุ่นในตาคนอื่น ซุงในตาตัวเองมองไม่เห็น ตอนที่ 1” ได้พูดกันถึงการกล่าวหาหญิงค้าประเวณีว่า เป็นการทำผิด สมควรถูกลงโทษด้วยการขว้างก้อนหินใส่ให้ตาย โดยผมได้วิเคราะห์เจาะลึกไปว่า การพิจารณาจะลงโทษคนในสมัยโบราณ ยังไม่สามารถพิสูจน์กันได้อย่างแน่ชัดเหมือนในปัจจุบัน ที่เอาเรื่องการตรวจพิสูจน์ การพิจารณาพยานหลักฐานมาช่วยสนับสนุน เมื่อตรวจพบพยานหลักฐานทางชีววิทยา เช่น เส้นผม เส้นขน น้ำอสุจิ ฯลฯ จากตัวของชาย หรือของหญิงที่เป็นคู่กรณี ก็จะทำให้ทราบว่า ชายกับหญิงนั้นมีการร่วมประเวณีกันจริงหรือไม่ เมื่อชายกับหญิงที่ไม่ได้อยู่กินเป็นผัวเมียกันมาร่วมประเวณีกัน ก็น่าเชื่อว่า เกิดจากการค้าประเวณี แต่การจะพิสูจน์ให้แน่ชัดได้ขนาดนั้น ก็ต้องตรวจกันถึงดีเอ็นเอ ซึ่งเป็นวิทยาการสมัยใหม่ ที่มีใช้กันเมื่อไม่นานมานี้เอง ก็คงต้อง
ขอยืมไทม์แมชชีนจากคุณโดเรมอนมาใช้แหละถึงจะทำได้ สมัยโบราณอย่างนั้น กระบวนการยุติธรรมมันก็คงมั่ว ๆ หน่อย ตามแต่หัวหน้ากลุ่ม หรือผู้มีอำนาจจะเอากันยังไง เมื่อบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ คนทั่วไปในกลุ่ม เชื่อว่า หญิงนั้นค้าประเวณี ทุกคนในกลุ่ม หรือคนส่วนใหญ่ในกลุ่ม ก็จะเชื่อตามนั้น พอถึงเวลาลงโทษ เลยหยิบก้อนหินคนละไม้คนละมือเตรียมเอาไว้ขว้างหญิงนั้นอย่างพร้อมเพรียง (ใครช่างคิดวิธีนี้เนอะ โหดยิ่งกว่าตัดคอ แขวนคอ ยิงเป้า อีกนะ กว่าจะตายคงดิ้นชักกะแด่วน่าดูเลย) เห็นยังครับ คนทั้งกลุ่ม กำลังจะลงโทษหญิงนั้น โดยไม่ได้มีการพิสูจน์เลยว่า ข้อกล่าวหาทั้งหมดเป็นความจริง
          อย่างที่บอก เป็นธรรมดาของมนุษย์ ส่วนใหญ่ มักมองเห็นฝุ่นผงที่อยู่ในตาคนอื่น แต่ซุงทั้งต้นที่อยู่ในตาตัวเองกลับมองไม่เห็น เหมือนเรื่องที่เล่ามาเป๊ะ พอมีเหยื่อมาให้เอาหินขว้าง แต่ละคนกระเหี้ยนกระหือรืออยากเอาหินขว้างหญิงนั้นเสียเต็มประดา เห็นความผิดหญิงนั้นมีมากมาย หญิงนั้นทำความเสื่อมเสียสู่สังคม ทำความอับอายให้เกิดกับประเทศชาติ (อันนี้เวอร์เอง เค้ามีความเป็นชาติกันหรือยัง ยังไม่รู้เลย) โดยไม่เคยหวนคิดเลยว่า ตัวเองก็อาจจะเคยทำผิดมาบ้างเหมือนกัน ไม่ว่าจะผิดมาก หรือผิดน้อย ต่างกันก็เพียง หญิงที่ค้าประเวณี ถูกเค้ากล่าวหาลงโทษ แต่คุณอาจโชคดี ไม่ถูกคนเค้าจับได้ หรือถูกกล่าวหาเท่านั้นเอง แหม พอได้ยินเรื่องคนอื่นทำผิดเท่านั้นแหละ ซ้ำเติมเค้า เห็นเค้าเป็นคนผิดอย่างไม่อาจให้อภัยได้เชียว ตระเตรียมก้อนหินจะเอาไปขว้างเค้าซะแล้ว โอ้ อนิจจา ทำไมมันถึงมีแต่คนใจร้ายเยอะแยะอย่างนี้

ลงโทษฆ่า ด้วยการขว้างด้วยก้อนหิน

ขอบคุณรูปภาพจาก : TomoNews Thailand

          4. กลุ่มของ พระเยซู กับสาวกของพระองค์ เป็นกลุ่มคนที่ มองเห็นความจริงในเรื่องดังกล่าวชัดเจน (เรื่องบางเรื่อง คนที่อยู่วงนอก จะเห็นทุกสิ่งได้ครอบคลุมกว่า และ ปราศจากอคติ ถ้าเป็นคนวงใน คู่กรณี ผู้ลงต่อสู้ หรือ ผู้แข่งขันกีฬา ผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้อง การเข้าข้าง อคติ ฯลฯ จะทำให้มองไม่เห็น ความเป็นจริง ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทำให้ตัดสินเรื่องบางเรื่อง ผิดพลาดเสียหายได้) เมื่อ พระเยซู กับสาวก เดินทางมาถึง กลุ่มคนที่กำลังจะลงโทษหญิงที่ถูกกล่าวหา ถึงได้ใช้คำพูดในลักษณะที่ว่า "ใช่คนอื่นเค้าทำผิด ทำไม่ดี แล้วคนที่จะลงโทษเค้าน่ะ เป็นคนดี ไม่เคยทำผิดเลยหรือ" เตือนทุกคนให้ย้อนมองดูตัวเองบ้างว่า ตัวเองก็เคยทำบาปผิดมาเหมือนกัน ถ้าพระองค์ถามเรามั่งว่า "เราไม่เคยทำผิดเลยหรือ" เราก็คงต้องค่อย ๆ กระมิดกระเมี้ยน หลบหายจากกลุ่มคนไป อย่างฝูงชนเหล่านั้นเหมือนกันแหละ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โชคยังเป็นของหญิงที่ถูกกล่าวหา หาก พระเยซู ไม่เสด็จมา ท่านางจะต้องม้วยมรณาเป็นแน่แท้
          คุณเห็นผลร้าย ของการมองเห็นแต่ คนอื่นผิด โดยที่ตัวเองไม่เคยผิด หรือ ไม่ยอมรับรู้ว่า ตัวเองก็เคยทำผิดเหมือนคนอื่นแล้วหรือยัง เวลาคนอื่นทำผิด เที่ยวกล่าวหา ต่อว่า ด่าทอเค้าจะเป็นจะตาย ทำเหมือนความผิดที่เกิดขึ้น ไม่สามารถอยู่ร่วมโลกกันได้ต่อไป คุณลองย้อนมองดูตัวเองสิ ถ้าบังเอิญคุณเกิดโชคดี ได้รับบทเป็นคนทำผิด ถูกใครต่อใครเค้ามากล่าวหา ต่อว่า ด่าทอมั่ง คุณจะรู้สึกยังไง คุณคิดว่า ตลอดชีวิตนี้ จะไม่เป็นคนทำอะไรผิดพลาดบ้างเลยหรือ คุณควรจะรู้ความจริงอย่างนึงว่า มนุษย์ทุกคน ต้องการทำอะไรก็ตามให้สำเร็จ หรือ ถูกต้อง ไม่มีใคร อยากเป็นคนทำอะไรก็ไม่สำเร็จ ทำอะไรก็ผิดพลาดหรอก เมื่อภารกิจไม่สำเร็จ เกิดข้อผิดพลาด ไม่ว่าจะโดยตั้งใจ หรือ ไม่ตั้งใจทำ คน ๆ นั้น ก็ถูกความรู้สึกว่า ตนเป็นคนทำงานไม่สำเร็จ เป็นคนผิด ลงโทษให้เสียใจมากพออยู่แล้ว คนเมื่อทำผิด ย่อมต้องการ การให้อภัย ความเห็นใจจากคนอื่น ไม่มีใครที่เวลาพลาด อยากให้คนอื่นลงโทษเยอะ ๆ หรือ อยากให้เค้าประหารชีวิตหรอก การให้อภัย เปิดโอกาสให้คนผิดรู้สำนึก กลับใจไม่ทำผิดอีก เป็นวิธีการที่ดี และ จำเป็น เพราะเราไม่อาจตัดคนทำผิด ให้ออกไปจากสังคมอย่างถาวรได้ (ถ้าความผิดไม่ถึงประหาร ไง ๆ วันนึง เค้าต้องพ้นโทษออกมาอยู่กับเราวันยังค่ำ) การเปิดโอกาสให้คนผิด กลับใจเป็นคนดีในสังคม ย่อมดีกว่า ให้เค้าอยากตอบแทนแก้แค้นแน่นอน
          เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้ไม่สามารถเป็นตัวแทนของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในโลก แต่ก็พอที่จะนำมาใช้ประโยชน์ ในการศึกษาวิเคราะห์ เกี่ยวกับพฤติกรรม มนุษย์ได้ดีพอสมควร เราพอจะสรุปได้ว่า คนในเหตุการณ์นี้ แบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
          1. กลุ่มเหยื่อในสังคม กลุ่มนี้มักมีสมาชิกถาวรเป็นคนจน กับคนโง่ ไม่อาจมีสิทธิมีเสียง เท่าเทียมคนในสังคม แม้ว่าเราจะยืนยันกันว่า เราเป็น สังคมประชาธิปไตย ทุกคนมี สิทธิเสรีภาพ เท่าเทียมกันอยู่เสมอ คนเหล่านี้เมื่อทำผิด ความสามารถในการต่อสู้คดีจะน้อย กำลังเงิน ความเชื่อถือ ก็ไม่มี คนในสังคมที่จะยื่นมือช่วย ก็ไม่มี หญิงค้าประเวณีกับคนในครอบครัว ญาติพี่น้อง เป็นกลุ่มบุคคลที่น่าสงสารที่สุด ถ้าเลือกได้ ไม่มีใครอยากเป็นแบบหญิงค้าประเวณี หรือ ครอบครัวญาติพี่น้อง เพราะฐานะที่ยากจน จำต้องทำอาชีพที่สังคมรังเกียจ ถือว่าผิดกฎหมาย อาจรับโทษถึงตาย ก็ยังต้องเสี่ยงทำ เพราะถ้าไม่ทำ ตน และ ครอบครัวอาจต้องตายไปก่อนแล้ว เพราะอดอาหารตาย ก็เลยต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ให้อดอาหารตายก่อน เรื่องอื่นต้องขอไปตายเอาดาบหน้า เมื่อถูกเค้าจับได้ การจะใช้เหตุผลว่า ที่ทำไป เพื่อความอยู่รอดของตน และครอบครัว ก็ไม่อาจหยิบยกมาอ้างได้ เพราะไม่มีใครยอมรับฟัง จำต้องยอมรับชะตากรรม เค้าอยากให้ตายก็ต้องตาย
          2. กลุ่มที่เห็นว่า หญิงที่ค้าประเวณี เป็นคนผิด เตรียมก้อนหินเอาไว้ขว้างเรียบร้อยแล้ว ก็มีพวกชายที่เคยซื้อบริการจากหญิง เป็นคนบอกว่า หญิงค้าประเวณีผิดกฎหมาย สมควรต้องรับโทษ โดยที่ตนไม่รับรู้ว่า ตัวเองเป็นผู้ก่อ หรือ สนับสนุนให้หญิงทำผิด กับอีกพวกนึง คือ พวกแขกมุง เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ผู้ปกครองถิ่นแถวนั้น พวกนี้ เมื่อเห็นว่า มีการกล่าวหาเป็นมั่นเหมาะ สอบถามพยานต่าง ๆ ตามที่อยากจะถาม แล้วก็ใช้การคาดคะเน (พูดง่าย ๆ ก็คือเดานี่แหละ ถ้าจะให้รู้แน่ชัด นอกจากเรื่อง สอบถามพยานบุคคลแล้ว ต้องเอาวิชานิติวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยด้วย ก็ต้องพึ่งโดเรมอนอย่างที่บอก แต่เท่าที่เห็นคนกลุ่มนี้เค้าสรุปว่า หญิงนั้นสมควรตาย โดยไม่มีการตรวจพิสูจน์แน่) ว่า หญิงนั้นค้าประเวณีจริง สมควรต้องถูกก้อนหินขว้างให้ตาย
          3. คนในกลุ่มแขกมุง ที่ไม่เห็นด้วยว่า หญิงค้าประเวณีมีความผิด สมควรถูกลงโทษ ยังแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่ม คือ
               3.1 ในกลุ่มแขกมุงดังกล่าว อาจมีบ้างบางคนที่ไม่เห็นด้วย เพราะเพียงฟังคำพูดของชายคนสองคนว่า หญิงนั้นทำผิด ไม่อาจทำใจให้เชื่อได้ อาจจะยังคาใจประเด็นที่ว่า หญิงนั้นทำผิดจริงหรือไม่ เรื่องที่กล่าวหา มีการกลั่นแกล้งใส่ร้ายกันหรือไม่ แต่ก็นั่นแหละ ในเมื่อหญิงค้าประเวณี ก็ไม่ใช่ญาติพี่น้อง การจะออกมาแย้งสิ่งที่คนในกลุ่มเชื่อ และตัดสินไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องดี คนในกลุ่มอาจหมายหัวตัวเป็นลำดับต่อไปก็ได้ ไม่กล้าที่จะฝืนความเห็นกลุ่มแบบพวกมากลากไปได้ การเข้าข้างฝ่ายชนะ ไง ๆ เสีย ย่อมไม่มีทางเสียหาย สามารถอยู่ร่วมกลุ่มได้อย่างปลอดภัย ต้องยอมเออออห่อหมก เอาก้อนหินมาขว้างหญิงนั้นด้วย
               3.2 ในกลุ่มแขกมุงที่ไม่เห็นด้วย และไม่เชื่อว่าหญิงนั้นทำผิด แล้วยังต้องฝืนไปลงโทษเค้า ไม่สามารถทำใจร่วมกับคนส่วนใหญ่ ที่จะเอาก้อนหินไปขว้างหญิงนั้นได้ ได้แต่ยืนมองเหตุการณ์เฉย ๆ หรือ หลบออกจากเหตุการณ์ไป ไม่อยากเห็นภาพน่าอเน็จอนาถ คนกลุ่มนี้ คล้ายกับคนกลุ่มที่ 4 กลุ่มของพระเยซูกับสาวก ต่างกันเพียง ไม่ได้แสดงอะไรตอบโต้ กับความไม่เป็นธรรมที่ตนเองได้เห็นเท่านั้น
          4. กลุ่มของพระเยซู และสาวก กลุ่มนี้พิจารณาสิ่งต่าง ๆ อย่างไม่มีอคติ ไม่เคยเห็น หรือรู้จักคนทั้งหมด เมื่อฟังเรื่องราวเสร็จ รู้ทันทีว่าอะไรเป็นอะไร เอาความจริงมาพูดกันไปเลย ใช่ หญิงนั้นผิด แต่คนที่จะลงโทษหญิงน่ะ มีใครไม่เคยทำผิดมั่ง ค่อยให้คน ๆ นั้นเป็นคนลงโทษ พระเยซู เอาความจริงที่สุด มาพูดให้ทุกคนฟัง ให้ได้คิดว่า ในเมื่อคุณก็ไม่ใช่คนดี ไม่ใช่คนไม่เคยทำผิด แล้วคุณจะมาหาว่าคนอื่นเค้าไม่ใช่คนดี (คุณก็ไม่ได้ดีไปกว่าเค้า) มันจะยุติธรรมไหม เมื่อทุกคนถูกถามคำถาม เรียกร้องให้สำรวจความยุติธรรม ที่ยังมีอยู่บ้างในตัวเอง แต่ละคนจึงได้คิด เออ เราก็เคยทำผิดมาก่อนตั้งหลายอย่าง พอคนอื่นทำผิด เราก็จะลงโทษเค้าซะแล้ว ไม่น่าจะดีนะ สุดท้ายเลยต้องหลบออกไป ทีละคนสองคนจนหมดเกลี้ยง
          ข้อสรุปของกลุ่มคนทั้ง 4 กลุ่ม
          จะเห็นได้ว่า มนุษย์เรา มีกลุ่มคนตามข้อ 2 (เห็นคนอื่นผิด ตัวเองไม่เคยผิด) และข้อ 3.1 (ไม่เชื่อคนอื่นผิด แต่ก็ร่วมผสมโรงรุมกินโต๊ะเหยื่อด้วย) มากที่สุด คนพวกนี้ได้เห็น ได้ยิน เหตุการณ์ที่เค้าเล่ากันมา ก็เชื่อแล้วว่า คนที่ถูกกล่าวหาผิดจริง โดยไม่จำเป็นต้องผ่านการพิสูจน์ (ผมสรุปให้เห็นแล้วว่า เรื่องที่เกิดขึ้น จนกำลังจะลงโทษกันอยู่รอมล่อ ยังไม่มีการพิสูจน์กันแน่ ๆ เพราะการพิสูจน์จริง ๆ ที่เชื่อถือได้ ไม่สามารถทำได้ในยุคสมัยนั้นจริง ๆ ไง ๆ ก็ต้องอาศัยเทคโนโลยีปัจจุบันในการตรวจพิสูจน์) พร้อมที่จะลงโทษคนถูกกล่าวหา แม้แต่คนที่ไม่เชื่อ ก็ยังเออออห่อหมก ลงโทษเค้าด้วยเลย ประเภทพวกมากลากไป ไม่ต้องคำนึงเลยว่า จะเป็นธรรม หรือไม่เป็นธรรม
          กลุ่มคนตามข้อ 3.2 (ไม่เชื่อคนอื่นผิด ไม่ร่วมลงโทษเหยื่อ แต่ก็อยู่เฉย ไม่กล้าแสดงความเห็นค้านคนส่วนใหญ่) กับข้อ 4. (เชื่อว่าเหยื่ออาจจะผิด แต่คนที่จะลงโทษเหยื่อ ก็ไม่ได้ดีกว่าเหยื่อซักเท่าไหร่) จะมีน้อย คนเมื่อเห็นความไม่เป็นธรรม ส่วนใหญ่เป็นเหมือน ข้อ 3.1 ไม่กล้าที่จะโต้แย้ง แสดงความคิดเห็น หรือ ยื่นมือออกช่วยเหลือ เพื่อแก้ไขความไม่เป็นธรรมนั้น ปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินไปตามครรลองของมันเอง กลุ่มคนที่จะทำเหมือนพระเยซูกับสาวกยิ่งมีน้อยเข้าไปอีก คนแม้เห็นความไม่เป็นธรรม ความไม่ถูกต้องก็ตาม แต่น้อยคนที่จะแสดงออกตอบโต้กับสิ่งเหล่านั้น เพราะการตอบโต้ความเห็นคนส่วนใหญ่ อาจก่อศัตรูขึ้น เป็นการนำภัยอันตรายมาสู่ตนได้อย่างคาดคิดไปไม่ถึงทีเดียว
          สำหรับคนกลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มคนที่ต้องรอรับการลงโทษ ไม่มีสิทธิไปเรียกร้อง หรือตัดสินใคร แต่อยากให้ดูให้ดีนะ คนกลุ่มนี้ถ้าบังเอิญไม่ถูกพิจารณาลงโทษ ก็อาจเป็นคนหนึ่ง ที่ถือก้อนหินเตรียมขว้างคนอื่นได้เช่นกัน
          ที่มาของนิสัยเห็นแต่คนอื่นผิด ไม่เคยเห็นตัวเองผิด

ซิกมันด์ ฟรอยด์ เจ้าทฤษฎีเกี่ยวกับ "กลวิธานป้องกันตัว"
ซิกมันด์ ฟรอยด์ เจ้าทฤษฎีเกี่ยวกับ "กลวิธานป้องกันตัว"
ดูรายละเอียดรูปภาพได้ที่ http://www.pramool.com/cgi-bin/dispitem.cgi?7298481
          จากการศึกษาเรื่อง "จิตวิเคราะห์" ในอดีตที่ผ่านมา ท่านซิกมันด์ ฟรอยด์ นักจิตวิเคราะห์ชาวเยอรมัน ได้ค้นคว้าทดลองจนได้ข้อสรุป เป็นแนวทางการศึกษาด้านจิตวิเคราะห์ในยุคหลังสืบต่อมาว่า มนุษย์มี "กลวิธานป้องกันตัว" อยู่ในตัวของทุกคนอยู่แล้ว การป้องกันตัวนี้ ไม่ใช่ป้องกันตัวตอบโต้กับสิ่งที่เป็นเพียงรูปธรรม เช่น คน สัตว์ ภัยธรรมชาติเท่านั้น การป้องกันตัวทางความคิด ในเรื่องของนามธรรม ก็ป้องกันด้วยเช่นกัน ตัวเองต้องดี ต้องเด่น ต้องถูก อยู่ดี ๆ ใครจะมากล่าวหาว่าผิด จะเกิดแรงต้าน จะรู้สึกรับไม่ได้ทันที ก็ด้วยกลวิธานป้องกันตัวนี่แหละ ที่เป็นส่วนหนึ่งของสัญชาตญานการเอาตัวรอด อันเป็นปัจจัยสำคัญ ทำให้มนุษย์ยังคงดำรงสืบต่อเผ่าพันธุ์ให้อยู่รอดจากธรรมชาติ และสังคมอันโหดร้ายมาได้จนทุกวันนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนส่วนใหญ่ในเหตุการณ์ตัวอย่าง หรือแม้กระทั่งในโลกปัจจุบัน จึงเป็นคนที่พร้อมที่จะเอาก้อนหิน ขว้างใส่ใครก็ได้ที่เชื่อว่าผิด โดยไม่ได้สนใจเลยว่า ความผิด หรือข้อกล่าวหาดังกล่าว ได้รับการพิสูจน์แล้วหรือยัง แล้วตัวเองน่ะ เคยทำผิด หรือมีส่วนในความผิดนั้น ๆ ด้วยหรือไม่
          นิสัยเห็นแต่คนอื่นผิด ไม่เคยเห็นตัวเองผิด ก่อผลร้ายอะไรได้บ้าง
          1. ทำให้คนที่มีนิสัยเห็นแต่คนอื่นผิด ตัวเองไม่เคยผิด กลายเป็นคนไม่มีเหตุผลไป เมื่อคุณเป็นคนไม่มีเหตุผลแล้ว ปัญหาใหญ่ยิ่งของมันก็คือ ชีวิตคนมันคละเคล้าด้วยสุขปนทุกข์ ไม่มีใครสุข 100% และไม่มีใครทุกข์ 100% ยามสุข คุณคงไม่พยายามหาสาเหตุของความสุขหรอก คุณมองไปทางไหน โลกก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ความสดใส หยิบจับอะไร มันก็เข้าท่าเข้าทางไปหมด แต่ได้โปรดอย่าลืม วันเวลาแห่งความสุขนั้นมักสั้น สุขอยู่ชั่วแป๊บ วันพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกก็มักจะตามจี้ตูดมาติด ๆ บรรดาอะไรที่ร้าย ๆ เมื่อมันรุมกระหน่ำมาหาคุณอย่างล้นหลาม อาจจะทั้งเมียหนี รถกับบ้านถูกยึด ลูกถูกรถชนขาหัก แม่ป่วยกระเสาะกระแสะอยู่โรงพยาบาลในช่วงเวลาเดียวกัน  ช่วงขณะที่คุณพบปัญหาอุปสรรคสำคัญในชีวิตนี่แหละ ที่นิสัยเห็นแต่คนอื่นผิด ไม่เคยเห็นตัวเองผิดจะเกิดผลร้ายสูงสุด คุณไม่เคยคิด ไม่เคยมีทักษะในการวิเคราะห์ปัจจัยสำคัญ ที่เป็นสาเหตุของปัญหา มีปัญหาอะไร คุณโทษคนอื่นไว้ก่อน คุณทำการเกษตรที่คนเค้าแห่กันมาทำเยอะ ๆ อุปสงค์กับอุปทานไม่สมดุลกัน เมื่อราคาผลผลิตตก คุณโทษรัฐบาลว่า ไม่คอยให้ความช่วยเหลือ แล้วคุณก็ยังดันทุรังทำต่อ ทั้ง ๆ ที่มันขาดทุน หรือคุณใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่าย เห็นคนอื่นมีรถ ไปกู้ตังค์มาซื้อรถ เห็นเค้าใช้กระเป๋าหลุย วิตตอง คุณก็ใช้มั่ง คนแต่ละคนมีรายได้ กับความสามารถจะจ่ายต่างกัน ในขณะที่คุณมีรายได้น้อย แต่รายจ่ายกลับมากมายมหาศาล พอเงินหมด ตกฐานะลำบาก คุณเริ่มโทษโชคชะตาละ หาว่าโชคไม่ดี ยิ่งทำยิ่งมีแต่หนี้สิน ไม่เคยวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาจริง ๆ ว่ามันคืออะไร ถ้าทำตัวแบบเดิมต่อไปไม่แคล้วเป็นคนล้มละลาย การโทษคนอื่น โทษรัฐบาลไม่ช่วย โทษโชคชะตาไม่ดี ไม่ได้ทำให้ปัญหาหมด หรือบรรเทาเบาบางไป ปัญหามันยังคงอยู่ เพียงแต่คุณรู้สึกสบายใจขึ้นเท่านั้น ที่คุณสบายใจ ก็เพราะทุกเรื่องที่ผิดพลาด คุณไม่เคยคิดเลยว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมันมีสาเหตุมาจากคุณ หรือมันเป็นความผิดของคุณ เมื่อคุณไม่รู้ตัวเอง ไม่รู้เหตุผลว่า ยิ่งทำทำไมยิ่งจน คุณทำการเกษตรแห่ตามชาวบ้าน มันก็ต้องเจอปัญหาราคาตกเป็นธรรมดา (ถ้าราคาไม่ตกสิ ไม่ธรรมดา ถ้าขณะที่คุณทำราคายังดีอยู่ อย่าชะล่าใจไป ไม่นานราคาต้องตกลงไปอย่างแน่นอน มันเป็นกฏของอุปสงค์อุปทาน ที่ไม่มีใครไปฝืนมันได้) ถ้าคุณยังคงฝืนทำมันต่อไป ไม่คิดแก้ไขอะไร คิดแต่จะให้รัฐบาลช่วย คุณใช้จ่ายเงินทองสุรุ่ยสุร่าย ก็ยังคงทำมันต่อ ไม่มีตังค์ ยังต้องไปกู้มาซื้อของเลย ปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไข หมักหมมนานเข้า ย่อมทวีความรุนแรงขึ้นจนยากแก้ไข ทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ อาจต้องขายทิ้ง หรือถูกยึด ถูกขายทอดตลาด ถ้าคุณทนได้ คุณก็อยู่ต่อไป อย่าไปคิดมาก เกิดคุณคิดไม่ตก สุดท้ายอาจเกิดโศกนาฏกรรมที่คาดคิดไปไม่ถึง ดั่งเรื่องจริงที่จะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ (เรื่องนี้ต้องแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะเป็นเรื่องเศร้า ไม่อยากกระทบไปถึงผู้สูญเสีย)
          มีพี่ที่รู้จักกันคนนึง ตอนกลางวัน ขยันรับจ้างทำนู่นทำนี่น่าดู น่าจะได้ตังค์พอสมควรแหละ ผมชอบไปชวนพี่แกมาเล่นไฮโลด้วยกัน พี่แกคงคิดว่า "เชอะ อย่าหวังเลยว่ากูจะไป" แต่โทษที พอตกเย็น พี่เค้าจะได้กินเหล้าฟรีทุกวัน จากนายจ้างที่พี่เค้าไปช่วยทำงานให้นั่นแหละ พี่เค้าแปลก พอเหล้าเข้าปากปุ๊บ ความซ่าส์บังเกิดปั๊บ เดินหาวงไฮโลเองจ้าละหวั่น พอเจอวงเท่านั้นแหละ เข้าไปนั่งหน้าแป้น เตรียมแทงทันที แล้วแกแทงทีนึงเยอะ ๆ นะ แทงแบบกลัวว่าจะไม่ได้แทง แทงไปได้ไม่กี่ทีหรอก "หมดตูด" แต่แกก็ดีนะ ไม่ค่อยไปยืมใคร หมดก็กลับ กิจวัตรประจำของผมกับพี่คนนี้ มักจะเป็นรูปแบบนี้แทบทุกวัน ทีนี้บังเอิญผมย้ายไปอยู่ที่อื่น เลยไม่ได้ข่าวคราวของพี่คนนี้อีก คล้อยหลังมา 4 - 5 ปี โศกนาฏกรรมก็เกิดขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ พี่คนนี้เค้าเอาปืนยิงเมียตายก่อนเป็นคนที่ 1 เห็นลูกชายก็ยิงตายไปเป็นคนที่ 2 ลูกสาวของพี่แก บังเอิญเห็นพ่อยิงแม่กับน้องชาย เลยรีบวิ่งหนีออกจากบ้าน พี่เค้าไม่ได้ตามออกไปหรอก แกเอาปืนจ่อขมับลั่นไกปลิดชีวิตตัวเองจบฉากชีวิตตัวเองไปดื้อ ๆ ซะงั้น เหตุร้ายครั้งนั้น มีคนที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวก็คือ ลูกสาวของพี่แก ปัจจุบันต้องอยู่อย่างไม่มีพ่อแม่พี่น้องซักคน
          ที่หยิบยกตัวอย่างนี้ขึ้นมา เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า หากเราเป็นคนไม่มีเหตุผล หรือไม่พยายามค้นหาเหตุผลจากปัญหาที่เกิดขึ้น มันจะส่งผลร้ายอย่างมาก ในกรณีที่เล่ามา พี่เค้ามีความสามารถหารายได้เก่งพอตัว รายได้จากงานประจำ กับรายได้เสริมมากเพียงพอที่จะเอาไปใช้จ่าย และน่าจะมีเงินเหลือเก็บได้มากพอทีเดียว แต่ปรากฏว่า เงินทองไม่เคยพอใช้ หนี้สินพอกพูนอีรุงตุงนัง ก็เพราะพฤติกรรมติดเหล้า เล่นการพนันนี่แหละ แล้วพี่เค้าเวลาไม่กินเหล้า ยังมีสติดี ๆ อยู่ ก็จะไม่เล่นการพนันด้วยนะ แต่พอเหล้าเข้าปากไปสิ ใครก็ห้ามไม่อยู่ คนเราขณะสติยังดีอยู่ไปเล่นการพนันยังย่ำแย่ แล้วนี่เมาไปเล่น จะไปเหลืออะไร ก็อย่างที่ผมเล่าให้ฟังนั่นแหละ พี่เค้าอาจจะรู้แหละว่า ตัวเองเป็นคนทำให้ปัญหาเกิด รู้ว่าตัวติดเหล้า ก็ไม่พยายามเลิก พอมีเหล้าฟรีมาตั้งเท่านั้นแหละ ได้เรื่อง ไม่เคยหักห้ามใจให้ไม่ดื่มได้ แล้วตัวก็ไม่ใช่คนที่ดื่มแล้วจะครองสติได้ ตอนไม่เมา รู้จักว่า ไปเล่นการพนันยากนักที่จะได้เงิน หรือร่ำรวยขึ้นมา หักห้ามใจไม่เล่นได้ พอเหล้าเข้าปากทุกอย่างที่หักห้ามไว้ หลุดลอยปล่อยหมด วิ่งหาวงไฮโลด้วยตัวเอง ต้องเอาตังค์มาถลุงให้เกลี้ยงให้จงได้ทุกครั้งไป พอสร่างเมา ถึงเริ่มนึกขึ้นมาได้ว่า ตังค์หมด ไม่มีตังค์จะใช้จ่ายซื้อข้าวปลาอาหารกิน ต้องกู้ทั้งในระบบ และนอกระบบเพื่อจะเอาเงินมาใช้จ่ายแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นคราว ๆ ไป ปัญหาหนี้สินที่เริ่มต้นขึ้น พี่เค้าอาจจะคิดไปว่า โชคไม่ดี (โทษโชคชะตะไว้ก่อน คนจะไม่ค่อยโทษตัวเอง) ขนาดขยันทำมาหากินตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อต ยังไม่มีเงินใช้ หนี้สินพอกพูนอีรุงตุงนัง ไม่ได้พินิจพิจารณาดูเลยว่า ปัญหาหนี้สินมีที่มาจากตัวเองล้วน ๆ รู้ว่าติดเหล้า ก็ไม่สามารถเลิกได้ รู้ว่ากินเหล้าแล้วจะขาดสติยั้งคิด อยากรวยจากการเล่นการพนันทั้งที่มันเป็นไปได้ยาก ตังค์ที่ทำมาหาได้จึงหายไปหมดทั้งที่ตัวเองก็ทำมาหารายได้เก่ง เมื่อรายจ่ายมากเข้า แต่รายได้ไม่มี (หาได้ก็เอาไปทิ้งหมด) หนี้สินจึงพอกพูนมหาศาล เมื่อปัญหาเกิดแล้วไม่พยายามที่จะตัดสาเหตุของปัญหา หรือไม่มีความสามารถที่จะตัดสาเหตุของปัญหาไป น่าเห็นใจพี่เค้าอย่างมาก เพราะปัญหาของพี่เค้าเป็นปัญหาที่ ลด ละ เลิก ยากมาก แค่ติดเหล้าอย่างเดียว หรือติดการพนันอย่างเดียวก็เลิกยากอยู่แล้ว นี่พี่เค้าดันติดมันทั้ง 2 อย่าง คิดดูสิ ว่ามันจะเลิกยากขึ้นอีกขนาดไหน เมื่อปัญหามันหมักหมมนานเข้า หนี้ที่ถึงกำหนดชำระก็ไล่ตามหลังมา หนี้นอกระบบก็ตามมาติด ๆ หมดปัญญาที่จะหาเงินมาใช้เจ้าหนี้ คิดสั้นเลยว่า ถ้ายังคงอยู่ไปแบบนี้ ตังค์ก็ไม่มีใช้หนี้เค้า ตายเสียยังดีกว่า ทีนี้ดันเป็นห่วงลูกเมียซะอีก คิดว่า ถ้าเกิดตัวเองตายไปกลัวลูกเมียจะอยู่ไม่ได้ จะลำบาก ก็เลยจะยิงลูกเมียให้ตายให้หมด แล้วค่อยยิงตัวตายตาม แล้วก็ดำเนินการปลิดชีวิตลูกเมียกับตัวเองไป ลูกสาวที่รอดอยู่เค้าก็ยังอยู่รอดของเค้าต่อไป ไม่เห็นจะอยู่ไม่ได้อย่างที่พ่อเค้าคิดซักหน่อย เห็นหรือยังครับ ผลต่อเนื่องของการเป็นคนที่เห็นแต่คนอื่นผิด (สำหรับเรื่องนี้ ไม่ได้โทษคนอื่นผิด แต่โทษโชคชะตา) ตัวเองไม่เคยผิด ทำให้ตัวกลายเป็นคนไม่มีเหตุผล ที่สามารถส่งผลร้ายแรงที่สุดอย่างที่เล่ามาเลยทีเดียว
          2. เอาแต่ใจตัวเอง เมื่อเรามองเห็นแต่ความผิดของคนอื่น โดยไม่เคยเห็นความผิดตัวเอง มันก็หมายความว่า ทุกสิ่งที่ผิดพลาด คุณยกความผิดเป็นรางวัลแก่คนอื่นจนหมดสิ้น ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ไม่เคยมีความผิดซักกะติ๊ด แต่ละคนที่อยู่รอบข้างคุณ ก็จะรู้ความเป็นเอกลักษณ์ของคุณ ไม่มีใครอยากตอแย เพราะนอกจากคุณเป็นคนไร้เหตุผล ซึ่งไม่สามารถจะยกเหตุผลอะไรมาชี้แจงให้คุณเห็นดีได้อยู่แล้ว  ถ้าคุณตัดสินใจอะไรไปก็ต้องเป็นไปตามนั้น คุณจะรู้สึกเหมือนคุณนี่แน่ แสดงความคิดเห็น การตัดสินใจอะไรไป ไม่ค่อยมีใครมีความเห็นขัดแย้งกับคุณ (ไม่รู้เค้าคิดว่า ไม่อยากเอาไม้สั้นไปรันขี้หรือเปล่า กลัวขี้เปื้อนมือ) พอคุณเริ่มชินต่อการปฏิบัติตัวของคนรอบข้าง คราวนี้แหละ คุณติดพฤติกรรมเอาแต่ใจตัวเข้าแล้ว ซึ่งพฤติกรรมนี้ จะส่งผลให้คนรอบข้างคุณ ขาดความนับถือคุณอย่างจริงใจ เพราะเห็นคุณเป็นคนหลักลอย ไม่มีเหตุผล ถ้าอยู่ใกล้คุณ ต้องทำใจรับให้ได้ว่า คุณจะเอายังไงก็ต้องเอาอย่างนั้น คุณเคยสั่งให้เดินซ้าย บางขณะ คุณอาจเปลี่ยนใจสั่งให้เดินขวา ไม่แน่ไม่นอน ไม่ได้มีหลักการที่แน่นอนอะไร ถ้าคุณอยากได้ความเห็นดี ๆ จากใครซักคน เค้าจะพูด และให้ความเห็นกับคุณอย่างเกรงอกเกรงใจ แต่ความเห็นนั้นจะเอาไปใช้ไม่ได้ เพราะเป็นความเห็นเชลียร์เอาใจคุณ ไม่ใช่ความเห็นดี ๆ ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง
          3. มองไม่เห็นตัวเอง ตามปรกติมนุษย์มองไม่เห็นตัวเองอยู่แล้ว จะมองเห็นได้ก็ต้องเอากระจกเป็นตัวช่วย นั่นก็เป็นเพียงการเห็นในลักษณะที่เป็นรูปธรรม เห็นว่า อ้วน ผอม สูง ต่ำ ดำ ขาว ฯลฯ สิ่งที่ผมจะพูดว่า มองไม่เห็นตัวเองนี่ เน้นในเรื่องที่เป็นนามธรรม คนเมื่อถนัดแต่โทษคนอื่นแล้ว แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คน ๆ นั้น ไม่มีสำนึกในการย้อนมองตัวเองเลย (ถ้าย้อนมองตัวเองบ้าง ก็จะพบว่า ความจริงแล้ว ปัญหาหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้น ตัวเองก็มีส่วนด้วยเช่นกัน ทำให้ไม่กล้าไปว่าคนอื่น หรือหากจะว่า ก็ไม่กล้าว่าเต็มปากเต็มคำนัก ยังมีใจลึก ๆ ว่า ตัวเองก็มีส่วนผิดอยู่ด้วย) เลยโทษ ด่า ต่อว่า คนอื่นอย่างเดียว คนนั้นก็ผิด คนนี้ก็ผิด มีคนเดียวที่ไม่ผิด คือ ตัวเอง ปัญหาก็ยังคงอยู่ ไม่ได้รับการแก้ไข รอวันที่เหตุร้ายจะขยายใหญ่โตจนแก้อะไรไม่ได้นั่นแหละ ถึงจะรู้ฤทธิ์ของการมองไม่เห็นตัวเอง เช่น ผัวเมียชอบการพนันทั้งคู เวลาผัวไปเล่นเมียคอยเชียร์ เวลาเมียไปเล่นบ้างผัวก็คอยเชียร์ หรือบางเวทีก็ร่วมเล่นกันซะเลย ทีนี้การพนันเนี่ยมันไม่ค่อยเข้าข้างคนซื่อซะด้วย (คนซื่อในวงพนัน ที่คิดว่า บ่อนนี้ ไพ่วงนี้ ไฮโลวงนี้ เค้าเล่นกันซื่อ ๆ ตรง ๆ ไม่มีการโกงกัน เค้ากลัวเสียชื่อ ขอให้คุณรู้ไว้เลยว่า คุณก็คือคน ๆ เดียวกันกับที่คนทั่วไปเค้าเรียกกันว่า "โง่" นั่นเอง) คนที่มีจิตใจกล้าหาญไปเล่นโดยไม่มีกลโกงติดตัวไปมั่ง พกตังค์ไปมากก็กลับบ้านช้าหน่อย พกตังค์ไปน้อยก็กลับบ้านเร็วหน่อย ไอ้เรื่องเล่นได้อย่าไปฝัน อาจจะมีฟลุ๊คได้มั่งเป็นครั้งคราว สุดท้ายระยะยาวก็หมดตูดอยู่ดี คนส่วนใหญ่มีรายได้จำกัด ในสังคมมีพวกมีรายได้ไม่จำกัดก็พวกคนมีกะตังค์เยอะ ๆ เราอย่าเพิ่งไปสนใจ เพราะมันยังไม่ใช่คุณ กรณีคุณกับเมียช่วยกันเล่นเสียอย่างนี้ ถ้ายังพอมีตังค์มีทรัพย์สินเหลืออยู่ยังพอทำเนา อาจเอาไปตึ๊งแก้ขัดก่อนได้ ปัญหามันมาหนักตรงที่ เวลาไม่มีตังค์ แล้วไม่รู้จะเอาตังค์ที่ไหนไปซื้อข้าวซื้อกับ จ่ายค่าเล่าเรียนลูก จ่ายค่าใช้จ่ายประจำวัน ฯลฯ จะไปยืมใครก็ไม่มีใครให้ จะไปกู้ก็ไม่มีหลักทรัพย์ พอเกิดปัญหาจวนตัวไม่มีตังค์จะใช้จ่ายเข้า ก็เริ่มด่ากัน ผัวก็ด่าเมียว่าเป็นคนชวนไปเล่น เมียก็ด่าผัวนั่นแหละที่อยากเล่นก่อน เถียงไปเถียงมาเสียงชักดัง พอระดับเสียงเริ่มดังไปถึงปากซอยท้ายซอย อารมณ์เริ่มขึ้นถึงจุด ก็เริ่มประเคนแม่ไม้มวยไทยเข้าหากัน แยกย้ายกันก็เมื่อฝ่ายนึงต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้ม คุณเคยดูละครฉากทุเรศนี้มั่งหรือยัง ผมจะบอกให้ ละครฉากนี้มีเล่นให้เห็นกันเป็นประจำตามบ้านที่ผัวเมียนิยมเล่นการพนัน จะต่างกันก็เพียงตัวละครเป็นคนละคนกัน วันเวลา และสถานที่ต่างกัน เรื่องที่โต้เถียงทะเลาะวิวาทกัน สำหรับคนที่มองไม่เห็นตัวเองมันไม่จำกัดว่าเป็นแค่เรื่องการพนัน อาจจะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ ที่มันเกิดผิดพลาด บกพร่อง หรือล้มเหลว คนที่มองไม่เห็นตัวเอง จะโทษคนอื่นไว้ก่อน ไม่เคยย้อนมองแล้วแก้ปัญหาที่มีสาเหตุมาจากตัวเอง ตัวเองก็ทำผิดซ้ำซากอยู่นั่น แล้วคุณก็อย่าหวังว่าใครจะมาบอกข้อผิดพลาดบกพร่องของคุณ เพราะคุณโทษทุกคน ทุกครั้งที่เกิดปัญหา ไม่มีใครอยากแม้กระทั่งมาคุยเรื่องธรรมดากับคุณ เมื่อคุณมองไม่เห็นตัวเอง เมื่อคนอื่นที่เห็นข้อผิดพลาดบกพร่องไม่บอกคุณ ปัญหาที่มีเหตุมาจากคุณจึงไม่มีทางได้แก้ไข ปัญหาทุกปัญหา แรกเริ่มยังง่ายต่อการแก้ไข พอมันหมักหมมนานเข้า มันอาจไม่สามารถคลี่คลายได้โดยง่าย ไม่แคล้วตกหนักกับเจ้าตัวผู้มองไม่เห็นตัวเอง กับคนในครอบครัวอย่างเลี่ยงไม่ได้
            การปรับเปลี่ยนนิสัยนี้ก่อนจะสาย
          เราเห็นโทษของการเห็นคนอื่นผิดอย่างเดียว โดยเราไม่เคยผิดไปแล้ว โดยตัวมันเอง โทษของมันก็มากพออยู่แล้ว พอคุณเคยชินกับมัน มันยังชวนพรรคพวกพวกความไม่รู้เหตุผล การเอาแต่ใจตัวมาร่วมด้วย ความรุนแรงของการทำลายล้างย่อมเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณเกินความสามารถที่เราจะรับมือไหว ไม่แน่ เราอาจเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่กำลังจะเอาก้อนหินขว้างใส่หญิงนั้นหรือเปล่าไม่รู้ ถ้าเราบังเอิญย้อนกลับไปอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้น การจะแก้ไขให้นิสัยเห็นแต่คนอื่นผิด โดยตัวไม่เคยผิดนั้น ขอบอก ไม่ใชเรื่องง่าย เพราะนั่นคือ กลวิธานป้องกันตัว  อันเป็นองค์ประกอบสำคัญส่วนหนึ่งของสัญชาตญานการเอาตัวรอดของมนุษย์ทุกคน เมื่อเกิดเรื่องร้าย กลวิธานป้องกันตัวจะทำงานโดยอัตโนมัติ ตอบโต้กับเรื่องร้ายนั้นทันที เราจะเห็นได้ว่า แม้กระทั่งเราทำผิดเต็ม ๆ ก็จริง ลองมีใครมาด่า ต่อว่าตรง ๆ คุณจะเกิดความคิดต่อต้านขึ้นมาก่อนทันที จนกว่าคุณจะสงบสติอารมณ์ แล้วพิจารณาเรื่องต่าง ๆ ด้วยเหตุผล และความจริง คุณถึงจะรู้ว่า ความผิดพลาดที่เกิด มีเหตุมาจากเราจริง ๆ การต่อต้านการด่า หรือการต่อว่าจากคนอื่น เป็นการไม่เหมาะสม เราเป็นคนก่อให้เกิดความผิดพลาดนั้นเองจริง ๆ การที่จะทำให้กลวิธานป้องกันตัวหมดไปไม่อาจทำได้ แต่ก็สามารถปรับปรุงแก้ไขให้บรรเทาเบาบางลงได้ เราต้องปรับตรงความคิดให้ได้ว่า เราต้องมีมุมมองมองทุกอย่างตามความเป็นจริง เราต้องยึดข้อเท็จจริง เหตุผลความเป็นไปเป็นหลัก อย่าใช้อารมณ์ อคติ ที่มันจะทำให้เรามองสิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นตามความจริงเป็นตัวตั้ง เราเป็นคนธรรมดา ไม่ได้แตกต่างไปจากคนอื่น เวลาคนอื่นทำผิด ตัวเราเองก็อาจจะทำผิดได้เหมือนกัน เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ค่อนข้างไม่ดีเกิดขึ้น แล้วอาจมีผลกระทบต่อตัวเราในทางใดทางหนึ่ง อย่าเพิ่งโทษคนอื่น ให้ย้อนดูว่า สิ่งที่เกิดขึ้น เราอาจมีส่วนทำให้มันเกิดขึ้นหรือไม่ ถ้าเราผิด หรือเรามีส่วนผิดด้วย ค่อย ๆ แก้ไขให้ปัญหาหมดไป ถ้าเราไม่มีส่วนผิดเลย ให้เข้าไปช่วยตรวจสอบแก้ไขคนที่ทำผิด ให้อภัยเค้า เพราะส่วนใหญ่ไม่มีใครอยากทำผิด มักทำผิดไปโดยไม่ตั้งใจ หรือประมาทเลินเล่อ เมื่อเรามองทุกอย่างตามความเป็นจริงอย่างนี้แล้ว เราก็จะไม่เป็นคนที่เห็นแต่คนอื่นผิดโดยที่เราไม่เคยผิดอีกต่อไป

การให้อภัยกัน
การให้อภัยกัน
 ดูรายละเอียดรูปภาพได้ที่ http://www.dmc.tv/pages/top_of_week/280753_dmc03.html
          ผมจะยกตัวอย่างเรื่องจริงของผมกับบรรดาลูกน้อง เกี่ยวกับเรื่อง กลวิธานป้องกันตัว ให้ฟังเป็นอุทธาหรณ์ ผมเคยทำงานเป็นหัวหน้าอยู่ในแผนกหนึ่ง มีลูกน้องอยู่ 4 คน แผนกผมนี่ทำงานเบิร์ด ๆ มาก บรรยากาศการทำงานที่ใครบอกสบาย ๆ จะหาได้ก็ที่ทำงานผมนี่แหละ ช่วงเช้าเข้าทำงาน 09.00 น. มั่ง เลื่อนไปอีกหน่อยมั่ง คนเราเวลาสบาย แล้วไม่มีใครมาคอยจ้ำจี้จ้ำไช คุณเชื่อมั้ย จากเข้างาน 09.00 น. แล้วเลื่อนไป 10.00 น. อีกหน่อยก็อาจเป็น 11.00 น. หรือเข้างานบ่ายไปเลย ทีนี้ด้วยกฏธรรมชาติ ไม่มีช่วงเวลาที่สบายอย่างเดียวโดยไม่มีความลำบากอยู่หรอก วันนึง ไอ้การเข้างานช้าทั้งแผนก คนอื่นเค้ามากันตั้งแต่ 08.30 น. เป๊ง เค้าเข้างานกันแล้ว ผมกับลูกน้อง 10.00 น. กว่า ในห้องยังดับไฟมืดอยู่เลย ผู้บังคับบัญชามีงานเรียกหา ยุ่งล่ะสิ ยังไม่มีใครเข้าที่ทำงานซักคน พอมาพร้อมหน้ากัน ได้ข่าวผู้บังคับบัญชาเรียกไปพบทุกคน รู้เลยว่า งานเข้าแล้วเรา พวกผมเดินเรียงแถวไปพบผู้บังคับบัญชา ด้วยหน้าตาเจี๋ยมเจี้ยมรู้สึกผิดกันทุกคน ถูกอบรมสั่งสอนพอสมควร แล้วสำทับอย่าให้เกิดกรณีอย่างนี้ขึ้นอีก นั่นแหละ พวกผมทั้ง 5 คน ค่อยมาเข้างานกันเช้าหน่อย เพราะกลัวเข้าอีหรอบเดิม เดี๋ยวจะโดนเฉ่งอีก คุณรู้มั้ย ตอนที่เพิ่งถูกเรียกไปอบรมน่ะ ผมมีความคิดยังไง ผมคิดตามที่กลวิธานป้องกันตัวมันสั่งผมเลยนะ คิดว่า ทำไมแค่นี้ต้องมาด่ากันด้วย แค่มาสายครั้งสองครั้งเอง อีกหน่อยสั่งงานอะไรไม่อยากทำให้แล้ว นี่คือความคิดจริง ๆ ในขณะถูกด่าเลย มันเกิดขึ้นมาเองโดยผมขอบอกเลยว่า ผมไม่ได่แต่งเติมเลย นี่ขนาดผมเป็นคนที่คิดอะไรต่าง ๆ ด้วยเหตุผลความเป็นจริงค่อนข้างมาก ผมยังมีความคิดแบบนี้เลย ถ้าเป็นคนที่ไม่ค่อยคิดอะไรอย่างมีเหตุผลเป็นทุนอยู่แล้ว อาจเกิดพฤติกรรมต่อต้าน หรือประท้วงไปเลยก็ได้ ทีนี้พอเรามีเวลาได้มาคิดทบทวนเรื่องที่ถูกตำหนิโดยไม่ใช้อารมณ์ พิจารณาเรื่องต่าง ๆ ตามที่เป็นจริงแล้ว เราจะพบว่า การกระทำของพวกผม 5 คน ไม่น่าจะแค่ถูกตำหนิหรอก จริง ๆ น่าจะถูกลงโทษมากกว่านี้ ที่แค่ตำหนิก็อาจจะด้วยเคยใช้งานกันบ่อย เรียกใช้ง่าย ยังพอมีความดีอยู่บ้าง จึงเพียงแค่ตำหนิ แล้วการที่ผมคิดว่า แค่มาสายครั้งสองครั้งเอง จริง ๆ แล้วมันไม่แค่นั้นหรอก มันเยอะกว่านั้นมาก อย่างที่บอก พอไม่มีใครจ้ำจี้จ้ำไช มันเลยหย่อน ถ้ายังไม่มีอีก มันจะยาน แล้วมันก็จะต่อไปเป็นย้วยเละเทะไปเลย ผู้บังคับบัญชาคงรู้มาก่อนแล้วแหละว่า แผนกนี้มันเบิร์ด ๆ อย่างแรง ครั้งนี้มีธุระด่วนเลยทนไม่ไหว ต้องเรียกมาตำหนิกันหน่อย ไม่งั้นเดี๋ยวมันไม่มากันทั้งแผนก เกิดงานเสียหายขึ้นจะรับกันไม่ไหว เห็นม้ัยครับ เวลาเรามองเรื่องที่เป็นลบ เรื่องที่เราผิดพลาด ที่กระทบต่อตัวเราตามพื้นฐานความเป็นจริง เหตุผลความเป็นไป เราจะเห็นได้ชัดว่า เรามีส่วนบกพร่องผิดพลาดอะไร ตรงไหน แล้วเราจะแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างตรงจุด ปรับปรุงแก้ไขไม่ให้เกิดความผิดพลาดในอนาคตได้อย่างง่ายดาย
          จากอุทธาหรณ์ในพระคัมภีร์ไบเบิลที่เล่าให้ฟัง เรื่องหญิงค้าประเวณี ผมใช้เตือนใจตัวเองเสมอ จะได้ไม่เป็นคนประเภทเห็นแต่ฝุ่นผงในตาของคนอื่น แต่ซุงทั้งต้นในตาเรากลับมองไม่เห็น เมื่อคุณอ่านบทความนี้แล้ว หมั่นระลึกไว้ให้ดี ปรับเปลี่ยนนิสัยน่าเป็นห่วงนี้เสียใหม่ ก่อนที่มันจะกลายเป็นสันดานอันเลวร้ายไป
            จบตอน "เห็นแต่ฝุ่นในตาคนอื่น ซุงในตาตัวเองมองไม่เห็น" โปรดติดตามเรื่องใหม่ในเร็ววันนี้



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สวัสดีครับทุกท่าน กรณีที่ท่านติดตามชมบล็อกของผมแล้วต้องการแสดงความคิดเห็น ผมเปิดกว้างสำหรับทุกท่าน ขอความกรุณาแค่แสดงความคิดเห็นให้ตรงกับเนื้อหาของผม กรณีจะแสดงความคิดเห็นที่ไร้สาระ ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาเลย ได้โปรดอย่าทำเลยครับ ผมขี้เกียจลบ ขอบคุณมากครับ

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น