คำคมเพื่อชีวิต หรือ ข้อคิดในการทำงาน ที่ผมมานำเสนอในวันนี้ คือ อย่าพลาดเพียงเพราะเรื่องแกร๊กเดียว เรื่องแกร๊กเดียวที่ผมพูดถึงก็คือ การล็อกแม่กุญแจเพื่อปิดประตูนั่นเอง
ขอย้อนยุคกลับไปเมื่อประมาณ ปี พ.ศ.2536 ขณะนั้น ผมยังมียศเป็น สิบตำรวจตรี มีหน้าที่อันยิ่งใหญ่ คือ เป็นยามเฝ้าห้องขังดูแลผู้ต้องหา อยู่ที่ สถานีตำรวจภูธร ตำบลโพรงมะเดื่อ อ.เมือง จ.นครปฐม ตอนนั้น เป็นยุคเริ่มแรกของการก่อตั้งสถานีตำรวจ เป็นช่วงที่หลวงมาทำการเปิด โรงพักโพรงมะเดื่อใหม่ ๆ ตัวสถานีตำรวจยังใช้อาคารไม้เก่า ๆ อยู่ หลัง ๆ มีโอกาสได้ผ่านไป รู้สึกว่า ปัจจุบันตัวสถานีสร้างเป็นอาคารคอนกรีตใหญ่โตโอ่อ่าไปแล้ว พูดถึงตอนที่เป็นโรงพักไม้เก่านั้น ห้องขังผู้ต้องหาเค้าทำไว้อยู่บนชั้น 2 ต้องเดินขึ้นบันไดด้านหน้าขึ้นไปบนชั้น 2 จึงจะพบกับห้องขัง เป็นห้องขังห้องเดี่ยว เล็ก ๆ ใส่คนไม่กี่คนก็แน่นแล้ว เค้าทำที่ถ่ายหนักถ่ายเบาอยู่ในห้องขังด้วย แต่สิ่งนึงที่มันควรจะมีพร้อมกับที่ถ่ายหนักถ่ายเบา คือ ก๊อกน้ำ ในห้องขังนั้นกลับไม่มีก๊อกน้ำ ถ้าจะมีการใช้น้ำราดสิ่งที่ถ่ายหนักเบาไป เกิดน้ำหมด ก็ต้องเอาถังน้ำลงไปตักน้ำจากชั้นล่างเอาขึ้นมาใช้ข้างบน
ตอนนั้น การเข้าเวรยามเฝ้าห้องขัง จะใช้ตำรวจเพียงคนเดียว คนอื่นที่เข้าเวรด้วยก็มี เช่น ร้อยเวร สิบเวร แต่เค้าก็ไม่ได้มาเฝ้าผู้ต้องหาแบบผม ตอนนั้น ผมแทบจะเด็กที่สุด เค้าก็จัดให้มีหน้าที่เข้าเวรยามเฝ้าผู้ต้องหาหน้าห้องขัง หน้าห้องขังก็มีโต๊ะเก้าอี้ทำงาน มีทีวีดู พอตกเย็นเวลานอน ก็จะเอาเตียงผ้าใบมากางนอนเวลากลางคืน ในระหว่างที่เข้าเวรยาม ก็หลบไม่พ้นว่า จะต้องเอาผู้ต้องหาไปตักน้ำจากก๊อกน้ำที่อยู่ชั้นล่างขึ้นมาใช้ วิธีการก็คือ จะต้องเปิดประตู เอาตัวผู้ต้องหาถือถังน้ำลงไปตักน้ำขึ้นมา พวกผมที่เข้าเวรยาม ก็จะใช้วิธีการนี้กันทุกคนแหละ ก็ต้องยอมรับว่า มันเป็นวิธีการที่หละหลวมมาก ซึ่งทุกท่านก็คงคิดเหมือนผมนั่นแหละ แล้วมันก็เกิดเหตุขึ้นจริง ๆ อย่างที่เราคิดกันนั่นแหละ เป็นเหตุการณ์ที่คล้ายกันมากแบบเดจาวู 2 เหตุการณ์เลย แต่ผลของเหตุการณ์กลับต่างเป็นตรงกันข้ามกัน ซึ่งผมกำลังจะเล่าให้ฟังในช่วงต่อจากนี้ไป
เอาเรื่องของผมก่อนเลยนะครับ เพราะมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อน มีอยู่วันนึง ขณะที่ผมเข้าเวรกะกลางคืนแล้วต้องออกเวรตอนเช้า ก่อนออกเวร ผู้ต้องหาซึ่งมีกันอยู่ 5 - 6 คน ก็ต้องมีการเข้าห้องน้ำขับถ่ายกันบ้าง ก็ต้องมีการใช้น้ำราด พอน้ำหมด ผู้ต้องหาคนนึง ก็เรียกผมขอลงไปตักน้ำที่ก๊อกน้ำด้านล่าง ผมก็ไขแม่กุญแจเปิดประตูห้องขัง ประตูห้องขังเป็นแบบสายยูมีแม่กุญแจใหญ่ ๆ ล็อก ผมก็เปิดประตู แล้วก็เรียกผู้ต้องหาคนที่เรียกเรา ให้เดินหิ้วถังน้ำออกมา จากนั้นผมก็ปิดประตู ตอนนั้นผมคิดว่า "เออ ไปแค่เดี๋ยวเดียวเอง ไม่ต้องล็อกต้องเลิ๊กแม่กุญแจมันหรอก เดี๋ยวก็ขึ้นมาแล้ว" ผมก็แค่ผลักบานประตูปิดโดยไม่ได้ล็อกแม่กุญแจ แล้วก็พากันเดินลงไปกับ ผู้ต้องหาเพื่อไปตักน้ำ ผมกับผู้ต้องหาลงไปได้พักเดียว เมียตำรวจคนนึงที่อยู่แถวหน้าโรงพัก ตะโกนเสียงดังโหวกเหวกให้ได้ยินว่า "เฮ้ย! เมื่อกี้เห็นคน 2 คน เดินลงมาจากชั้น 2 ของโรงพัก ใช่ผู้ต้องหาหรือเปล่า" พอผมได้ยินเสียงโหวกเหวก ก็เรียกให้ผู้ต้องหาที่ลงไปตักน้ำกับผม กลับขึ้นไปบนห้องขัง พอขึ้นไปบนห้องขังเท่านั้นแหละ รู้เลยว่า ผู้ต้องหา 2 คน ฉวยโอกาสที่ผมไม่ได้ล็อกแม่กุญแจประตู เปิดประตูวิ่งหลบหนีไป งานเข้าแล้วครับ ยุ่งละซี ตอนนั้น ผมเพิ่งจะเรียนจบ ปริญญาตรี นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ซะด้วย กำลังคิด จะไปสอบนายร้อยอยู่พอดี พอรู้ว่า ผู้ต้องหา 2 คน หลบหนีไปอย่างนี้ ผมคิดเลยว่า "เสร็จกันกู ไม่ต้องส่งต้องสอบมันแล้ว" ตอนนั้นหัวมันก็คิดอยู่แต่อย่างนี้เลย แต่ก็ยังไม่ละความพยายามนะ ขึ้นรถมอร์เตอร์ไซด์ได้ ควบตะบึงมั่วไปหมด วิ่งไปตามถนน ตามทางที่คาดว่า ผู้ต้องหา จะหนีไป แต่โทษที ไม่เห็นวี่แววว่าจะพบผู้ต้องหาเลย
ขี่รถตะลอนไปได้พักใหญ่ ได้ยินเสียงวิทยุตำรวจ แจ้งว่า สกัดจับผู้ต้องหาที่หนีไปได้แล้ว พอผมได้ยินอย่างนั้น ผมโล่งอกเลยทีเดียว คิดว่า "เออ ดวงเรายังดีแฮะ อย่างนี้ยังมีสิทธิสอบนายร้อยได้หวะ" แล้วก็ขี่รถไปดูผู้ต้องหา 2 คน ที่ถูกจับ
ผู้ต้องหา 2 คน ที่หนีขณะที่ผมเข้าเวรยามอยู่นั้น เค้าหนีจากโรงพักโพรงมะเดื่อ ออกไปทางสุสานที่อยู่ใกล้ ๆ ห่างกันออกไปประมาณซัก 300 เมตร ซึ่งขณะที่ผู้ต้องหากำลังวิ่งหนีอยู่นั้น มีคนที่ทำงานอยู่ที่สุสานนั้น เห็นคนวิ่งมาท่าทางผิดสังเกตอยู่ 2 คน ทำท่าลับ ๆ ล่อ ๆ แล้วก็เข้าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องน้ำของสุสาน บังเอิญพี่คนนั้นเค้ารู้จักกับตำรวจโรงพักโพรงมะเดื่อ ก็เลยแจ้งให้ตำรวจรู้เรื่อง ก็เลยเข้ามาล้อมที่ห้องน้ำของสุสาน แล้วก็จับตัวเอาไว้ได้ พอได้ตัว ถามผู้ต้องหา 2 คน เค้าบอกว่า ที่เข้ามาซ่อนตัวในห้องน้ำไว้ก่อน ก็กะว่า ปลอดคนเมื่อไหร่ โอกาสเหมาะ ๆ แล้วค่อยหนี แต่อารามความซวย ดันมีคนเห็นตอนเข้ามาหลบซะก่อน เลยต้องโดนจับรอบสองซะฉิบ เรื่องนี้ ก็เป็นอันจบไปอย่างแฮปปี้เอ็นดิ้ง คือ ผมมีสิทธิ์ไปสอบนายร้อยได้ ไม่ต้องถูกตั้งกรรมการสอบสวน ถูกลงโทษทางวินัย ถ้าไม่สามารถจับตัวผู้ต้องหา 2 คน กลับมาได้ ขอขยายความเล็กน้อย การที่ผู้ต้องหาหนีไป ขณะที่อยู่ในความควบคุมของเรานั้น ถ้าเป็นตามปกติ ผมจะต้องถูกตั้งกรรมการสอบสวน แล้วระหว่างที่การสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ ผมจะไม่มีสิทธิสอบนายร้อยได้เลย ถ้าตอนนั้น จับผู้ต้องหา 2 คนไม่ได้ ผมก็ไม่มีสิทธิ์ได้สอบนายร้อย แล้วจนกว่ากรรมการจะสอบสวนเสร็จ อีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้ แล้วผมจะยังมีไฟในการสอบอีกมั้ย ไม่มีทางที่จะตอบได้เลย แล้วคุณดูสิ ปีนั้น หลังจากที่ผมมีสิทธิ์สอบ ผมก็ประสบความสำเร็จ สามารถสอบนายร้อยได้เลยซะด้วย คุณดูสิครับ โชคของผมดีขนาดไหน นอกจากไม่ต้องถูกตั้งกรรมการลงโทษทางวินัยแล้ว ยังสอบได้นายร้อย เพิ่มฐานะตัวเองได้ตามความใฝ่ฝันอีกด้วย
คราวนี้ ย้อนภาพกลับไปดูว่า ทำไมผู้ต้องหา 2 คน ถึงหนีไปได้ ในขณะที่ผมเข้าเวรยามหน้าห้องขังอยู่ ค่อย ๆ นึกดู คุณจะพบว่า ตอนเปิดประตูห้องขังเพื่อเอาตัวผู้ต้องหาออกมาหิ้วน้ำ ด้วยผมคิดว่า จะพาผู้ต้องหาลงไปตักน้ำเพียงเดี๋ยวเดียว ไม่น่าจะเกิดอะไรขึ้นมาได้ ก็เลยไม่ยอมล็อกแม่กุญแจหน้าห้องขังนั่นเอง
มาดูกันว่า การล็อกแม่กุญแจหน้าห้องขังผู้ต้องหาหนะ มันมีความยากเย็นแค่ไหน ลองดู ภาพการล็อกแม่กุญแจเพื่อปิดประตูห้องของผม ที่ผมนำเสนอให้ดูเพื่อเปรียบเทียบ ชั่งน้ำหนัก แล้วให้เห็นภาพว่า การล็อกแม่กุญแจประตู มันมีความยากง่าย แล้วก็เสียเวลาของเราไปขนาดไหน
เห็นหรือเปล่าครับ การล็อกแม่กุญแจประตู เป็นการกระทำที่ง่ายมาก ไม่เสียเวลา ไม่มีความยุ่งยากอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วทำไม เรื่องง่าย ๆ แค่เนี่ย ตอนนั้น ทำไมผมถึงมีความคิดว่า ไม่ต้องล็อกมันหรอก เดี๋ยวเดียวก็ขึ้นมาแล้ว ผมคิดอย่างงั้นไปได้ยังไง
ผู้ต้องหาที่อยู่ในห้องขังหนะ ถ้าเค้าอยากจะหนีนะ แม้คุณเฝ้าเค้าอย่างแข็งขัน เค้าก็ยังหาจังหวะที่จะหนีอยู่ตลอด แล้วนี่ผมเปิดโอกาสให้จังเบอร์อย่างนี้ มีหรือที่จะไม่หนี ยังดีนะ คนที่เหลือ แล้วก็คนที่ผมพาลงไปตักน้ำไม่หนีไปด้วย อย่างที่บอก คนที่เค้าเรื่องเล็กน้อย คนที่ไม่อยากหนี เค้าก็ไม่หนี มีโอกาสเค้ายังไม่หนีเลย มีเพียง 2 คน ที่หนีนั่นแหละ ที่ฉวยโอกาสเปิดประตู ตอนผมไม่ได้ล็อกแม่กุญแจนั่นแหละหนีไป คุณเห็นมั้ยว่า ดวง หรือ โชค ของผมมันยังดีอยู่จริง ๆ ขนาดคน 2 คน หนีหายไปแล้ว ยังมีคนเห็น บอกตำรวจให้จับตัวกลับมาได้ แล้วผู้ต้องหาที่เหลืออยู่ ก็ไม่มีใครหนีไปด้วย เฮ้อ! คิดแล้วใจหาย ถือว่าดวงผมมันยังดีอยู่จริง ๆ
มาดูกันว่า การล็อกแม่กุญแจหน้าห้องขังผู้ต้องหาหนะ มันมีความยากเย็นแค่ไหน ลองดู ภาพการล็อกแม่กุญแจเพื่อปิดประตูห้องของผม ที่ผมนำเสนอให้ดูเพื่อเปรียบเทียบ ชั่งน้ำหนัก แล้วให้เห็นภาพว่า การล็อกแม่กุญแจประตู มันมีความยากง่าย แล้วก็เสียเวลาของเราไปขนาดไหน
การล็อกแม่กุญแจประตู ง่ายมาก ทำไมผมไม่ล็อกมันเฉยเลย |
เห็นหรือเปล่าครับ การล็อกแม่กุญแจประตู เป็นการกระทำที่ง่ายมาก ไม่เสียเวลา ไม่มีความยุ่งยากอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วทำไม เรื่องง่าย ๆ แค่เนี่ย ตอนนั้น ทำไมผมถึงมีความคิดว่า ไม่ต้องล็อกมันหรอก เดี๋ยวเดียวก็ขึ้นมาแล้ว ผมคิดอย่างงั้นไปได้ยังไง
ผู้ต้องหาที่อยู่ในห้องขังหนะ ถ้าเค้าอยากจะหนีนะ แม้คุณเฝ้าเค้าอย่างแข็งขัน เค้าก็ยังหาจังหวะที่จะหนีอยู่ตลอด แล้วนี่ผมเปิดโอกาสให้จังเบอร์อย่างนี้ มีหรือที่จะไม่หนี ยังดีนะ คนที่เหลือ แล้วก็คนที่ผมพาลงไปตักน้ำไม่หนีไปด้วย อย่างที่บอก คนที่เค้าเรื่องเล็กน้อย คนที่ไม่อยากหนี เค้าก็ไม่หนี มีโอกาสเค้ายังไม่หนีเลย มีเพียง 2 คน ที่หนีนั่นแหละ ที่ฉวยโอกาสเปิดประตู ตอนผมไม่ได้ล็อกแม่กุญแจนั่นแหละหนีไป คุณเห็นมั้ยว่า ดวง หรือ โชค ของผมมันยังดีอยู่จริง ๆ ขนาดคน 2 คน หนีหายไปแล้ว ยังมีคนเห็น บอกตำรวจให้จับตัวกลับมาได้ แล้วผู้ต้องหาที่เหลืออยู่ ก็ไม่มีใครหนีไปด้วย เฮ้อ! คิดแล้วใจหาย ถือว่าดวงผมมันยังดีอยู่จริง ๆ
มูลเหตุของการหนีครั้งนี้ ไม่มีอะไรมากเลย นอกจาก การไม่ยอมล็อกแม่กุญแจห้องขัง ของผมเพียงแกร๊กเดียว ถ้าตอนนั้นผมล็อกแม่กุญแจห้องขังซะแล้ว เรื่องที่ผมเล่ามายาวยืด คงไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้เลย ดังนั้น ผมขอให้นำ คำคมเพื่อชีวิต หรือ ข้อคิดในการทำงานดี ๆ ง่าย ๆ ที่ผมได้รับมาจากความผิดพลาดของตัวเองในครั้งนั้น เป็น คำคม ข้อคิด ดีๆ ที่เหมาะสำหรับทุกท่าน เอาไว้หมั่นเตือนสติตัวเองเสมอ ๆ ดังนี้
อันคำว่า เซฟตี้เฟิร์ส ที่เคยรู้
เค้าให้ดู เฝ้าระวัง กันเอาไว้
ทั้งไฟฟ้า ฟืนไฟ อย่าไว้ใจ
ไม่ประมาท ดูแล ให้จงดี
ดูตัวอย่าง ของผู้เขียน ให้ชัด ๆ
เกือบโดนอัด ด้วยวินัย ไปซะแล้ว
ถ้าบังเอิญ ต้องเข้าเวร ระวังภัย
พยายาม อย่าหลงลืม เรื่องแกร๊กเดียว
ทุกวันนี้ ถ้ามีเรื่องอะไรที่ต้องทำ เพื่อป้องกันเหตุร้ายต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ ยกตัวอย่างเช่น แฟนผมกำลังทำกับข้าวเปิดไฟอย่างแรง แล้วเดินไปคุยกับเพื่อนบ้าน, ตอนผมไปรับแม่ผม ต้องจอดรถยนต์หน้าบ้านแล้วปล่อยรถให้ติดเครื่องไว้, ตอนจอดรถยนต์ แล้วต้องเดินไปทำธุระห่างจากรถออกไป ฯลฯ ทั้งสามสถานการณ์ที่เป็นตัวอย่างนี้ ถ้าเป็นปัจจุบันนี้ ผมจะทำอย่างไรบ้าง นี่เลย ผมจะหมุนสวิทช์เตาแก๊สเบาไฟลง หรือถ้าดูแล้ว แฟนผมไม่น่าจะกลับมาที่เตาแก๊สเร็ว ๆ นี้แน่ ผมจะปิดเตาแก๊สไปเลย เรื่องที่ติดเครื่องรถยนต์แล้วลงไปทำธุระ ผมจะปิดสวิทช์ดับเครื่องไปเลย ไม่ปล่อยให้รถติดเครื่องเอาไว้โดยที่ตัวผมไม่ได้นั่งอยู่ที่นั่งคนขับ (คนติดเครื่องรถไว้ แล้วโดนคนอื่น ฉวยโอกาสขึ้นขับหลบหนีไปมีมามากมายแล้ว ผมเคยประสบเหตุอย่างใกล้ชิดด้วยตัวเองมาชัด ๆ แล้ว ดังนั้น ไม่จำเป็นโปรดอย่าเสี่ยง ขอบอก) แล้วเรื่องจอดรถแล้วตัวเราต้องออกไปทำธุระห่างรถ ไม่ว่าผมจะจอดรถไว้ที่ไหน จะเป็นสถานที่ทำงาน หรือในที่ที่ไม่น่าจะมีใครมาทำอะไรกับรถ ผมก็จะต้องล็อกรถทันที ผมต้องคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอ จะไม่ยอมปล่อยผ่านอะไรทำนองนี้ไปอีกแล้ว อย่าปล่อยให้เรื่องบางเรื่องอย่างที่ผมเล่ามา กลายเป็นเรื่องที่บันดาลผลเลวร้ายให้เกิดกับเรา เป็นเพราะเรื่องเพียงแค่แกร๊กเดียว คุณลองจินตนาการกันดูเล่น ๆ นะครับ หากผม หรือตำรวจพวกผม ไม่สามารถตามตัวผู้ต้องหา 2 คนกลับมาได้ในวันนั้น ชีวิตหลังจากนั้นของผมจะเป็นยังไง จะได้มาเป็น สารวัตรโบ้ คนโม้ไม่เป็น คนนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ เผลอ ๆ ปัจจุบันยังคงเป็นนายสิบตำรวจอยู่ที่โรงพักโพรงมะเดื่ออยู่นั่นเอง
แล้วเรื่องอีกเรื่องที่ผมติดไว้ ที่ผมบอกว่า เรื่องที่เกิดขึ้น เหมือน หรือคล้ายกันกับเรื่องที่เกิดกับผมมาก แต่ผลที่ได้ต่างกัน มันเป็นเรื่องอะไร มาติดตามดูกันครับ หลังจากที่ผู้ต้องหา 2 คนของผมหนีในครั้งนั้นแล้ว ผมก็สอบนายร้อยได้ ต้องไปเข้ารับการอบรมแล้วก็ย้ายออกจากโรงพักโพรงมะเดื่อไป ก็มีโอกาสได้กลับมาเที่ยว ได้ฟังเรื่องราวที่เหมือน หรือคล้ายกับที่ผมโดนเปี๊ยบเลย เพียงแต่รายละเอียดนิดหน่อยที่มันต่างกัน แต่ขอบอกว่า ผลของมันต่างกันแบบฟ้ากับเหว เรื่องก็มีอยู่ว่า มีตำรวจคนนึงย้ายมาอยู่โรงพักโพรงมะเดื่อหลังผมเล็กน้อย เป็นรุ่นพี่ เค้าก็ต้องเข้าเวรยาม เฝ้าผู้ต้องหาหน้าห้องขังเหมือนผม แล้วก็หลบไม่พ้นหน้าที่พาผู้ต้องหาลงมาตักน้ำ ก็เหมือนกันเด๊ะ ผมก็ไม่รู้ว่า ทำไมเค้าไม่ทำก๊อกน้ำขึ้นไปที่ห้องขังก็ไม่รู้ รุ่นพี่ผมเค้าก็ต้องทำวิธีการแบบเดิม ๆ อย่างที่ผมทำนั่นแหละ คือ ตอนเช้าที่ผู้ต้องหาเค้าเข้าห้องน้ำ ต้องใช้น้ำ พี่เค้าก็ต้องพาผู้ต้องหาคนนึงลงมาตักน้ำ ปรากฏว่า ของพี่เค้านี่ ความซวยมีมากกว่าผม ผู้ต้องหาคนที่พี่เค้าพาลงมาตักน้ำเนี่ย คิดไม่ซื่ออยู่ก่อนแล้ว เค้าคิดอยากจะหนีเองอยู่แล้ว เค้าเพียงแค่รอ ถ้าสบโอกาสเมื่อไหร่เป็นหนีทันที แล้วช่องโหว่ของการเอาผู้ต้องหาลงไปตักน้ำตามที่ผมเล่าเป็นไงครับ หมูเลย อาศัยเวลาลงมาตักน้ำ เค้ารู้อยู่ว่า มีตำรวจเพียงคนเดียวคุมตัวลงมาด้วย ถ้าฉวยจังหวะดี ๆ ทำให้ตำรวจเสียจังหวะนิดหน่อย วิ่งหนีเร็ว ๆ ก็น่าจะหนีได้แล้ว ดังนั้น วันนึงที่รุ่นพี่ผมเค้าพาผู้ต้องหาลงมาตักน้ำ ผู้ต้องหาก็ใส่น้ำในถังจนเกือบเต็ม แล้วก็หิ้วน้ำขึ้นมาทำท่าเดินไป พอได้จังหวะที่รุ่นพี่เค้าเผลอ ผู้ต้องหาคนนั้นก็หันมา เอาถังน้ำที่มีน้ำเกือบเต็มหนะ สาดเข้าไปที่หน้าของพี่เค้า สาดไปทั้งถังน้ำนั่นแหละ รุ่นพี่ผมพอโดนน้ำสาดมาทั้งถังเข้าที่หน้าตรง ๆ ก็ตกตะลึง ทำอะไรไม่ถูก นั่นแหละ จังหวะที่ผู้ต้องหาคนนั้น ใส่ตีนหมาวิ่งแนบไปลิ่วแล้ว ผู้ต้องหาเค้าวิ่งออกไปทางหน้าโรงพัก เลี้ยวออกไปทางขวา ประมาณซัก 2 - 3 ร้อยเมตร ก็จะมีดงอ้อยที่ชาวบ้านเค้าปลูกพุ่มหนา ๆ ขึ้นอยู่ เขต ต.โพรงมะเดื่อ เนี่ย ไม่ต้องห่วงเลยครับ ดงอ้อยมีอยู่เต็มทั่วบริเวณไปหมด พอผู้ต้องหาหนีเข้าดงอ้อยได้ เท่านั้นแหละครับ หายจ้อยไปเลย ตำรวจทั้งโรงพักระดมกำลังกันตามหา หายังไงก็หาไม่พบ ก็ต้องเลิกหาหละครับ ก็ต้องใช้วิธีการ ให้สายสืบช่วยไปตามหาที่บ้านของผู้ต้องหา เผื่อเจอตัวก็ให้ช่วยจับกลับมา แต่เท่าที่ผมรู้มา พี่เค้าไม่สามารถตามผู้ต้องหากลับมาได้ อย่างนี้ ก็ต้องถูกลงโทษทางวินัยไปตามปกติ คุณเห็นหรือยังครับ เรื่องราวของพี่เค้าที่เล่าทีหลัง รายละเอียดเหมือน หรือคล้ายกับเรื่องผมเลยใช่มั้ยครับ แต่ผลที่เกิดตรงกันข้ามกัน ของผมนั้นโชคดีเหลือขนาด ถ้าโชคไม่ดี ก็ต้องรับโทษเป็นอย่างเดียวกับพี่เค้าหละครับ ถ้าตอนนั้นจับผู้ต้องหา 2 คนไม่ได้ ไง ๆ ปีนั้น ผมไม่มีทางได้สอบนายร้อยแน่นอนอยู่แล้ว
ก็ขอเตือนทุกท่าน ให้ระมัดระวัง เรื่องอะไรก็ตาม ที่เราสามารถกระทำเพื่อป้องกันผลร้ายก่อนได้ เพียงแต่เราอาจไม่เห็นความสำคัญของมัน หรือว่าเพราะขี้เกียจ เช่น ปิดไฟฟ้า ปิดเตาแก๊ส ล็อกประตูรถ ล็อกประตูบ้าน ฯลฯ เรื่องที่เป็นเรื่องต้องป้องกันผลร้ายที่อาจเกิดขึ้นอย่างเนี่ย ทำได้ให้รีบทำก่อนเลย อย่ารีรอ อย่าปล่อยให้เรื่องมันเกิดขึ้น บันดาลผลร้ายกับชีวิตเรา ชีวิตเราต้องเปลี่ยนไปเพียงเพราะ เรื่องแกร๊กเดียว เลยครับ อย่าเสี่ยงให้เกิดกรณีอย่างผมเด็ดขาด ผลของครั้งหน้า อาจไม่โชคดีอย่างผม ผมก็มาแนะนำเพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจกัน เป็น คำคมเพื่อขีวิต หรือ ข้อคิดในการทำงาน ดี ๆ ที่ผมอาจอยู่ในฐานะรุ่นพี่ หรือเพื่อน ที่สามารถเตือนสติทุกท่านจะได้เอาไปใช้ในการทำงาน การใช้ชีวิตภายหน้าต่อไป ถ้ามีเรื่องราวอะไรที่น่าสนใจ ก็จะมานำเสนอให้ทุกท่าน ได้รับชมรับฟังกันในโอกาสหน้าต่อไป ขอบคุณที่ให้ความสนใจ สวัสดีครับ
ก็ขอเตือนทุกท่าน ให้ระมัดระวัง เรื่องอะไรก็ตาม ที่เราสามารถกระทำเพื่อป้องกันผลร้ายก่อนได้ เพียงแต่เราอาจไม่เห็นความสำคัญของมัน หรือว่าเพราะขี้เกียจ เช่น ปิดไฟฟ้า ปิดเตาแก๊ส ล็อกประตูรถ ล็อกประตูบ้าน ฯลฯ เรื่องที่เป็นเรื่องต้องป้องกันผลร้ายที่อาจเกิดขึ้นอย่างเนี่ย ทำได้ให้รีบทำก่อนเลย อย่ารีรอ อย่าปล่อยให้เรื่องมันเกิดขึ้น บันดาลผลร้ายกับชีวิตเรา ชีวิตเราต้องเปลี่ยนไปเพียงเพราะ เรื่องแกร๊กเดียว เลยครับ อย่าเสี่ยงให้เกิดกรณีอย่างผมเด็ดขาด ผลของครั้งหน้า อาจไม่โชคดีอย่างผม ผมก็มาแนะนำเพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจกัน เป็น คำคมเพื่อขีวิต หรือ ข้อคิดในการทำงาน ดี ๆ ที่ผมอาจอยู่ในฐานะรุ่นพี่ หรือเพื่อน ที่สามารถเตือนสติทุกท่านจะได้เอาไปใช้ในการทำงาน การใช้ชีวิตภายหน้าต่อไป ถ้ามีเรื่องราวอะไรที่น่าสนใจ ก็จะมานำเสนอให้ทุกท่าน ได้รับชมรับฟังกันในโอกาสหน้าต่อไป ขอบคุณที่ให้ความสนใจ สวัสดีครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
สวัสดีครับทุกท่าน กรณีที่ท่านติดตามชมบล็อกของผมแล้วต้องการแสดงความคิดเห็น ผมเปิดกว้างสำหรับทุกท่าน ขอความกรุณาแค่แสดงความคิดเห็นให้ตรงกับเนื้อหาของผม กรณีจะแสดงความคิดเห็นที่ไร้สาระ ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาเลย ได้โปรดอย่าทำเลยครับ ผมขี้เกียจลบ ขอบคุณมากครับ
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น